ต่อให้ไม่ต้องเวิร์กฟรอมโฮม การออกจากบ้านไปใช้เวลาว่างในสวนสาธารณะก็ไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวของคนไทยส่วนใหญ่ ไม่เหมือนในต่างประเทศที่สวนสาธารณะมีศักดิ์ศรีทัดเทียมแหล่งท่องเที่ยวฮิปๆ แถมยังมีกิจกรรมหลากหลายมากกว่าแค่การเดิน วิ่ง และเต้นแอโรบิกที่เราคุ้นเคย
ในต่างประเทศ การออกไปปาร์กอาจครอบคลุมถึงการร้องคาราโอเกะ เดินชมงาน installation art ช้อปปิ้งใน flea market หรือแม้กระทั่งการปักหลักดูนกอย่างจริงจัง ไม่แปลกเลยที่เว็บไซต์ท่องเที่ยวหลายแห่งมักจะมีสวนสาธารณะหน้าตาธรรมดาๆ เป็นหนึ่งในลิสต์สถานที่ห้ามพลาดของแต่ละเมือง
เพื่อแก้เหงาและเฉาใจในระหว่างกักตัวรอบนี้ เราชวนไปเดินเที่ยวทิพย์ๆ ใน 6 สวนสาธารณะรอบโลกที่บรรดานักเขียนและคอลัมนิสต์ของ a day ประทับใจจนอยากบอกต่อ เอาล่ะ เซฟโลเคชั่นไว้ให้ดี เปิดประเทศเมื่อไหร่จะได้เก็บกระเป๋าไปตามรอยให้ถึงที่
Mauerpark
Berlin, Germany
juli baker and summer ศิลปินและนักเขียนเจ้าของคอลัมน์ Nowhere Girl
เราไป Mauerpark ครั้งแรกในช่วงฝึกงานที่เบอร์ลิน เยอรมนี ตอนนั้นที่พักกับที่ทำงานเราอยู่ในย่าน Prenzlauer Berg พอมีเวลาว่างในวันเสาร์-อาทิตย์ เราเลยลองเสิร์ชหาสถานที่เดินเล่นใกล้บ้านและได้เจอที่นี่ ก่อนไปเราไม่ได้คาดหวังอะไรเลยเพราะคิดแค่ว่าอยากไปเดินเล่นดูผู้คน แต่หลังจากที่ได้ไปครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจมากจนต้องกลับไปอีกแทบทุกอาทิตย์
Mauer แปลว่ากำแพง ที่สวนนี้ถูกเรียกว่า Mauerpark ก็เพราะในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของกำแพงเบอร์ลิน แต่นอกเหนือจากการเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว เอาเข้าจริง Mauerpark นี้ก็ไม่ได้มีลักษณะการจัดสวนที่สวยงามโดดเด่นกว่าที่ไหนๆ และก็ไม่ได้มีต้นไม้พันธุ์พิเศษอะไร เสน่ห์ของที่นี่น่าจะเป็นความเป็นสาธารณะและความเฟรนด์ลี่ของสวนล่ะมั้งที่ทำให้เราตกหลุมรัก
เมื่อประชาชนที่มีความหลากหลายเข้ามาใช้พื้นที่ร่วมกันทำให้เราได้เห็นอีเวนต์ใหม่ๆ แทบทุกวีค ได้พบเห็นคนประหลาดๆ ทำให้ไปเดินเล่นทีไรก็รู้สึกมีชีวิตชีวาเสมอ หลายครั้งเราก็ได้เพื่อนใหม่จากการพูดคุยกันที่นี่ด้วย
ทุกวันอาทิตย์ที่ Mauerpark จะมี flohmarkt (flea market) ขายของเก่าราคาถูก อารมณ์คล้ายๆ ตลาดคลองถมที่ประเทศไทย (แต่ประชาชนที่นี่ไม่ต้องกังวลเรื่องโดนไล่ที่เหมือนที่ไทย เพราะสวนสาธารณะแห่งนี้เป็นของทุกคนอยู่แล้ว) เราซื้อเสื้อผ้าและข้าวของจากที่นี่บ่อยๆ เคยได้แผ่นเสียงราคา 1 ยูโรด้วยซ้ำ และเพื่อนสนิทเราก็เคยซื้อจักรยานราคาถูกจากที่นี่ไปใช้
