“ถึงเป็นชนเผ่า แต่เราก็คนเหมือนกัน” เพียงเบิ่นของ ‘คำ นายนวล’ หญิงดาราอั้งผู้ลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิของตัวเอง

‘เพียงเบิ่น’ แปลว่าอะไร? 

หากถามคนหนึ่งร้อยคนรอบตัวตอนนี้ เชื่อได้ว่าร้อยทั้งร้อยน่าจะไม่รู้ความหมายหรือแม้แต่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน เพียงเบิ่นจึงไม่ใช่คำคุ้นหู พอๆ กับที่ ‘ดาราอั้ง’ ก็อาจเป็นคำที่เราหลายคนเพิ่งเคยได้ยินเป็นหนแรกในวันนี้เอง

แต่ไม่ใช่กับ ‘คำ นายนวล’ หญิงชาวดาราอั้ง–กลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพหนีภัยสงครามจากพม่ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ภาคเหนือของประเทศไทย เธอได้ยินคำว่าเพียงเบิ่นมาตั้งแต่จำความได้ ผ่านตำนานที่เล่าต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

เพียงเบิ่น

“เพียงเบิ่นคือปีกบินในภาษาดาราอั้ง เวลาพูดถึงเพียงเบิ่นเรานึกภาพตัวเองเป็นนางฟ้าที่สามารถบินได้ ถ้าเราบินได้ เราก็อยากบินไปทุกที่ที่เราอยากไป บินไปให้ถึงที่ที่เราฝัน เราอยากไปกรุงเทพฯ”

พอๆ กับที่หลายคนไม่คุ้นหูกับคำว่าเพียงเบิ่น คำและชาวดาราอั้งส่วนใหญ่เองก็ไม่คุ้นกับการเดินทางไปกรุงเทพฯ จนทำให้กรุงเทพฯ คล้ายเป็นฝันแสนไกลที่ต้องใช้ปีกบินไปเท่านั้น

อย่างไรก็ตามที่ดาราอั้งไปไม่ถึงกรุงเทพฯ หรือฝันอื่นๆ นั้นไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีปีก แต่เป็นเพราะชาวดาราอั้งส่วนใหญ่เป็นคนไร้สัญชาติทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิพื้นฐานหลายประการ และหลายหนที่ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้คำลุกขึ้นตั้งคำถาม ต่อสู้ในสารพัดหนทาง ทั้งพัฒนาความรู้ด้านกฎหมาย ดำรงตำแหน่งประธานเครือข่ายผู้หญิงชนเผ่าแห่งประเทศไทย

แต่เครื่องมือการต่อสู้และตั้งคำถามของคำไม่จำกัดอยู่แค่การพัฒนาความรู้เท่านั้น เธอยังเลือกใช้ละครเป็นอีกเครื่องมือต่อสู้เพื่อสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเธอและ ‘กลุ่มละครมะขามป้อม’ ร่วมกันบอกเล่าความเป็นมาของชาวดาราอั้งผ่านละครแสดงเดี่ยวเรื่องเพียงเบิ่นซึ่งถูกเขียนขึ้นจากประสบการณ์ตรงของเธอ

เพียงเบิ่น จึงไม่ใช่แค่ละครที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงผ่านบทพูดและบทเพลงลำนำชนเผ่า แต่เป็นทั้งการลุกขึ้นตั้งคำถาม การตีแผ่ความเป็นอื่น และการตามหาสิทธิในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียมจากการแสดงของเธอนั่นเอง

และเรามั่นใจว่าบทสนทนาต่อจากนี้คุณจะเข้าใจคำว่าเพียงเบิ่นและดาราอั้งมากขึ้น ผ่านคำ นายนวล และปีกอันแกร่งกล้าของเธอ

เพียงเบิ่น

จุดเริ่มต้นของละครแสดงเดี่ยวเรื่อง เพียงเบิ่น คืออะไร

เริ่มแรกคุณจ๋อน (ปองจิต สรรพคุณ) เขามาถามเราว่าเรามีอะไรอยากเล่าเรื่องดาราอั้งไหม เราก็ตอบว่ามี เราอยากเล่าเรื่องเครื่องแต่งกายของดาราอั้ง เขาเลยมาไล่ถามความหมายของชุด ถามว่าทำไมถึงอยากเล่าเรื่องราวพวกนี้

