JustCo โคเวิร์กกิ้งสเปซที่ไม่ใช่แค่ได้งาน แต่คือการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจ

ถึงจะไม่ได้เป็นฟรีแลนซ์ แต่บางครั้งเราก็ชอบออกไปนั่งทำงานในโคเวิร์กกิ้งสเปซดีๆ ที่การันตีได้ว่า มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง บรรยากาศไม่เงียบไป แต่ก็ไม่ดังเกินกว่าจะมีสมาธิจดจ่อกับงาน ถึงอย่างนั้น ภาพจำของโคเวิร์กกิ้งสเปซที่เราเคยใช้บริการก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าโต๊ะทำงานส่วนกลาง พื้นที่คาเฟ่ให้นั่งพักผ่อน บวกกับสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน

เราพกความสงสัยไว้ในใจว่า โคเวิร์กกิ้งสเปซจะเป็นมากกว่าพื้นที่ทำงานได้ยังไง ขณะเดินทางไปเยี่ยมชม JustCo ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศสิงคโปร์

หลังจากไปเห็นกับตาและพูดคุยกับ Kong Wan Sing ผู้ก่อตั้งและประธานอำนวยการของบริษัท JustCo อย่างเป็นกันเองแล้ว เราพบว่าแนวคิดที่เน้นการเข้าใจผู้ใช้งานและการสร้างความร่วมมือระหว่างธุรกิจ (community & collaboration) นี่เองที่เป็นหัวใจหลักที่อยู่เบื้องหลังโคเวิร์กกิ้งสเปซ 20 กว่าสาขาทั่วภูมิภาคอาเซียนและทำให้ JustCo ไม่เหมือนที่อื่น

คนทำงานรุ่นใหม่ต้องการงานที่ยืดหยุ่นทั้งเรื่องสถานที่และเวลามากขึ้น พวกเขาสามารถทำงานได้ทุกที่ในตอนไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีออฟฟิศหรือโต๊ะทำงานประจำ ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นเฉพาะฟรีแลนซ์หรือคนทำงานในธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีพนักงานไม่กี่คนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเหล่ามนุษย์เงินเดือน พนักงานในองค์กรใหญ่ๆ ที่เรียกร้อง ‘งาน’ ที่หลอมรวมเข้ากับ ‘ชีวิตประจำวัน’

หว่าน ชิงบอกเราว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ JustCo ประสบความสำเร็จเป็นเพราะตัวเขามองเห็นเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ของคนรุ่นมิลเลนเนียลที่ไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ในออฟฟิศ พิมพ์ข้อมูลอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลจากการที่เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของทุกคนไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ มีบริษัทใหญ่ๆ หรือบริษัทข้ามชาติ (multinational company) จำนวนไม่น้อยที่เป็นลูกค้าของ JustCo พวกเขาต้องการแค่ห้องทำงาน ห้องประชุมส่วนตัวที่ทำให้พนักงานทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ไม่ต้องการวุ่นวายกับการจัดการพื้นที่หรือการจัดหาอุปกรณ์สำนักงานซึ่งเป็นต้นทุนที่ไม่จำเป็น

โคเวิร์กกิ้งสเปซของ JustCo ให้บริการทั้งรูปแบบของโต๊ะทำงานที่ใครจะมานั่งก็ได้ (hot desk) ห้องประชุม รวมถึงสตูดิโอสำหรับลูกค้าที่มีออฟฟิศเป็นของตัวเองที่สมาชิกจะเข้าออกได้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนการออกแบบหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ในแต่ละสาขาก็มีแตกต่างกันออกไป

ครั้งนี้เราได้ไปดูโคเวิร์กกิ้งสเปซ 2 ใน 8 สาขาของ JustCo ที่กระจายตัวอยู่ในย่านธุรกิจสำคัญของสิงคโปร์ สาขาแรกคือที่ห้างสรรพสินค้า Marina Square ที่เพิ่งเปิดตัวหมาดๆ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และยังเป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซสาขาแรกที่ให้บริการในห้้างสรรพสินค้า เป็นความตั้งใจของหว่าน ชิงที่อยากให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงพื้นที่นี้ได้ง่ายขึ้น

การออกแบบของสาขา Marina Sqaure เน้นการใช้สีสันสดใส ชวนกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจใหม่ๆ โต๊ะทำงานไม้สไตล์สแกนดิเนเวียที่รองรับได้กว่า 150 ที่นั่ง มีพื้นที่คาเฟ่ใหญ่พิเศษให้นั่งจิบกาแฟไปด้วย ประชุมไปด้วย เพิ่มความสนุกด้วยตัวหนังสือนีออนดัด และพื้นที่นันทนาการที่เราพบว่าที่นี่จัดเต็มสุดๆ เพราะมีทั้งโต๊ะปิงปอง โต๊ะเกมฟุตบอล และลู่ไดรฟ์กอล์ฟสำหรับคลายเครียด รวมถึงพื้นที่สำหรับโชว์เคสไอเดียเจ๋งๆ ของแต่ละบริษัทที่สมาชิกคนไหนสนใจก็ชวนพูดคุยกับเจ้าของไอเดียได้เลย ทั้งหมดนี้อัดแน่นอยู่ในพื้นที่กว่า 5,600 ตารางเมตร บนชั้น 3 ของห้างที่ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เดิมทีจากที่เป็นพื้นที่ทางเดินที่ไม่มีมูลค่าทางธุรกิจก็ปรับมาเป็นพื้นที่ของโต๊ะทำงาน กั้นด้วยกระจกใสที่มองลงไปยังเห็นคนเดินเข้า-ออกร้านค้าของห้าง การเชื่อมต่อที่กลมกลืนและเชื้อเชิญให้คนเข้ามาใช้งานนี่ล่ะที่เป็นจุดเด่นของที่นี่

