‘พี่ชอบหนูที่สุดเลย’ เพลงที่หลายคนต่างร้องตามได้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพลงที่ศิลปินตัดสินใจว่าจะเป็นเพลงสุดท้ายก่อนเลิกเป็นนักร้อง
กว่าจะมาเป็นเพลงฮิตหนึ่งเพลง พลเชษฐ์ (Ponchet) หรือ ‘พล-เชษฐ์กิตติ์ ทุนมาก’ เจ้าของเพลงบอกกับเราว่า เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเพลงหนึ่งไหนจะไปได้ไกลแค่ไหน การทำงานของพลไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพียงแต่เลือกทำตามความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น
ชีวิตที่เต็มไปด้วยทางเลือกของเด็กหนุ่มจากเชียงราย ที่หลงรักการทำดนตรี แม้จะยอมรับว่าไม่มีทั้งพรสวรรค์และความมั่นใจในการเป็นนักร้อง แต่เขาก็ยังคงเลือกเส้นทางนี้ เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด
สิ่งนี้พิสูจน์มาแล้วกับเพลงคัฟเวอร์ และเพลงที่แต่งในนามของ Ponchet หลายเพลงที่มียอดคลิกเข้าไปฟังไม่ต่ำกว่าล้านครั้ง แถมฝากลายเซ็นกับสไตล์เพลงสดใส ฟังง่าย ความรักกุ๊กกิ๊กระหว่างรุ่นพี่-รุ่นน้อง ที่ทำให้ใครหลายคนนึกถึงช่วงเวลาพับพีเลิฟอีกครั้ง
ในวันที่ศิลปินอิสระอย่างพลเชษฐ์เพิ่งเซ็นสัญญากับค่าย What The Duck ได้ไม่นาน เราชวนพลมาพูดคุยถึงเส้นทางการเป็นนักดนตรีอิสระในยุคที่ใครก็เป็นกันได้ง่ายๆ แรงซัพพอร์ตจากเพื่อนและแม่สำคัญกับเขาแค่ไหน ทำไมพลถึงเลือกเซ็นสัญญาแม้จะกลัวการร้องเพลงต่อหน้าผู้คน
เรื่องราวของพลทั้งสนุก ยากลำบาก และสับสนเหมือนหนังวัยรุ่น Coming of Age เรื่องหนึ่ง ถึงจะมีช่วงเวลาไม่น่าจดจำ แต่เขาก็เล่าอย่างเปิดเผย ทำให้บทสนทนาในบ่ายวันนั้นเป็นวันที่น่าจดจำมากที่สุดอีกวันหนึ่ง
เพลงทำให้เขารู้จักตัวเอง
“ร้องแบบนี้อย่าร้องดีกว่า”
พลเริ่มเล่าย้อนกลับไปถึงความทรงจำแรกของการร้องเพลง
แม้ปัจจุบันเพลง ‘พี่ชอบหนูที่สุด’ จะมียอดวิวกว่า 81 ล้านวิวบนยูทูบ ไม่นับเพลงที่ทำเองช่วงแรก เพลงคัฟเวอร์ก็มีคนฟังไปแล้วไม่ต่ำกว่าล้านครั้ง แต่เขากลับบอกกับเราว่าไม่ได้เป็นคนที่ร้องเพลงเก่งแต่แรก
ยืนยันด้วยคำพูดเพื่อนวัยเด็กช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่มว่าร้องเพลงไม่เอาไหน ทำให้เขาเสียความมั่นใจไปไม่น้อย จนไม่กล้าร้องเพลงต่อหน้าใครอีก
“เราจุกเลย ตอนเด็กๆ เพื่อนก็เด็กเขาคงลืมไปแล้ว แต่มันฝังใจมากนะ หลังจากนั้นไม่กล้าร้องเพลงให้ใครฟังอีกเลย”