ตอนแรกเรายังไม่รู้เลยว่าคุณจ๋อนมาคุยกับเราเพราะจะเอาไปทำละคร เหมือนเขาแค่มาชวนคุยเรื่องชีวิตเฉยๆ แต่หลังจากนั้นเขาก็ถามว่าเราอยากทำละครไหม เราอยากทำ แต่ไม่รู้ว่าส่วนไหนของชีวิตเราไปทำละครได้เหรอ 

จนวันหนึ่งคุณจ๋อนขึ้นมาที่หมู่บ้าน มานั่งคุยด้วยยาวๆ จดบันทึกเรื่องที่เราเล่าไปเรื่อยๆ เราเล่าทุกเรื่องตั้งแต่เราอพยพจากพม่าเข้ามาในประเทศไทย คุยกันอยู่หนึ่งวันเต็ม กระทั่งคุณจ๋อนมาบอกว่าได้ละครแล้วนะ ใช้เวลานานพอสมควร 

ตอนนั้นทำไมคุณถึงอยากเล่าเรื่องชุดดาราอั้ง

เครื่องแต่งกายคือตำนานของเรา ถึงเราเป็นดาราอั้ง แต่ในตำนาน เราเคยเป็นนางดอยเงิน เป็นนางฟ้า เรามีความเชื่อของเราซึ่งความเชื่อนี้บอกเล่าผ่านชุดและเครื่องแต่งกาย

ตรงแถบเสื้อสีน้ำเงินด้านหน้าทั้งสองข้างเปรียบเหมือนท้องฟ้า มีกระดุมเป็นประกายแวววาวเราจะเรียกว่าดวงดาว อีกส่วนคือลายผ้าถุงที่เป็นขั้นๆ และแถบสีแดงหรือชมพูด้านหน้าเสื้อคือถนนขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ส่วนเอวเราเรียกว่าน่องซึ่งคือบ่วงบาศของนายพรานที่จับนางดอยเงินเอาไว้บนโลกมนุษย์ สุดท้ายแขนที่มีตุ้งติ้งห้อยลงมาคือปีกที่ใช้บิน 

นอกจากชุดแล้ว ทำไมต่อมาคุณถึงอยากถ่ายทอดเรื่องราวของดาราอั้งผ่านการแสดง

เราฝันมานานแล้ว อยากเผยแพร่เรื่องของเราให้คนอื่นที่ยังไม่รู้ได้เข้าใจ ให้คนที่ไม่เคยสัมผัสได้สัมผัส

ที่ผ่านมาดาราอั้งถูกดูหมิ่น คนอื่นมองดาราอั้งเป็นคนกระจอก มองเราไม่ใช่คน เราอยากพูดถึงเรื่องนี้ให้เขารู้ว่าถึงเราเป็นชนเผ่า แต่เราก็คือคนเหมือนกัน 

เครื่องแต่งกายเรามีความหมายในตัวเองอยู่ เพียงเบิ่น คือการเล่าเรื่องราวของดาราอั้งผ่านเครื่องแต่งกาย ผ่านความเชื่อและการเดินทางของเรา

เราอยากชวนมาดู เพียงเบิ่น เพราะอยากให้เขารู้ว่าเราก็คือคนที่ควรจะให้เกียรติกัน อยากให้ได้รู้จักสิ่งที่เราเชื่อ ความสัมพันธ์ บางคนไม่เคยเห็นหรืออาจไม่รู้จักดาราอั้งมาก่อน การมาดูคือการเรียนรู้ไปด้วยกัน ในอนาคตเวลาเจอดาราอั้งหรือแม้แต่กลุ่มอื่นจะได้เห็นเราในฐานะคนที่มีเรื่องราว มีครอบครัว เห็นเราในฐานะคนไม่ใช่ตัวตลกของใคร 

อีกอย่างนี่คือส่วนหนึ่งของการบันทึกความทรงจำร่วมกัน เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีดาราอั้งได้มาถ่ายทอดประสบการณ์แบบนี้อีกไหม หรือสิ่งที่เราเล่าจะคงอยู่ไปอีกนานหรือเปล่า เลยอยากให้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งต่อความทรงจำของดาราอั้งออกไป