ส่วนอีกสาขาที่อาคาร Marina One East Tower อาคารสำนักงานในย่านใจกลาง Marina Bay นั้นถือว่าเป็น ‘the most premium co-working locations’ เพราะตั้งอยู่ในโครงการมิกซ์ยูสแห่งใหม่ของสิงคโปร์ ที่เป็นทั้งออฟฟิศ ห้างสรรพสินค้า และที่พักอาศัย การออกแบบตกแต่งภายในสาขานี้จึงเน้นความเรียบหรู เหมาะสำหรับลูกค้าทางธุรกิจระดับพรีเมียม

หว่าน ชิงบอกเราว่า การออกแบบพื้นที่ของ JustCo ยังอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมและการใช้งานจริงของผู้ใช้ อย่างการสังเกตว่าพื้นที่ตรงไหนมีคนใช้งานเยอะ หรือพื้นที่ตรงไหนที่ออกแบบมาแล้วกลับไม่มีคนไปใช้ การดูข้อมูลช่วงเวลาการเข้าใช้บริการเพื่อหาว่าจะจัดการโฟลว์อย่างไร แต่ที่สิงคโปร์มีข้อดีก็คือโคเวิร์กกิ้งสเปซของ JustCo แต่ละสาขาอยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่ และสมาชิกก็สามารถเข้าไปใช้งานได้ทุกสาขาไม่จำกัด

อ่านมาทั้งหมดก็ยังไม่ชัดว่า JustCo แตกต่างจากโคเวิร์กกิ้งสเปซที่อื่นยังไง คล้ายกับว่าหว่าน ชิงจะอ่านใจเราออก

“สำหรับ JustCo เราแตกต่าง ถึงแม้คุณจะเห็นว่าเรามีโต๊ะทำงาน มีคนมาทำงานเหมือนที่อื่นๆ แต่คนเหล่านั้นเขามองหาสิ่งที่มากกว่าแค่พื้นที่ทำงาน สิ่งที่เราสร้างคือชุมชนคนทำงานที่ทุกคนมาร่วมมือกัน” หว่าน ชิงตอบพร้อมยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า คีย์เวิร์ดนี้นำมาสู่การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้ใหญ่ หรือแม้แต่การออกแบบห้องประชุมต่างๆ ให้เป็นกระจกใสทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้บริการทุกคนมองเห็นได้ว่าใครทำงานบริษัทไหน มีวิถีการทำงานอย่างไร ไปจนถึงความลับว่าพวกเขากำลังประชุมเรื่องอะไรก็จะไม่มีอีกต่อไป

ตัวอย่างความร่วมมือทางธุรกิจที่ JustCo ทำให้เกิดขึ้นได้แล้วในสิงคโปร์คือ การช่วยหาทุน (fundraising) ให้กับสตาร์ทอัพ โดยให้แต่ละบริษัทมาพิตชิ่งไอเดียกับ venture capital ต่างๆ หรือการช่วยจัดอีเวนต์ hackathon ที่ทดสอบเทคโนโลยี 5G ให้กับบริษัท Verizon

นี่จึงเป็นคำตอบที่สรุปได้ชัดว่า JustCo ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการพื้นที่ทำงาน แต่คือผู้สร้างโอกาสและความร่วมมือใหม่ๆ ให้ภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ที่ต้องปรับตัวให้ทันกับไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ไปพร้อมๆ กัน

ความร่วมมือนี้ยังรวมไปถึงธุรกิจจากประเทศอื่นๆ ด้วย ในการขยายสาขาไปทั่วภูมิภาคเอเชียที่ JustCo ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 100 แห่งภายในปี 2563 JustCo จะจับมือกับ local partner ของแต่ละประเทศที่พวกเขามั่นใจแล้วว่าเข้าใจผู้ใช้งานในประเทศนั้นๆ จริง กรุงเทพฯ เองก็เป็นอีกตลาดหนึ่งที่มีการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพและมีจำนวนคนทำงานรุ่นใหม่สูงมาก

JustCo ที่ประเทศไทยเปิดให้เหล่าฟรีแลนซ์และคนทำงานรุ่นใหม่เข้าไปใช้บริการได้แล้ว 2 สาขา คือที่เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ และแคปปิตอล ทาวเวอร์ ส่วนสาขาล่าสุดที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2562 คือที่สามย่านมิตรทาวน์ ซึ่งจะกลายเป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยคือ 8,000 ตารางเมตร และมีการออกแบบ การให้บริการในมาตรฐานเดียวกันกับที่สิงคโปร์ให้เราได้ใช่้กัน

การทำงานที่ไม่ใช่แค่เพียงให้ได้งานของตัวเอง แต่ยังต่อยอดธุรกิจและสร้างเครือข่ายอย่างไม่สิ้นสุด คือคำตอบว่าทำไมธุรกิจโคเวิร์กกิ้งสเปซถึงยังอยู่ได้และจะไปต่อได้อีกไกล

ภาพ JustCo

AUTHOR