โซนขายอาหารในตลาดนี้ก็สนุกและสะท้อนความเป็นพื้นที่ multicultural ของเบอร์ลินได้ดี อยากกินอาหารประเทศไหนที่นี่มีให้เลือกหมด บางอาทิตย์ Mauerpark ก็ถูกนำไปใช้เป็นสถานที่จัดมิวสิกเฟสติวัล หรือมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เพื่อนเราเคยเข้าร่วมเวิร์กช็อปสอนทำขนมในสวน ซึ่งก็สามารถมาใช้พื้นที่ตรงนี้จัดคลาสได้เลยฟรีๆ
Recommend : ไฮไลต์ของ Mauerpark สำหรับเราคือผู้คน แค่ได้เดินดูคนทำกิจกรรมต่างๆ ในสวนก็สนุกแล้ว โดยเฉพาะเหล่า street artist ที่มาฝึกวิชาหรือแสดงฝีมือหารายได้ที่นี่ ครั้งล่าสุดที่ไป Mauerpark เราเจอกวีที่พกเครื่องพิมพ์ดีดมานั่งบนพื้นหญ้า ทุกคนสามารถเข้าไปคุยหรือขอให้เขาแต่งบทกวีให้ได้ แลกกับการจ่ายเงินสนับสนุนเขาตามความพอใจ
อีกอย่างที่พลาดไม่ได้คือ outdoor karaoke ทุกวันอาทิตย์เวลาบ่าย 3 โมง จัดขึ้นที่ลานโล่งที่มีเก้าอี้วางบนเนินล้อมรอบคล้ายอัฒจันทร์ ทุกคนสามารถยกมือขอลงมาร้องเพลงบนลานได้ ถึงจะมีทั้งนักร้องเสียงเพราะและนักร้องเสียงเพี้ยน แต่ก็ยังมีคนฟังเยอะทุกอาทิตย์ราวกับเป็นคอนเสิร์ตย่อมๆ ถ้าเพลงไหนดังทุกคนก็ช่วยกันร้อง เคยมีคนเลือกเพลง Bohemian Rhapsody แล้วทุกคนในสวนร้องร่วมกัน เป็นเวอร์ชั่นที่เพี้ยนกันไปคนละคีย์แต่ประทับใจมากๆ
ป.ล. แนะนำให้ไปช่วงซัมเมอร์นะ
How to get there : ขึ้นรถไฟสาย FEX, RE5 หรือ RE6 ซับเวย์สาย U2 หรือ U8 รถบัสสาย 142, 200 หรือ 247
Inokashira Park
Tokyo, Japan
ณิชมน หิรัญพฤกษ์ นักเรียนและนักเขียนเจ้าของคอลัมน์ Made in Japan
Inokashira Park เป็นสวนที่มีชื่อเสียงของโตเกียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวต่างหมายตาที่นี่ แถมยังเป็นโลเคชั่นถ่ายหนังและละครมากมายหลายเรื่องเสียจนเราไม่แน่ใจว่ารู้จักที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ที่จำได้แม่นคือความรู้สึกตอนที่ได้ไปเยี่ยมสวนแห่งนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกว้าวมากกับความกว้างใหญ่และร่มรื่นจนไม่น่าเชื่อว่าอยู่ใจกลางเมือง เพราะย่านคิชิโจจิเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยความคึกคักของร้านรวงเก๋ไก๋ แต่เมื่อเข้าสู่เขตสวนที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีคิชิโจจิก็เหมือนได้หลุดเข้าไปในโลกอีกใบที่ถูกห้อมล้อมด้วยธรรมชาติอันแสนสดชื่น