สิ่งที่ยากที่สุดของการแสดงละครครั้งแรกคืออะไร

ช่วงแรกมีหลายเรื่องที่ยังเปราะบางและเราไม่อยากพูดถึง ตอนเล่นแรกๆ เราเลยเล่นไปร้องไห้ไป ทางมะขามป้อมก็มองว่าแบบนี้ไม่น่าดีกับเรา เขาจะคอยถามตลอดว่าทำไมเล่นถึงตรงนี้แล้วร้องไห้ 

บางเรื่องเราพูดถึงเมื่อไหร่น้ำตาจะคลอทันที เพราะสำหรับเราเหมือนว่าเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เลยไม่อยากพูดถึง ทางมะขามป้อมก็บอกว่าถ้าไม่สะดวกตอนนี้ก็เอาออกได้

นอกจากส่วนที่เปราะบางแล้ว ในเพียงเบิ่นมีส่วนไหนที่คุณชอบที่สุดบ้าง

หลายส่วน อย่างตอนที่ได้พูดถึงพี่น้อง 13 คน เพราะตัวเราไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับพี่น้องทั้ง 13 คน เรารู้จักพวกเขาผ่านเรื่องเล่าของแม่เท่านั้น พอบทพูดถึงตรงนี้ เราเลยตื้นตันใจมากที่ได้เล่าเรื่องราวของครอบครัวออกมา และหลายตอนที่พอเราเล่าออกมาระหว่างแสดงแล้วเราเห็นภาพเลย เหมือนเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

เวลาพูดคำว่าเพียงเบิ่นคุณนึกถึงอะไร

เพียงเบิ่นคือปีกบินในภาษาดาราอั้ง เวลาพูดถึงเพียงเบิ่นเรานึกภาพตัวเองเป็นนางฟ้าที่สามารถบินได้ ถ้าเราบินได้ เราก็อยากบินไปทุกที่ที่เราอยากไป บินไปให้ถึงที่ที่เราฝัน ไม่ต้องเหนื่อย เราอยากไปกรุงเทพฯ

เพียงเบิ่น

ถ้ามีปีกก็ไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทาง แสดงว่าคุณค่อนข้างเหนื่อยกับการเดินทางใช่ไหม

เราเหนื่อยกับการย้ายบ้านบ่อยๆ เพราะการย้ายไปเรื่อยๆ ทำให้เรายากจนมาก การย้ายทุกครั้งทำให้จนลงเรื่อยๆ แทนที่จะได้คิดเรื่องการพัฒนาตัวเอง หรือการวางแผนส่งต่อสิ่งที่มีให้ลูกให้หลาน เราไม่อยากย้ายไปไหนแล้ว ตรงไหนดีแล้วเราก็คงไม่อยากย้าย แต่ที่ต้องย้ายเพราะมีเหตุให้ย้ายอยู่ตลอด

จำการย้ายเข้ามาในไทยครั้งแรกได้ไหม ตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง

ตอนที่ย้ายมาเรายังเล็กมาก จำความได้น้อยมาก เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นตอนที่หนีมา รู้แค่ว่าเราต้องออกเดินทางตอนกลางคืน พ่อกับแม่จะไม่ให้เราออกหมู่บ้านตอนกลางวันเลย เราเลยออกเดินทางกลางดึกคืนหนึ่ง อพยพกันทั้งหมู่บ้าน เราไม่รู้จำนวนที่แน่ชัด แต่จำได้ว่าคนมากันเยอะมาก ยืนมองจะเห็นแถวคนเดินกันยาวสุดสายตา

เป็นการเดินทางที่นาน นอนในป่าไม่รู้กี่วันกี่คืน เราจำได้เป็นส่วนๆ เช่นจำตรงที่นอนใกล้น้ำห้วย พ่อแม่จับปลามาย่างให้เรากิน อีกครั้งตรงที่เราหิวน้ำจนร้องขอกินน้ำกับลุง แต่ลุงบอกให้กินฉี่ตัวเองแทน แล้วก็ตรงที่พ่อบอกว่าเดินไม่ไหวแล้ว ขอแวะนอนกันก่อน แต่พอเราแวะนอน กลับเจอกระดูกคนเต็มไปหมด เราจะจำเฉพาะอะไรที่บาดใจ มันฝังมาถึงปัจจุบัน