เพื่อนที่พูดไม่คิดคือคนที่ทำให้เขาไม่กล้าร้องเพลง แต่เพื่อนที่ดีคือคนทำให้เขากลับมามั่นใจในการร้องอีกครั้ง
ในช่วงพักกลางวันของวันธรรมดาๆ เพื่อนสนิทที่บังเอิญได้ยินพลร้องเล่นๆ แต่กลับบอกว่าเขาร้องเพลงได้ดี กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตช่วงวัยมัธยมเขาถูกจดจำในฐานะนักร้องของโรงเรียน จนได้ขึ้นเวทีประกวดกับเพื่อนๆ เรื่อยมา
“ตอนนั้นที่เพื่อนบอกว่าผมร้องเพราะ คือช็อกไปเลย เพราะที่ผ่านมาเราคิดว่าร้องไม่ดีมาตลอด สิ่งที่คิดคือ เราตอนนี้ไม่ใช่เราตอนนั้นแล้วใช่ไหม” เขาเล่าพลางยิ้ม “แล้วหลังจากนั้นพอได้ร้องบนเวทีทุกคนกรี๊ด ไอ้นี่มันร้องเพลงได้ ก็มีภาพจำในโรงเรียนเป็นนักร้องไปเลย”
“ตอนนั้นผมไม่ได้ทำได้ดีนะ ก็ขึ้นไปร้องเหมือนนักเรียนวัยรุ่นปกติ ไม่ได้รู้สึกว่านี่มันพรสวรรค์ชัดๆ หรือกูต้องเป็นนักร้องแน่นอน แค่ทำเพราะสนุกเฉยๆ”
นอกจากเพื่อนสนิทที่คอยให้กำลังใจแล้ว จุดเปลี่ยนที่ทำให้เด็กที่ไม่มั่นใจในการร้องเพลงมาขึ้นดนตรีประกวดได้ มาจากการมีไอดอลเป็นพี่ชายสมัยเด็ก ทำให้เขามุ่งมั่นอย่างเป็นนักดนตรีสุดเท่แบบเขาให้ได้
“สิ่งที่ทำให้ผมอยากร้องเพลงคือลูกพี่ลูกน้องข้างบ้านที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่เคยมองว่าเขาเท่เลย แล้วก็แยกย้ายกันไป ผมไปเรียนเชียงราย สุดท้ายผมกลับมาเข้ามัธยมที่สุโขทัย อยู่ดีๆ ผมเห็นพี่คนนั้นอยู่บนเวที ทุกคนกรี๊ดกร๊าด ผมมองเขาเหวอไปเลย นี่มันคือคนที่เท่มาก เขากลายเป็นไอดอลของเรา อยากมีวง อยากเป็นนักร้องเพราะเขาเลย”
ความสนุกที่เห็นยอดคนฟังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกอยากทำเพลงเองค่อยๆ ชัดขึ้น จากความชอบร้องเพลงและเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรก ก็เริ่มอยากเรียนรู้การทำเพลงด้วยตัวเอง
“เราก็เหมือนกับหลายๆ คนแหละอยากมีเพลงของตัวเองสักเพลง
“ตอนนั้นเราต้องไปเสาะหาวิธีว่าต้องทำเพลงยังไง มันไม่ง่ายเลย เพราะไม่มีใครสอนทำเพลงในยูทูบ มันจะอยู่เป็นคอมมิวนิตีมากกว่า เราเหมือนเป็นคนหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่อง ต้องครูพักลักจำ พี่ใช้อะไร ใช้เอฟเฟกต์ยังไงครับ ปรับแก้ไปเรื่อยๆ ลงสตรีมมิงยังไงยังไม่รู้เลย ถามใครก็ไม่ได้ ตอนนั้นใครเอาเพลงลง joox ได้ คือเท่มากเลย”