ที่นี่จะไม่ชวนเบิกบานได้ยังไง ในเมื่อภายในพื้นที่อันกว้างใหญ่ 42,000 ตารางเมตรแห่งนี้มีต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ถึง 20,000 ต้น ถึงขนาดที่ต้องมีแผนผังต้นไม้ชวนให้เราสนุกไปกับการสำรวจ ยิ่งมีบึงขนาดใหญ่ใจกลางสวนยิ่งเพิ่มความสงบให้กับจิตใจอันยุ่งเหยิง ด้วยความสดชื่นที่มีเผื่อแผ่อย่างเหลือเฟือนี้ ใครจะไปเชื่อว่าสวนนี้มีอายุกว่าร้อยปีแล้ว
แม้ว่าที่นี่จะขึ้นชื่อเรื่องวิวซากุระ 200 ต้นที่อยู่รอบบึง และวิวสีส้มในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ฟินและปังสมราคาคุย แต่ Inokashira Park เวอร์ชั่นในดวงใจของเราคือสวนช่วงที่กลับมาเป็นสีเขียวและทำหน้าที่เป็นสวนสาธารณะมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว จำนวนคนไม่แน่นจนเกินไป ในสวนมีร้านกาแฟกรุบกริบให้ซื้อไปนั่งจิบสงบๆ ใต้ร่มไม้ เดินเล่นไปเรื่อยๆ อาจเจอเด็กหนุ่มสาวถือเครื่องดนตรีมาซ้อมอย่างมุ่งมั่น บรรยากาศอันแสนสงบเรียบง่ายคือการชาร์จแบตฯ ที่แสนมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือเดินทางสะดวก เข้าถึงง่าย ไม่ต้องพยายามมากจนเกินไป
Recommend : นอกจากตัวสวนหลักที่มีสะพาน บึงใหญ่ และเรือเป็ดที่ทุกคนคุ้นตา อยากให้ลองเดินเข้าไปให้ลึกขึ้น จะได้เจอกับความสดชื่นเวอร์ชั่นยกระดับความสงบ ที่นี่เป็นจุดชมนกที่มีนกหลายสายพันธุ์แวะเวียนมาทักทายชาวโลกตลอดทั้งปี และถ้ามีเวลาอยากให้ลองเดินข้ามถนนไปฝั่ง Inokashira Park Zoo ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นสวนสัตว์แต่ก็ร่มรื่นไม่แพ้กัน ด้านในสุดมีสวนสนุกเล็กๆ สุดวินเทจที่แอบสนุกเกินราคาหลักร้อยเยน ส่วนใครที่เป็นแฟน Studio Ghibli แค่เดินต่อไปอีกนิดก็ถึงมิวเซียมแล้วล่ะ
How to get there : เดิน 5 นาทีจากทางออก Park Exit ของสถานีรถไฟ JR Kichijoji
Bitan Scenic Area (碧潭)
Taipei, Taiwan
ภาณุพันธ์ วีรวภูษิต นักเขียนเจ้าของคอลัมน์ Re-Public Space
เรามาที่นี่ครั้งแรกตอนมาเที่ยวไต้หวันช่วงปลายปี 2019 พอดีว่าตอนนั้นมีงาน ‘When the Moon Forgot’ installation art ผลงานพระจันทร์กลมโตลอยส่องสว่างอยู่บนแม่น้ำของจิมมี่ เลี่ยว จัดแสดงอยู่พอดี เลยยอมนั่งรถไฟใต้ดินมาไกลมากเพื่อมาดูงานนี้โดยเฉพาะ
จริงๆ แล้ว Bitan Scenic Area อาจไม่ตรงนิยามคำว่าสวนซะทีเดียว เพราะที่นี่เป็นพื้นที่สาธารณะริมแม่น้ำ Xindian ทางตอนใต้ของไทเปที่กึ่งๆ เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ให้ชาวเมืองได้มาทำกิจกรรมหลากหลาย จะมาเดินเล่น วิ่งออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน หรือจูงสุนัขมาเดินก็ได้ และยังมีร้านอาหารที่มองเห็นวิวแม่น้ำจากด้านบนและเงาสะท้อนของภูเขาเอ๋อเหมยชาน (和美山) ที่สะท้อนลงผืนน้ำ