เพียงเบิ่น

ตอนนั้นทำไมคุณต้องย้ายจากพม่า

เราเคยถามพ่อกับแม่นะ พ่อกับแม่เล่าว่าที่เราต้องหนีตอนกลางคืนเพราะเขาจะมาเอาคนไปเป็นทหาร บ้านเราไม่มีพี่ชาย เขาก็จะเอาพี่สาว เขามาเก็บรายชื่อพี่สาวคนโตไปแล้ว เก็บรายชื่อก่อน แล้วเขาก็จะมาเอากำลังคนไป

พอเข้ามาในไทยได้แล้ว คุณอยู่ที่หมู่บ้านปางแดงนอกที่อยู่ตอนนี้แต่แรกเลยไหม

ไม่ ตอนแรกเรามาเจอญาติของแม่ เขาตั้งหมู่บ้านเป็นกระท่อมอยู่รวมกันที่บ้านนอแล ดอยอ่างขาง ทำสวน ปลูกข้าวโพด ปลูกผัก ตอนนั้นรู้สึกว่ามีความสุขดี เราเข้าใจว่าอยู่ในประเทศไทยแล้ว ก็ภูมิใจที่เรามาถูกทางแล้ว มีที่อยู่ที่ทำกิน ปลูกข้าวได้กว้างขวาง

แต่อยู่ตรงนั้นไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาเก็บข้อมูลประชากร สำรวจจำนวนคน ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นพื้นที่ประเทศไทยแล้ว ซึ่งจริงๆ กลับเป็นคนละฝั่งเส้นเขตแดน ปรากฏว่าเรายังอยู่ในเขตพม่า ทั้งที่จริงไทยกับพม่าก็แค่ถนนเส้นเดียวกั้นกลาง เราทั้งหมดก็อยู่หมู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ แค่ตั้งอยู่คนละฝั่งถนน

พอเรารู้ว่าอยู่คนละฝั่งก็ยังอยู่ที่เดิมต่อ แต่บางคนก็ย้ายข้ามไปเขตไทย พ่อเราไม่อยากย้าย ไม่อยากเริ่มสร้างบ้านใหม่ เพราะมันก็ไม่ได้ไกลกัน

จากนั้นเราถึงลงมาอยู่เชียงดาวช่วงปี 2532 เพราะมีลุงที่อยู่หมู่บ้านปางแดงใน เป็นญาติของพ่อ เขามาเที่ยวหากันก็ชวนว่าที่เชียงดาวหารับจ้างได้ง่าย ค่าแรงก็แพงกว่า ที่เชียงดาวได้วันละ 50 บาท แต่ที่อ่างขางให้แค่วันละ 30 บาท ซึ่ง 50 บาทถือว่าเยอะ ณ ตอนนั้น เราเลยย้ายมาที่หมู่บ้านปางแดงนอก 

เพียงเบิ่น

แล้วจุดเริ่มต้นของการลุกขึ้นมาตั้งคำถามและพัฒนาความรู้ด้านกฎหมาย จนเป็นประธานเครือข่ายผู้หญิงชนเผ่าแห่งประเทศไทยคืออะไร

ตอนที่เขามาจับเราตอนปี 2547 

จำได้ว่ายังเช้ามืดอยู่เลย ตอนนั้นเราก็ยังไม่ตื่น แต่ลูกที่กำลังนึ่งข้าววิ่งมาบอกว่ามีรถแห่มาเป็นขบวน มีทั้งรถตำรวจทหารมาที่หมู่บ้านเต็มไปหมด เราเลยบอกให้ลูกกับแฟนหนีไปก่อน

เจ้าหน้าที่เขาก็เข้ามาถามว่าใครเป็นเจ้าของบ้าน แล้วเอาตัวเราไปทั้งชุดนอนทั้งๆ ที่หนาวและมืดแบบนั้น 