“ไม่ได้วาดฝันไว้เลยว่าวันนึงจะได้เป็นศิลปิน” คือสิ่งที่เขายืนยันกับเราตลอดการสนทนา ในวันที่เขาได้เดบิวต์เป็นศิลปินค่าย What The Duck ได้ไม่นาน
“ตอนนั้นทำเพราะว่าสนุกมากๆ ตรงที่เราไม่รู้อะไรเลย เราได้รู้จักกับคนที่ชอบเหมือนกัน อย่างวันนี้เราได้รู้เรื่องเล็กๆ แต่ตอนนั้นที่เรารู้มันเหมือน ยูเรก้า! (ดีดนิ้ว) พอเรารู้ตรงนี้คุณภาพเพลงเรามันดีขึ้นเยอะเลย”
“พอมีคนฟังครั้งแรก โห ดีใจมากเลย ช่วงแรกปล่อยเพลงไป 6 เดือน 12 วิว ผมฟังไปแล้วประมาณ 6 ครั้ง เราก็ไปเซิร์ชกูเกิลว่าวิธีดูยอดวิวเป็นใคร เพราะผมอยากรู้ (ยิ้ม) ตอนนั้นมันสนุกมาก ทุกร้อยวิว พันวิว มันพิเศษมากสำหรับเรา ตอนที่ได้แสนวิว ล้านวิว คือช็อกไปเลย ทั้งที่คุณภาพเสียงก็ไม่ได้ดีมาก”
การที่ช่องของพลเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้เกิดจากความสนุกอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังทำไปพร้อมกับเป้าหมายที่อยากให้มีคนได้ฟังเพลงของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
“เราวางแผนไว้แล้วว่าจะทำให้คนมาคลิกฟังเพลงของเรา”
“ช่วงแรกผมคัฟเวอร์เยอะมากให้คนกดติดตามช่อง ให้คนจำเสียงพลเชษฐ์ให้ได้ พอมีคนตามช่องเราหนึ่งพันคนจากคัฟเวอร์ ทีนี้เราถึงค่อยเนียนลงเพลงตัวเอง เขาอาจจะกดมาฟังเพลงเรา”
การคัฟเวอร์ของพลไม่ใช่แค่การร้องตามต้นฉบับ แต่ยังเอามาเรียบเรียงใหม่ให้เป็นแนวเพลงอื่นๆ จนกลายเป็นน้ำเสียงและรสชาติเฉพาะตัวที่หาฟังไม่ได้จากช่องอื่นๆ
“ตอนนั้นมันมีรายการ The Rapper เขาเอาเพลงมาเติมแรปเข้าไปกลายเป็นเพลงใหม่ ผมก็เลยสนุกกับการคัฟเวอร์แบบนั้น เหมือนเราได้ทดลองไปด้วย ถ้าเราเอาเพลงเก่าแล้วทำดนตรีใหม่ ใส่แรปเข้าไปมันจะเป็นยังไง กลายเป็นรสชาติใหม่ให้คนรุ่นใหม่ฟังได้เลย ช่วงนั้นมีคนทำเยอะมาก แต่มันก็ไม่ได้ออฟฟิเชียลนะครับ ทำลงยูทูปเล่นๆ ไม่ได้เงิน แต่สนุก”
พลเล่าด้วยตาเป็นประกาย บอกว่านอกจากความสนุกจากการเรียบเรียงเพลงใหม่แล้ว ยังเป็นการได้เห็นยอดฟอลโลเวอร์ค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ จาก พัน เป็นหมื่น จนถึงแสนคน
แม่คือคนที่เข้าใจผมที่สุดในโลก
เราคงไม่ได้ฟังเพลงจากศิลปินที่ชื่อ Ponchet และคงไม่ได้ทำเพลงที่ตัวเองรักหากไม่ได้การซัพพอร์ตจากคนที่เข้าใจเขาที่สุดอย่างแม่ของพล
“ตอนเรียนผมน่าจะเป็นเด็กหลังห้อง 100% เลย ตอนเข้าม.1 ผมเป็นเด็กเรียนดีนะครับ พอสอบเข้าได้ที่บ้านจัดโต๊ะฉลอง เรียกชาวบ้านมาเล้ย ลูกสอบได้ห้อง 1”