กิจกรรมยอดฮิตของที่นี่คือการเช่าเรือเป็ดถีบล่องไปตามแม่น้ำ หรือใครเป็นสายปีนเขาก็สามารถขึ้นไปเดินเทรลใกล้ๆ บนเขาเอ๋อเหมยชานก็ได้ ส่วนสายกินขอให้แวะไปเดิน Xindian Old Street ถนนสายสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยสตรีทฟู้ดแบบไต้หวันในราคาสบายกระเป๋า
ถึงเราจะมาที่นี่ไม่บ่อยมากแต่ทุกครั้งที่มาก็ชอบบรรยากาศเสมอ เพราะเราได้เห็นชีวิตชีวาและความสุขที่เรียบง่ายของคนไต้หวันจริงๆ เป็นตัวอย่างของพื้นที่สวน + สาธารณะที่ไม่ต้องทำอะไรให้ใหญ่โต แค่มีการจัดการที่ดีก็เพียงพอแล้ว ถึงอย่างนั้นทางเทศบาลนครนิวไทเปก็ยังจัดอีเวนต์พิเศษที่ Bitan อยู่ตลอด อย่างช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมาก็มีงานระบำน้ำพุประกอบแสงสีเสียง ‘Bitan Water Dance Show (碧潭水舞秀)’ ดึงดูดให้คนมาใช้เวลาที่นี่กันมากขึ้น
Recommend : แนะนำว่าให้มาที่นี่ในช่วงเย็นวันที่อากาศดีๆ มีลมมีแดด แล้วจะรักที่นี่มากๆ และอย่าพลาดที่จะลองเดินข้ามสะพานแขวนไป-กลับอีกฝั่งด้วยนะ ถึงจะสูงและสะพานสั่นไปบ้างแต่ว่าวิวจากบนสะพานนั้นสวยมากๆ
How to get there : เดินทางง่ายมากด้วย MRT สายสีเขียว ลงสถานี Xindian สุดสายแล้วเดินออกมานิดเดียว
Haneul Park
Seoul, South Korea
อิสริยา พาที นักเขียนเจ้าของคอลัมน์ มองโคเรีย
ครั้งแรกที่ได้ไปสวนฮานึลคือเมื่อปี 2010 ตามคำชวนของเพื่อนๆ ชาวต่างชาติที่เรียนภาษาเกาหลีด้วยกัน ตอนนั้นเราไม่ได้เตรียมตัวหาข้อมูลมาก่อนและไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ด้วยความที่สวนแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา พวกเราที่ปั่นจักรยานกันขึ้นไปจึงต้องลงมาเดินเข็นบ้างในบางช่วงที่ชันมากๆ แต่ก็ใจสู้กันสุดๆ
พอขึ้นไปด้านบนก็หายเหนื่อย วิวตรงนั้นอลังการจนเข้าใจเลยว่าทำไมสวนแห่งนี้ถึงได้ชื่อว่า ‘ฮานึล’ ที่แปลว่าท้องฟ้า เพราะท้องฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตานั้นให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่บนท้องฟ้าจริงๆ ถ้าขึ้นไปที่จุดสูงสุดของสวนจะมองเห็นทั้งแม่น้ำฮัน ภูเขานัมซาน และภูเขาพุกฮันซานเลยทีเดียว
พวกเราปั่นจักรยานกันอย่างเพลิดเพลินจนเกือบจะทั่วสวน ทั้งสองข้างทางเป็นทุ่งดอกหญ้า ‘อ็อกแซ’ ที่พลิ้วตามจังหวะลม โชคดีที่วันนั้นคนน้อย เงียบสงบ บรรยากาศดีจนเหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง
สวนฮานึลแห่งนี้เป็นหนึ่งในสวนทั้ง 5 ของสวนเวิลด์คัพ (World Cup Park) แต่ก่อนจะเป็นสวนสวยงามเช่นในปัจจุบัน ที่นี่เคยเป็นพื้นที่ฝังกลบขยะมาก่อน ที่น่าสนใจอีกอย่างคือมีการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานลมเอาไว้ด้วยตั้งแต่ปี 2011
ปีหลังๆ เราได้ไปสวนฮานึลอีกประมาณ 2-3 ครั้ง ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเราคือช่วงปลายเดือนตุลาคมเพราะอากาศเย็นสบายและมีการจัดงานเทศกาลด้วย ทั้งการประดับไฟและการแสดงดนตรี คนที่มาเที่ยวส่วนใหญ่น่าจะเป็นคู่รักที่มาเดตกัน แต่ถ้าเป็นช่วงพีกแบบนี้ก็จะหามุมถ่ายรูปสงบๆ ยากสักหน่อย ถ่ายไปทางไหนก็อาจจะเผลอติดคนสวีตกันโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นช่วงเงียบๆ หรือครึกครื้นก็มีเสน่ห์อยู่ดี
Recommend : ถ้าต้องการมาเห็นทุ่งดอกหญ้าฟูสะพรั่งให้มาช่วงปลายตุลาคม-ต้นพฤศจิกายน อย่าลืมขึ้นไปที่จุดชมวิวที่เป็นโครงรูปครึ่งวงกลมแปลกตา และถ้ามีแฟนก็อย่าลืมพาแฟนไปด้วย
How to get there : ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่สถานี World Cup Stadium ทางออกที่ 1 หลังจากนั้นเดินเท้าต่ออีกหน่อยก็ถึง goo.gl/maps/f6HPeZAWxPDTXgLA6
Songshan Cultural and Creative Park
Taipei, Taiwan
คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง นักเขียนเจ้าของคอลัมน์ หนังภาคต่อ
สวนที่เราแนะนำอาจจะไม่ค่อยเขียว ต้นไม้ไม่เยอะมาก เพราะจริงๆ เราก็ไม่ใช่คนอินกับสวนสาธารณะสักเท่าไหร่ (อ้าว) แต่ที่จะเล่าถึงก็คือ Songshan Cultural and Creative Park สถานที่ที่มีทั้งสวน บึงน้ำ มิวเซียม อาร์ตแกลเลอรี สถานที่จัดแสดงงาน ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฯลฯ
เรารู้จักที่นี่โดยบังเอิญมาก กล่าวคือเรากำลังนอนดูทีวีอยู่ในโรงแรมที่ไต้หวันแล้วก็เจอโฆษณาอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ Sumikko Gurashi (ตัวการ์ตูนแก๊งมุมห้องหลากสีตัวกลมๆ นั่นแหละ) เราเลยรีบถ่ายรูปแล้วส่งไปให้เพื่อนที่รู้ภาษาจีนช่วยแปล จนได้รู้ว่ากำลังมีนิทรรศการเกี่ยวกับแก๊งนี้จัดที่ Songshan Cultural and Creative Park ซึ่งเป็นสวนที่มีโกดังอยู่ถึง 4 โกดัง สำหรับจัดงานนู่นนี่เวียนไปเรื่อยตลอดทั้งปี
เท่าที่รู้ งานที่มาจัดแสดงที่นี่ส่วนใหญ่มักไม่ใช่งานอาร์ตจ๋าแต่เป็นงานป๊อปๆ คาแร็กเตอร์น่ารักมุ้งมิ้ง อย่างงานอื่นๆ ที่เราเคยดูที่นี่ก็เช่น นิทรรศการฉลอง 15 ปี Kanahei, นิทรรศการ Chibi Maruko-chan, Crayon Shin-chan ไปจนถึงหมีขี้เกียจ Rilakkuma เวลาไปงานพวกนี้ก็ควรเปิดโหมดนักท่องเที่ยวสายแมสเต็มที่ ถ่ายรูป เซลฟี แอ็กท่าให้สุดกันไปเลยจ้า แต่สำหรับคนที่เที่ยวคนเดียวแบบเราก็อาจจะลำบากหน่อยเพราะไม่มีคนช่วยถ่ายรูปให้ (ฮา)