ทีแรกเขาให้ไปคุยที่รถ แล้วก็บ่ายเบี่ยงให้ไปคุยที่อำเภอ ตอนที่อยู่บนรถคุมขังเราเริ่มคิดว่าจะกระโดดหนีลงจากรถเลยดีไหม แต่ตอนนั้นก็สองจิตสองใจ ถ้ากระโดดหนีแล้วพ้นก็ดีไป แต่ถ้ากระโดดแล้วเป็นอะไรไปใครจะดูแลครอบครัว

พอรถถึงหน้าอำเภอเขาก็ไม่ได้จอด เขาไปหน้าสถานีตำรวจ เราก็นั่งกันจนเขาเอาเอกสารมาแจก ตอนนั้นเรายังอ่านหนังสือไม่ค่อยเก่ง ลุงที่ถูกจับมาด้วยกันเขาบอกให้เราลองอ่านดู เพราะเขารู้ว่าเราเคยเรียนหนังสือ อ่านไม่ออกทั้งหมด แต่อ่านออกคำท้ายๆ ว่าเราโดนจับ เราเลยตะโกนบอกทุกคนว่าตอนนี้เราถูกจับแล้วนะ 

เพียงเบิ่น

เจ้าหน้าที่ได้บอกไหมว่าจับทำไม

เขาไม่บอกว่าจับเราทำไม จนสุดท้ายเราเข้าไปอยู่ในเรือนจำสองอาทิตย์กว่าถึงมีเอกสารส่งเข้ามา ผู้คุมถามว่าเรารู้ไหม เราถูกจับเรื่องอะไร เราก็บอกเราไม่รู้ 

เขาเลยอ่านให้ฟังว่าเราโดนคดีบุกรุกและทำลายป่า เรายิ่งตกใจกันไปหมด ว่าเรานี่เหรอบุกรุกป่า? แล้วที่เจ้าหน้าที่บุกมาจับเราตอนฟ้ายังไม่สว่างทั้งที่ยังนอนอยู่นั่นเรียกอะไร? มาจับไปทั้งหมู่บ้าน 48 คน ผู้หญิง 12 คน มีทั้งคนเฒ่า คนพิการ คนท้อง ยิ่งตอนนั้นเราท้องได้ 2 เดือน เป็นช่วงที่กำลังแพ้ท้อง กินอะไรไม่ค่อยได้ สุดท้ายเราก็แท้งลูก เพราะกินอะไรไม่ลง 

ดังนั้นที่เขาบอกว่าเราบุกรุกป่า เราว่ามันไม่ใช่ เราคือคนที่ปลูกและดูแลป่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไม่อยู่ป่าก็ไม่อยู่ เพราะเรานี่แหละคือคนที่ดูแลป่า

คุณเลยตัดสินใจลุกขึ้นสู้

ออกจากคุกมาเราก็คิดเลยว่าเราจะรอแค่ผู้ชายไม่ได้แล้ว ลุกขึ้นสู้เลย หาจับกลุ่มผู้หญิง เริ่มคุยกันจากกลุ่มเล็กๆ ว่าใครอยากจะทำอะไร ฝ่ายไหน แล้วก็เริ่มหาทาง 

จนมีอาจารย์และหลายๆ องค์กรเข้ามาให้ความรู้ว่าตั้งกลุ่มสตรีได้ เพราะก่อนหน้านั้นเวลาประชุมหมู่บ้านจะมีแค่ผู้ชายที่คุยกัน ไม่มีผู้หญิงสักคนที่จะกล้าชูมือขึ้นกลางวงประชุมเพื่อตั้งคำถามหรือบอกว่าสิ่งไหนไม่ถูก ไม่มีใครกล้า ผู้ชายว่ายังไงเราก็ว่าตามนั้น แต่ตอนนี้มีกลุ่มผู้หญิงเข้าไปแล้ว

เพียงเบิ่น

ทำไมคุณใช้คำว่าเรารอผู้ชายอย่างเดียวไม่ได้แล้ว

เราว่าบางทีผู้ชายเข้าไม่ถึงในบางรายละเอียด เวลาประชุม ผู้ชายอาจมีบางประเด็นที่เขารู้สึกว่าเขาไม่ควรพูด แต่ผู้หญิงเรารู้สึกว่าเราควรต้องลงลึกในรายละเอียดและเราก็เลือกคำที่ใช้ถามเพื่อไม่ให้ปะทะกัน

จริงๆ การจำยอมอาจง่ายกว่าการลุกขึ้นสู้ แต่ทำไมคุณเลือกการสู้

ใจมันบอกว่าเราอยู่ไม่ได้แล้ว เราอยากทำ และบางทีผู้ชายอาจมีงานอื่นเยอะแล้ว แต่เรามีเวลาไปเรียนรู้ เราจัดการเวลาไปเรียนไปสู้ได้เราก็ยิ่งต้องสู้ พอมีองค์กรหรือหน่วยงานเขามาสำรวจว่าใครอยากเรียนกฎหมาย เราอยากเรียน เราอยากพัฒนาหมู่บ้าน เราอยากช่วยแบ่งปันหน้าที่จากผู้ชาย เราก็เรียนเลย

คนรอบตัวเข้าใจไหมพอคุณเลือกลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้

ตอนแรกเราก็แค่เรียน เราได้รู้ว่าบทบาทของเราในฐานะผู้หญิงก็เท่ากับผู้ชายได้ เราเรียนได้ แสดงความเห็นได้ ทำได้ทุกอย่างเท่ากัน ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่ทำได้ เราไปเรียนแล้วกลับมาสอนคนในชุมชน กับเยาวชน กับผู้หญิง 

พอมีประชุมผู้ใหญ่บ้านเราก็พากันไปแสดงความคิดเห็นว่าอันไหนเราทำได้บ้าง อันไหนคือสิทธิของเรา จนมีลุงคนหนึ่งบอกว่า “เธอ นี่เป็นผู้หญิงที่เอื้อมสูงเกินไป” 

ก็ถ้าผู้ชายเตี้ยเกินไป การที่ผู้หญิงจะเอื้อมแทนเพื่อให้ถึงสิ่งที่ต้องการได้ เราก็ต้องเอื้อม อันไหนที่ทำได้ก็ต้องทำ จะมัวรอไม่ได้

สุดท้ายนอกจากการถ่ายทอดเรื่องราวของดาราอั้งแล้ว ตอนนี้คุณมีประเด็นอะไรที่อยากสื่อสารอีกไหม

มีเรื่องหนึ่งที่เรายังฝังใจถึงตอนนี้ คืออายุเราก็ขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมเราถึงยังไม่ได้สัญชาติไทย นี่เราอยู่ในประเทศไทยมา 40 กว่าปีแล้วนะ เราควรมีบัตรประชาชนได้แล้ว อีกส่วนหนึ่งคือผู้สูงอายุที่ควรได้รับสวัสดิการพื้นฐาน นี่คือสิ่งที่เราควรจะได้ เราอยู่มาเป็นชั่วอายุคน จนพ่อเรายายเราตายหมดแล้ว หรือต้องรอให้เราตายก่อนถึงจะได้สิทธินี้

การมีสัญชาติสำหรับเราสำคัญมาก เหมือนคู่ชีวิตในการเข้าถึงสิทธิ เข้าถึงบริการของรัฐ การรักษาพยาบาล นี่คือเรื่องพื้นฐานของชีวิตคนคนหนึ่ง 

มันมีความหมายมากและเราควรได้ในฐานะที่เป็นคนเหมือนกัน


การแสดง เพียงเบิ่น เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงในเทศกาลศิลปะการแสดงร่วมสมัยนานาชาติ BIPAM 2021 ที่ชวนผู้ชมและศิลปินมาพบกันแบบออนไลน์ ภายใต้ธีม Ownership หรือความเป็นเจ้าของ 

ผู้สนใจสามารถซื้อบัตรได้ถึงวันที่ 5 กันยายน 2564 และรับชมออนไลน์ได้ถึงวันที่ 12 กันยายน 2564 สามารถซื้อบัตรเข้าร่วมเทศกาลได้ที่เว็บไซต์ bipam.org หรือเพจเฟซบุ๊ก BIPAM

AUTHOR