“แต่หลังจากนั้นความภูมิใจในฐานะเด็กเรียนก็เริ่มลดลง (ยิ้มเขิน) ผมไม่ได้สนใจเรื่องเรียนเลย แต่ตอนที่ทำเพลง เราอยู่กับมันได้ทั้งวัน ชอบที่ได้เรียนรู้เพิ่ม เพลงเรามีคนฟังหนึ่งพันครั้ง สองพันครั้ง ถึงจะมีคนฟังไม่เยอะ แต่เราสนุกสนานมากกับการเดินทางกับสิ่งที่เราชอบ”
“เครื่องมือทำเพลงชิ้นแรกของผมคือไมค์ หูฟัง และอื่นๆ ราคาประมาณ 1 หมื่น ผมต้องไปขอแม่ให้ซื้อให้ และผมรู้ว่าไม่ใช่แม่ทุกคนจะให้
“ตอนที่ได้อุปกรณ์นี้มาผมยังทำเงินกับมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แม่ไม่ถามอะไรแล้วซื้อให้ผมเฉยเลย ปกติแม่ไม่ค่อยซื้ออะไรให้เพราะเขาไม่ได้เลี้ยงผมมาแบบตามใจ”
“ผมย้อนกลับไปถามแม่ว่าทำไมตอนนั้นแม่ยอมควักตังค์หนึ่งหมื่นให้ ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นภาพด้วยซ้ำว่าผมจะหาเงินกับมันยังไง แม่บอกว่าการที่เขาได้เห็นเราตั้งใจทำอะไรบางอย่าง มันน่าซัพพอร์ต อย่างน้อยมันไม่ใช่เรื่องไม่ดี”
พลใช้อุปกรณ์นั้นทำเพลงที่ตัวเองชอบ จนประมาณปี 3 ของมหาวิทยาลัย ความสำเร็จมาถึงเขาและกลุ่มเพื่อนอย่างไม่ทันตั้งตัว เพลงที่เขามีส่วนร่วมเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้าง ถูกติดต่อจ้างงานให้ไปแสดงอีกหลายที่ จังหวะนั้นทำให้เขาต้องเลือกว่าจะคว้าโอกาสนี้ไว้หรือเลือกการเรียนที่อยู่ใกล้เส้นวิกฤติที่ต้องดร็อปเรียนกลางคัน
“ช่วงปีสามอาจารย์ในคณะบอกผมว่า เขานั่งประชุมกันเรื่องผมคนเดียวเลย เอาไงกับไอ้เด็กนี่ดี มันใช้โควต้าลาครบทุกวิชาเลย ให้ดร็อปดีไหม อาจารย์เขาเข้าใจทุกอย่าง แต่ถ้าไม่ส่งงานและไม่เข้าเรียนจะทำยังไง
“แม่เป็นคนที่เข้าใจผมที่สุดในโลกแล้ว” พลบอกอย่างจริงใจ “แม่อยากให้เราเรียนแหละ แต่เขาบอกว่าเอาตามที่เราเลือกเลย
“สุดท้ายผมเลยกัดฟันเรียนจนจบ ขณะที่ทุกคนก็ไปทัวร์ต่อ ปีนั้นทรมานมาก เห็นผ่านโซเชียลฯ ทุกคนไปโชว์โดยที่ไม่มีเรา เพราะผมไม่อยากให้ใครมาพูดถึงแม่ไม่ดี
“ผมเคยได้ยินมีนักร้องที่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน แต่มันไม่ใช่ใครจะทำก็ได้ ผมไม่สามารถไปชี้นำได้ว่าตามฝัน! ลุย! เพราะว่ามันก็เสี่ยง ถ้าเราเล่นพลาดมันอาจจะกลับตาลปัตรเลย