ในอีกมุม Songshan Cultural and Creative Park ก็มีประวัติที่น่าสนใจ ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ที่นี่เคยเป็นโรงงานยาสูบมาก่อนจนเมื่อปี 2011 ที่รัฐบาลไต้หวันตัดสินใจปรับปรุงเป็น creative park ดังนั้นถ้าเดินสำรวจซอกแซกจนทั่ว จะพบว่าบางมุมของสวนแห่งนี้ก็มีบรรยากาศเก่าและขลัง บางโซนดูมีผีโผล่ออกมาได้ และถ้าเดินหลงไปมาก็อาจจะโผล่ไปเจองานสุดอาร์ตเหมือนกับที่เราเคยเจอ installation art ของ Ayumi Adachi ซึ่งดูแล้วถึงกับอ้าปากค้างไปเลย (บรรยายเป็นตัวหนังสือยาก เชิญชมจ้ะ youtu.be/zNghmNcq7z4)
ระหว่างเดินดูงาน เราสามารถเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งเล่นในสวนหรือตึกใกล้ๆ กันคือ Eslite Spectrum ที่มีทั้งร้านหนังสือ โรงหนัง และร้านอาหาร สรุปคือมาที่นี่แล้วจะได้เที่ยวครบแบบจบในที่เดียว
Recommend : งานอีเวนต์ในไต้หวันอาจจะเช็กข่าวยากสักหน่อย หลายงานก็มีข้อมูลเป็นภาษาจีนล้วนๆ แนะนำให้ดูที่เว็บ kham.com.tw ส่วนใหญ่งานใน Songshan Cultural and Creative Park ค่าเข้าจะอยู่ที่ประมาณ 300 ดอลลาร์ไต้หวัน แต่ควรเผื่อเงินไปอีกสักหน่อย เพราะทุกนิทรรศการมักมีร้านของที่ระลึกสุดโหด (คือน่าซื้อไปหมด) เป็นด่านสุดท้ายก่อนจาก
How to get there : นั่ง MRT ไปลงสถานี Sun Yat-sen Memorial Hall ออกประตู 5 ถ้าขึ้นมาแล้วเจอโดมใหญ่ๆ (Taipei Dome) ก็คือมาถูกแล้ว เดินต่ออีกแป๊บเดียว
Hyde Park
London, United Kingdom
กิตติมา จารีประสิทธิ์ ภัณฑารักษ์ประจำ MAIIAM Contemporary Art Museum
เรารู้จัก Hyde Park ครั้งแรกสมัยไปเรียนที่ลอนดอน ที่นี่เป็น Royal Park ขนาดใหญ่ที่สุดในใจกลางเมือง ถึงแม้ว่าราชวงค์อังกฤษจะเป็นเจ้าของสวนแต่ที่นี่ก็เปิดเป็นพื้นที่สาธารณะให้ประชาชนใช้ทำกิจกรรมอันหลากหลาย ไม่ว่าจะวิ่ง พายเรือ ปิกนิก ปั่นจักรยาน หรือนั่งเฉยๆ ดูหงส์ลอยน้ำก็ได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมตามฤดูกาล ทั้งเทศกาลดนตรี หรือ winter festival ในช่วงคริสต์มาส
ความน่าตื่นเต้นของ Hyde Park ไม่ได้อยู่ที่ขนาดอันกว้างใหญ่เพียงอย่างเดียว เพราะที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ Serpentine Galleries พื้นที่แสดงงานศิลปะร่วมสมัยชื่อดังอันดับต้นๆ ของโลกที่จัดแสดงผลงานศิลปะจากทั้งศิลปินรุ่นใหม่และศิลปินชื่อดังระดับนานาชาติ ที่สำคัญคือเปิดให้เข้าชมฟรีด้วย