“ทุกวันนี้แม่ภูมิใจในตัวผมมาก เวลาที่ผมกลับบ้านไปญาติพี่น้องเขาทำเหมือนผมเป็นดาราไปแล้ว เพราะแม่ผมแชร์ที่ผมไปร้องเพลงกับทางช่อง 3 ชาวบ้านเขาก็พูดกันไปหมดแล้วว่าผมอยู่ช่องนี้ (หัวเราะ) แต่โอเค วันนี้เราเป็นนักร้องอย่างเป็นทางการแล้ว เขาก็บอกว่าขอจับมือว่าที่นักร้องร้อยล้านหน่อย
“ผมเคยจินตนาการตัวเองตอนโตไว้แย่กว่านี้เยอะเลย อนาคตกูจะซวยเปล่าวะ เราจะกลายเป็นคนล้มเหลวไหม เราจะโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน แต่ผมก็พยายามหาทางที่ดีที่สุดไปได้”
ทุ่มสุดตัวกับเพลง ‘พี่ชอบหนูที่สุดเลย‘
“เคยคิดจะเลิกทำเพลงตอนเพลงพี่ชอบหนูที่สุดเลย แล้วจะไปทำงานประจำ”
ตอนนี้หากมีใครพูดว่า ‘พี่คงจะอยู่ไม่ได้แล้ว’ ต้องมีคนต่อว่า ‘ถ้าไม่มีหนู คืนนี้คงนอนไม่หลับ’ ได้อย่างง่ายๆ แน่นอน เพราะเพลงนี้กลายเป็นเพลงไวรัลติดหู ที่ไปไกลถึงต่างประเทศ จนถึงขนาดไอดอลเกาหลีและอินฟลูเอนเซอร์ต่างก็หยิบเพลงนี้มาใช้ทำ Challenge บน TikTok อย่างที่พลบอกว่านี่คือความสำเร็จแบบ One-Hit Wonder ที่นักร้องคนหนึ่งจะมีเพลงฮิตเพียงหนึ่งเพลงในช่วงชีวิต
ย้อนกลับไปเดือนพฤศจิกายน ปี 2023 เพลงพี่ชอบหนูที่สุดเลย ถูกปล่อยให้ฟังเป็นครั้งแรก กลับไม่ได้เป็นเพลงที่มีทีท่าว่าจะดังแม้แต่น้อย
“ตอนนั้นผมปล่อยเพลงไม่ถึงแสนวิว แล้วรายได้มันก็น้อยลงจนมันไม่ครอบคลุมรายจ่ายต่อเดือนแล้ว แล้วผมจะไม่ยอมเป็นภาระที่บ้านเด็ดขาด เลื่อนเฟซบุ๊กเจอเพื่อนออกรถพิกอัปคันใหม่ เพื่อนมีลูก 2 ไปแล้ว แล้วเราทำอะไรอยู่วะ”
“ผมเลยขอทำเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้าย เอาเงินเก็บตัวเองมาลงเอ็มวี ก็ด่าตัวเองอยู่นะตอนนั้นว่าทำอะไรไม่คิดอีกแล้ว” พลยิ้ม
“ผมคือคนที่เอาสปีดอัปลง TikTok เป็นคนแรก ทำเองทุกอย่างเลย ลงไปครึ่งปียังไม่มีใครเล่นแผ่นเสียงเลย ผมก็ยังพยายามกับมันต่อไป จนสุดท้ายก็มีคนเริ่มเล่นขึ้นมา
“ผมก็ไม่มีเกณฑ์วัดว่าเพลงไหนจะดัง เพราะว่าเพลงที่ดูดังมากๆ ตอนนี้ ลงไป 6 เดือนคนยังไม่สนใจเลย ระหว่างนั้นผมปล่อยไป 2-3 คลิปแล้วด้วยนะ ถ้า ตอนนั้นผมตัดสินใจแล้วว่าไม่เวิร์ก ผมอาจจะไม่ปล่อยแล้วอยู่ในคอมพ์ฯ ต่อไปก็ได้”
“ชีวิตนี้ผมไม่เคยทำแบบนั้นได้เลย มันก็เป็นครั้งแรกของผมเหมือนกันนะ พอมันไปได้ไกลผมก็ทำอะไรไม่ถูก กว่าผมจะออกมาขอบคุณก็สักพักแล้ว ต้องรู้สึกยังที่ไอดอลเกาหลีเอาเพลงไปเต้น ไม่รู้ต้องทำตัวยังไงด้วย ชอบมีคนมาถามว่าการทำเพลงไทยให้ข้ามกำแพงภาษา ผมจะตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ)”
“มันน่าจะเป็น One-Hit Wonder ของผมเลย”
พี่คงไม่ชอบผมหรอก ถึง พี่ชอบหนูที่สุดเลย เพลง Poppy Love ที่ได้ใจคนฟัง
“ผมชอบเวลาผมได้ฟังคนเล่าเรื่องความรัก เพราะเวลาคนมีความรักแล้วมันสดใส แล้วก็ชอบเวลาคนเศร้าเหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความรัก”
หากใครติดตามพลเชษฐ์มาตลอด เชื่อว่าต่อให้สุ่มเพลงไม่ต้องดูชื่อคนแต่งก็รู้ว่าต้องเป็นเขาแน่นอน จากคำร้องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักรุ่นพี่ รุ่นน้อง ใช้สรรพนามพี่และหนูเป็นลายเซ็น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพลชอบเรื่องความรักนั่นเอง
“เราชอบดูซีรีส์เกาหลี อ่านมังงะ แนวรักพับพิเลิฟในวัยเรียน ผมชอบความรักช่วงมัธยมหรือมหาวิทยาลัยเพราะเป็นช่วงที่พีคของความรัก มันหอมหวานเป็นพิเศษ ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นเหมือนวัยทำงาน
“ผมเอาประสบการณ์ความรักของตัวเองไปใส่ในงานเยอะเลย เพราะเป็นช่องทางนึงที่ใช้ระบายความรู้สึกออกมา อกหัก เครียด เอาลงในเพลงแล้วลงยูทูบเลย เคยนั่งเทียนเขียนแบบไม่ได้รู้สึกอะไร มันสามารถทำออกมาเป็นชิ้นงานได้นะ แต่มันกลวง อย่างน้อยขอให้ได้ไปฟังเรื่องของเพื่อนก็ยังดี ผมอินง่าย ผมดูซีรีส์แป๊บเดียวก็ร้องไห้แล้ว”
แต่ที่ผ่านมาไม่ค่อยเห็นเพลงเศร้าเท่าไหร่ เราตั้งข้อสังเกต
“ใช่ครับ” พลยอมรับ “มันกำลังจะเป็น chapter ต่อไปสำหรับผม ทุกคนก็บอกว่าทำเพลงพับพิเลิฟต่อไปนะ แต่ถ้ามันเป็นเกมคือผมเคลียร์มันไปแล้วกับเพลง I Like You The Most ตอนนี้เราอยากไปเล่นเกมใหม่ อยากทำเพลงเศร้าเป็นเพลงดังของเรา”
“เวลาได้ไปโชว์ มันไม่ได้มีแต่คนที่แฮปปี้ บางคนอาจจะเพิ่งเลิกกับแฟน ผมอยากให้มีช่วงเวลานึงที่ผมจะร้องเพลงนั้นให้คนเหล่านั้นบ้าง”
“ถ้าเป็นเพลงเศร้าแบบของ Ponchet ก็อยากให้เจ็บที่สุดเท่าที่เจ็บได้ แต่ยังเน้นฟังง่ายๆ ผมโตมากับกามิกาเซ่ด้วย เลยชอบอะไรที่เป็นเรื่องรักสดใส หรือถ้าเศร้าก็เศร้าแบบเปิดฟังบัว มันน่าสนุกตรงนี้แหละ อยากให้คนรู้ว่าผมมีด้านนี้อยู่ด้วย” เขาตาเป็นประกายพร้อมขยับตัวด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง
การเดินทางครั้งใหม่ใน What The Duck
การเป็นนักร้องในค่ายเพลงอาจเคยเป็นความฝันของนักดนตรีหลายคน แต่สำหรับพลเขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่เคยมองภาพตัวเองเป็นศิลปินมีค่ายมาก่อน”
หลากหลายความรู้สึกเกิดขึ้นเมื่อมีคนติดต่อชวนพลมาเป็นศิลปินในค่าย What The Duck
แม้จะเป็นโอกาสดีที่ไม่ได้มาบ่อยๆ แต่สิ่งที่เขาต้องเอาก้าวข้ามให้ได้ก่อนการตัดสินใจครั้งสำคัญคือ เขาต้องเอาชนะความกลัวกับอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นและความกลัวกับการแสดงต่อหน้าผู้คนให้ได้
“ผมเลือกที่จะไม่เข้าค่ายและอยู่เชียงรายต่อไปก็ได้ เพราะตอนนั้นผมก็ผมดูแลตัวเองได้ มีรายได้จากการทำยูทูปมา 7 ปี เอามาสร้างบ้านหลังเล็กๆ ได้ มันคือเซฟโซนของเรา ตอนโควิดผมทำเพลงอยู่ในห้องเป็นปีๆ ไม่ไปไหนเลย แฮปปี้ ไม่ได้อึดอัดเลย สามารถอยู่จนแก่เลยด้วยซ้ำ”
“แต่ช่วงขาขึ้นทุกอย่างปะเดปะดังเข้ามาที่ผมคนเดียว ผมไม่มีวิธีรับมือกับสิ่งเหล่านี้เลย ทั้งขอซื้อลิขสิทธิ์ ไหนจะติดต่อไปเล่นหน่อย งานโชว์เป็นสิ่งที่ผมกลัวมาก
“ผมเคยออกมาทัวร์กับเพื่อนช่วงปี 3 เราก็ยังเด็กกันมาก เราไปเล่นร้านเหล้า แล้วเพลงเรามันไม่ได้เหมาะกับการเล่นร้านเหล้าเลย เวลาไปเล่นเลยได้รับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยโอเค คนไม่สนใจ ความมั่นใจในการเพอร์ฟอร์มของผมก็เลยหายไปด้วย
“ผมกลัวเหลือเกิน กลัวว่าขึ้นไปแล้วเขาจะไม่รู้จัก กลัวว่าขึ้นไปแล้วเขาจะเมิน กลัวว่าพูดคำว่าขอเสียงหน่อยแล้วเขาจะเงียบ กลัวความผิดหวัง กลัวว่าจะไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ต้องการ มันน่ากลัวมากสำหรับการเป็นนักร้อง”
แม้จะยังมีความกลัวอยู่เต็มหัวใจ แต่เขาก็ตัดสินใจเซ็นสัญญาเป็นนักร้องในสังกัด ด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่อยากพลาดอะไรไปในชีวิต
“ตอนที่ผมจะเข้าค่ายผมคิดแล้วคิดอีก เข้าไปแล้วก็จะเจอคนไม่ดีหรือเปล่า แต่ถ้าไม่เข้าก็จะเสียโอกาสนะเว้ย มันมีเสียงสองคนตีกันอยู่ในหัวแบบนี้ จนค่ายเรียกผมมาคุยครั้งที่สาม พูดว่าเล่นตัวเลยก็ได้ แล้วมันก็มีโมเมนต์นึงที่ผมบอกว่า ‘เซ็นเลยก็ได้ครับ’ ทุกคนก็แบบ ห้ะ พี่บอลก็บอกว่า ‘มึงพูดจริงปะเนี่ย’ บทจะเซ็นก็เซ็น เขาก็งง”
“ผมเอาตีนก่ายหน้าผากไปหลายวันมาก ทางไหนคือคำตอบที่ถูกวะ สุดท้ายไม่มีใครรู้หรอก แต่เสียงในหัวบอกว่าไปเหอะ ถ้าไม่ทำตอนนี้นึกย้อนมาจะเสียใจหรือเปล่า ผมเลยเซ็นเลย มีคนด่าผมด้วยทำไมไม่คิดดีๆ ก่อน แต่ก็เหนื่อยแล้วอะ คิดมาหลายคืนแล้ว ไม่ได้คิดน้อยด้วย คิดเยอะไปต่างหาก”
“ถ้ามันมีเหตุผลทั้งคู่แล้วเลือกไม่ได้จริงๆ ก็ฟังเสียงใจตัวเองในแวบเดียวตอนนั้นเลย”
บทสรุปของการตัดสินใจโดยใช้หัวใจนำทาง
พลเล่าว่าชีวิตหลังเป็นศิลปินในสังกัดเต็มตัวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
“ผมกล้าพูดเลยว่าทุกคนในค่ายโอเคมากๆ อยู่กันแบบอบอุ่น ผมเกิดคอมมิวนิตีใหม่ขึ้นมา ผมขอร้องกับค่ายเลยว่าทำให้ผมออกไปโชว์ได้ที ทำยังไงก็ได้ให้ผมไม่กลัวคน เพราะผมทำเพลงแต่งในห้องอย่างเดียว ไม่รู้เลยว่าการออกมาเพอร์ฟอร์มข้างนอกต้องทำอะไรบ้าง
“ทั้งที่เป็นเรื่องดนตรีเหมือนกัน มันคืออีกโลกหนึ่งเลย ทุกวันนี้เข้าค่ายมาไม่กี่เดือน แต่ได้รู้อะไรเยอะมากกว่าตอนที่ทำเพลงคนเดียวหลายปีอีก ได้โดนโยนเข้าไปในสถานการณ์แปลกๆ ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ มันก็คุ้มแล้วจะอยู่ ไม่เสียใจเลยที่เข้าค่าย ได้เจอคนฟัง ออกมาร้องเพลงแล้วคนร้องตามเป็นภาพที่ไม่เคยฝัน เพราะก่อนหน้านั้นคงไม่มีความกล้าจะออกมา”
“ส่วนเรื่องโชว์ทุกวันนี้ปล่อยวางแล้ว เพราะพี่ๆ หลายคนที่เขาดังกว่าผมเขาก็ต้องเจอ มันมีบางโมเมนต์ได้ไปอยู่ในจุดที่เราไม่ควรไปอยู่ เช่น บางงานเราไป เขาไม่ใช่ทาร์เก็ตเรา เขาก็อาจจะไม่ได้ส่งเสียงให้เรา แต่เมื่อได้ไปอยู่ตรงนั้นแล้ว เราแค่ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง คิดซะว่าเป็นแบดเดย์ แล้วก็ลุยกันต่อ”
จนถึงวันนี้คุณเชื่อไหมว่าตัวเองตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว เราถามคำถามสุดท้าย หลังจากเห็นการเดินทางของพลมาทั้งหมด อดสงสัยไม่ได้ว่าผลลัพธ์ที่ไม่ได้คาดหวังนี้เป็นความตั้งใจของเขาแค่ไหน
“ไม่เลย ผมคิดว่าแต่ละชอยซ์มันก็อาจจะมีชอยซ์ที่เร็วกว่านี้ที่ทำให้ผมดังไปอีกทางก็ได้ ตั้งแต่การเลือกลงเพลงไม่ลงเพลงแล้วนะ บางครั้งเราคิดเยอะไปว่าเพลงนี้ไม่ดัง ถ้าผมลงไปมันอาจจะดังไปนานแล้วก็ได้
“ในชีวิตคนเรามันมีทางแยกเกิดขึ้นตลอดอยู่แล้ว ผมว่าไม่มีใครเลือกถูก 100% แน่นอน อาจจะเลือกพลาดไปบ้าง แต่ก็ยังดีที่ทุกวันนี้ได้ประมาณนี้ ก็ไม่ต้องซีเรียสกับมันมาก แค่เลือกสิ่งที่เราต้องการ”
พลพยักหน้าทิ้งท้ายบ่งบอกว่าพอใจกับการตัดสินใจของตัวเองแล้ว
แน่นอนว่าเส้นทางนักร้องของเขาเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น หลังจากนี้พลจะก้าวไปทิศทางไหนคงต้องรอให้ทุกคนติดตามต่อไป