หลังจากที่ปิดตัวมานานในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด Serpentine Galleries ได้ฤกษ์กลับมาเปิดอีกครั้งในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ พร้อมกับนิทรรศการรวบรวมผลงานภาพถ่ายของ James Barnor ศิลปินชาวอังกฤษ-กานา ที่บันทึกภาพเหตุการณ์สำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมทั้งในลอนดอนและกรุงอักกรา
ความปังอีกอย่างของสถานที่แห่งนี้คือสิ่งที่เรียกว่ามุมปราศรัยในสวนสาธารณะ (Speakers’ Corner) ซึ่งเปิดให้ผู้คนออกมาพูดหรือถกเถียงกันในที่สาธารณะตั้งแต่ยุค 1800s เป็นต้นมา เหล่าคนดังในประวัติศาสตร์ที่เคยมาพูดที่นี่ก็มีตั้งแต่ Karl Marx ไปจนถึง George Orwell ที่ต่างใช้พื้นที่นี้ในการแสดงออกถึงความสำคัญของเสรีภาพในการพูด (free speech)
Speaker’s Corner แห่งนี้สามารถใช้ถกได้ทุกเรื่องในสังคมตราบใดที่ไม่ผิดกฎหมาย ตั้งแต่เรื่องสิทธิสตรี แรงงาน การทหาร ศาสนา มังสวิรัติ สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงสภาพอากาศ และการที่คนไทยใช้คำว่าไฮด์ปาร์กในการเรียกการชุมนุมทางการเมืองมาตั้งแต่ยุคสมัยที่ประชาธิปไตยแบ่งบานก่อนปี พ.ศ. 2500 นั้นก็มาจากชื่อสวนแห่งนี้เช่นกัน
Recommend : ถ้าไปเยือน Hyde Park ในช่วงหน้าร้อน กิจกรรมหนึ่งที่พลาดไม่ได้คือการแวะชม Serpentine Pavilion ในแต่ละปีจะมีสถาปนิกชื่อดังมาออกแบบพาวิเลียนใน Hyde Park ซึ่งจัดอย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปีแล้ว ในปีนี้ได้ Sumayya Vally จาก Counterspace Studio สถาปนิกชาวอเมริกาใต้เป็นผู้ออกแบบ fun facts คือเธอถือเป็นสถาปนิกที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับเกียรติให้ร่วมโครงการนี้
How to get there : วิธีเดินทางไปที่นี่มีหลายทาง แต่ที่เราชอบคือเดินจากสถานีรถไฟใต้ดิน South Kensington ผ่านหน้า Natural History Museum และ Victoria and Albert Museum ไปจนถึงสถานที่จัดคอนเสิร์ตชื่อดัง ‘Royal Albert Hall’ ข้ามถนนไปจะเจอกับ Hyde Park ประตูที่ใกล้กับ Serpentine Galleries พอดี
‘เราเที่ยวด้วยกัน เฟสทิพย์’ คือซีรีส์ที่ a day ชวนผู้คนจากหลากหลายวงการมาแชร์ destination ที่คิดถึงหลังจากกักตัวอยู่ในประเทศไทยมาปีกว่า ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด ร้านหนังสือ มิวเซียม แกลเลอรี ฯลฯ ติดตามตอนต่อไปได้ทุกวันพฤหัสบดีตลอดเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน