ชมแสงเหนือแทนแสงดาว ย่ำหิมะขาวที่เมืองชื่อเขียว เที่ยว Kangerlussuaq ประเทศ Greenland

มีมุกตลกมากมายของมนุษย์นักเดินทาง ตั้งแต่ขำพอยิ้มมุมปากไปจนถึงฮากลิ้งตกเก้าอี้ หนึ่งในมุกหรือแก๊กเล็กๆ เกี่ยวกับประเทศแห่งหนึ่งที่หลายคนเคยได้ยิน แต่ไม่เคยได้สัมผัส ดินแดนแห่งหนึ่งที่ไร้ซึ่งสีเขียว แต่ชื่อนั้นย้อนแย้ง กลับคอยยืนยันย้ำเตือนตัวตน คอยตะโกนบอกโลกดังๆ

โปรดเรียกฉันทุกครั้งว่ากรีนแลนด์

ทริปนี้เป็นทริปต่อเนื่อง หลังจากเดินทางตะลุย 4 วันแรกในเมืองอิลลูลิสแซตอันน่าประทับใจและไม่คิดว่าจะมีวันลืมประสบการณ์ครั้งนี้ไปได้แน่นอน เราเดินทางต่อด้วยเครื่องบินเล็ก Dash-8 สีแดงสดลำเดียวกันกับตอนขามา เพื่อมุ่งหน้าสู่ฮับแห่งภูมิภาคกรีนแลนด์ตะวันตก เมืองที่นักท่องเที่ยวแทบจะต้องมาแวะที่นี่ก่อนเพื่อเปลี่ยนเครื่องบินจากลำใหญ่ ที่เดินทางมาจากยุโรป เพิ่มความคล่องตัวและให้สอดคล้องกับความต้องการในท้องถิ่น อีก 4 วันที่เหลือนี้ พวกเราจะใช้เวลากันที่นี่คังเกอร์ลุสสวก’ (Kangerlussuaq)

เมืองนี้เป็นเมืองที่เล็กมาก หากประเมินจากสายตากวาดดูจากบนเครื่องบินก่อนแลนด์ดิ้งที่รันเวย์ กรอกตาไปมาไม่กี่ครั้งก็มองเห็นทั้งเมืองได้แล้ว อาคารยาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางเรียงกันเป็นกระจุก เว้นระยะห่างเท่าๆกัน มองจากภายนอกแทบไม่สามารถเดาได้เลยว่าที่นั่นคือธนาคารหรือร้านอาหาร ความสำคัญของเมืองนี้นอกจากเป็นจุดเชื่อมกับยุโรปที่ใช้กันเป็นหลักแล้ว แทบไม่มีแลนด์มาร์กสำคัญให้ถ่ายรูปด้วยเลยในส่วนของตัวเมือง

หลังจากลงเครื่องบินแล้วมุ่งหน้าสู่ที่พักด้วยรถบัสที่วิ่งรอบเมืองคันเล็ก ความถี่รอบต่อวันน้อยมาก หากใครนัดกันว่าเจอกันที่ศูนย์กลางของเมืองก็คงต้องเดินมาที่สนามบิน ใช่ครับ เดินมา เพราะเมืองมันเล็กขนาดที่สามารถเดินไปมาหาสู่กันได้อย่างทั่วถึง เราจะพบผู้คนเดินเท้ากันเป็นเรื่องปกติ แม้อากาศจะหนาวเท่าไหร่ก็ตาม

พวกเราตัดสินใจเข้าที่พักในตัวอาคารขนาดยาวชั้นเดียวหลังหนึ่ง มีตัวอักษรบนประตูทางเข้าหลักว่า ‘Youth hostel’ ที่นี่เป็นแหล่งพำนักชั่วคราวสำหรับเหล่านักเดินทางที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายสามารถใช้บริการที่นี่ได้ มีหลายห้อง หลายขนาด ส่วนใหญ่เป็นห้องนอนรวมบรรจุเตียงสองชั้น ส่วนห้องนอนส่วนตัวก็จะมีเตียงเดี่ยว ขนาดของแต่ละห้องพอกัน ห้องน้ำรวม ไม่แยกเพศ และที่สำคัญมีน้ำอุ่น

วันที่เราเข้าพักพบเจอแขกต่างชาติพอสมควร คุณลุงเจ้าของที่พักนี้ (ต่อจากนี้จะขอเรียกว่าคุณลุง) เป็นชาวยุโรปที่ย้ายมาที่นี่ นอกจากดูแลกิจการที่พักแห่งนี้แล้ว ยังมีบริการพาเที่ยวกรุ๊ปเล็กๆ แบบไพรเวตอีกด้วย ซึ่งเรามองหาอยู่พอดี จึงนัดหมายและคุยกันเรื่องแพลนที่จะท่องเที่ยวกันในเมืองนี้อีก 3-4 วันที่เหลือ

จัดการเรื่องที่พักเรียบร้อยแล้ว เปิดม่านดูพบว่า แสงแดดที่มีอยู่น้อยนิดเป็นปกติได้จากเราไปแล้วในวันนี้ แต่สิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้เจอทุกวันตลอดทริปก็มาตามนัด แสงเหนือเพื่อนรักผู้เป็นพระเอกของงาน แสดงความรับผิดชอบปรากฏตัวให้เห็นหลากหลายขนาด ท่าทาง และระดับความเข้มข้น โลดแล่นสาดส่ายตั้งแต่หัวค่ำยาวนานไปจนพวกเราเข้านอนและยังอยู่แม้ขณะพวกเราหลับใหลจากความอ่อนเพลียหลังการเดินทาง

ตลอด 5 วันที่ผ่านมา การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แน่นอนว่าอาหารเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและวุ้นเส้นกระป๋องที่แท็กทีมเป็นสุดยอดอาหารกันตายสำหรับนักท่องเที่ยวไทยอย่างเรา การได้กินอาหารไทยดีๆ สักมื้อในยุโรปถือว่าเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ในพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยความเหน็บหนาวแห่งนี้ นึกภาพไปตอนบ่ายที่เดินผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตข้างสนามบินแล้ว คงจะตามหาผัดกะเพรา หมูทอดกระเทียม ส้มตำ ต้มยำใดๆ ไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน เราเลยลองถามคำถามแบบกึ่งยิงกึ่งผ่านไปยังคุณลุงว่าในเมืองนี้มีคนไทยอยู่บ้างไหม คุณลุงตอบอย่างมั่นใจและชี้เป้าให้ว่า มี! เดินออกไป 5 นาที ตึกสีดำทางขวา เข้าประตูแรก พวกเขารออยู่ที่นั่น

เสียงกระดิ่งกระแทกประตูกริ๊งๆ ส่งเสียงเพื่อเตือนเจ้าของร้านว่ามีแขกเข้ามา พวกเราทักทายเป็นภาษาอังกฤษแล้วหันมาเมาท์กันเป็นภาษาไทยเบาๆ พี่คิตตี้ เจ้าของร้านคนอีสานบ้านเฮาผู้เปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นี่พูดเสียงดังต้อนรับเราว่าอ้าว คนไทย สวัสดีครับไม่รอช้าและไม่ลังเล พวกเราขอผูกปิ่นโตไปตลอดสามมื้อเย็นที่รอเราอยู่

เช้าวันถัดมา ตามที่เราตกลงกับคุณลุงไว้ว่าในวันนี้จะเป็นวันแห่งการสำรวจพื้นที่อันน่าสนใจสำหรับเมืองนี้ พวกเราแต่งตัวกันอย่างแน่นหนามิดชิด ส่วนผม คนที่ขี้หนาวที่สุดในทีมนั้นพกเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ หมวกกันหนาวปิดหูแบบมีขนเยอะเป็นพิเศษ ยัดใส่กระเป๋าเป้ และถุงร้อน hot pack แบบพกพาเสียบตามกระเป๋าเสื้อกันหนาวช่องต่างๆ เพื่อการเดินทางในวันนี้โดยเฉพาะ

ระหว่างทางที่นั่งรถออกไป สังเกตได้ว่าในบ้านหลายหลังที่ขับผ่านไปต่างมีรถยนต์จอดอยู่แต่มีควันสีขาวออกมาจากท่อไอเสียคล้ายๆ กันทั้งที่ไม่มีคนอยู่ในรถหรือบริเวณรถเลย คุณลุงบอกว่าในช่วงที่อากาศหนาวมากๆ แบบนี้ ชาวเมืองมักสตาร์ทรถทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนเพื่อรักษาอุณหภูมิรถไว้ให้สามารถพร้อมใช้งานได้ตลอด สำหรับคนที่มาจากดินแดนที่คำว่าอุ่นเครื่องรถแทบจะไม่จำเป็น หรือถ้าจะทำก็คงแค่ไม่เกินสองสามนาทีจึงแปลกใจไม่น้อย อย่าว่าแต่อุ่นเครื่องเลย ให้คิดว่าอยากทำเมนูอาหารอะไรบนฝากระโปรงหน้ารถในเวลากลางวันน่าจะดีกว่า

รถมุ่งหน้าออกจากตัวเมืองไปเรื่อยๆ บ้านคนหายจากสายตาเราไป แทนที่ด้วยความขาวโพลนไปรอบทิศ ท้องฟ้าครึ้มสร้างบรรยากาศสีเทาอึมครึมแบบนี้ไปตลอดทั้งวัน บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผู้คนแถบขั้วโลกสามารถเป็นโรคซึมเศร้าจากสภาพอากาศหนาวได้ (Seasonal Affective Disorder) ซึ่งอาจป้องกันโดยเบื้องต้นได้โดยรับแสงแดดในวันที่มีโอกาส

ไม่นานนักคุณลุงก็จอดให้พวกเราลงจุดแรก ข้างซ้ายของรถที่เราจอด ปรากฏซากเครื่องบินตกคลุกเคล้าไปกับหิมะและกาลเวลา จากคำบอกเล่าของคุณลุง นี่เป็นเครื่องบินของสหรัฐฯ ที่เคยมาบินสำรวจและเกิดอุบัติเหตุ คาดว่าก่อนหน้านี้ดินแดนนี้ยังไม่มีอะไรอำนวยความสะดวกมากนัก จึงทำให้เกิดเหตุนี้ขึ้น

ที่กรีนแลนด์มีเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่งคือ การได้เจอกวางเรนเดียร์ หรือตัว musk ox มีโอกาสมากกว่าการเจอมดสักตัวหลายเท่านัก เราได้รับข้อมูลนี้ในจังหวะที่เราเดินบริเวณที่ไม่ห่างจากจุดเครื่องบินตก ปรากฏรอยเท้าของตัว musk ox และข้างๆ กันน่าจะเป็นหมีขาว ลุงรีบเตือนว่าอย่าเดินหายไปจากกลุ่มคนเดียว เวลาเดินให้ไปพร้อมๆ กัน เพราะพวกมันอันตราย เราสามารถกลายเป็นอาหารของหมีได้เสมอ ข้างหลังรถจึงมีปืนพกไว้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับใบอนุญาต

หากมีใครถามว่ากรีนแลนด์มีลักษณะแบบไหน ผมคงอธิบายว่า คล้ายๆ กับไข่ดาวสุกทรงกรวยหงาย กล่าวคือ บริเวณที่ผู้คนสามารถอาศัยอยู่ ตั้งรกรากหรือจะสร้างบ้านแปงเมืองได้นั้น จะอยู่บริเวณขอบของประเทศเป็นส่วนใหญ่ นั่นคือส่วนของขอบไข่ดาวที่สุกแล้ว ปรากฏรอยไหม้และรูฟองอากาศเล็กๆ ย่นๆ ฝอยๆ เพียงแค่ส่วนนั้นแหละที่มนุษย์สามารถอยู่อาศัยได้ แต่พื้นที่ที่พวกเรากำลังจะแวะเข้าไปดูนั้นเปรียบเสมือนบริเวณไข่ขาวที่เป็นส่วนใหญ่ของแผ่นดิน บริเวณนี้หากเจาะพื้นลงไปไม่ต้องใช้ความพยายามมาก เราอาจเจอดินแค่เล็กน้อย แต่ข้างล่างถัดไปอีกนิดนั้นคือน้ำแข็งในน้ำแข็งจริงๆ น้ำแข็งแบบที่ไม่ต้องลังเลว่าจะมีตัวอะไรอาศัยอยู่ได้เลย

เสียงปิดประตูรถ ปัง! เรียกสติว่า พวกเรากำลังเดินสู่จุดที่เป็นส่วนน้ำแข็งชื่อดังของเมืองนี้ที่ชื่อว่า ‘Ice cap point 660’ เป็นจุดเริ่มของพื้นที่แห่งชั้นน้ำแข็งที่เป็นไข่ขาวของไข่ดาว เราสามารถพบพื้นที่ลักษณะนี้ได้เฉพาะในบริเวณแถบขั้วโลกเหนือและใต้เท่านั้น พวกเราตื่นเต้นกับสภาพแวดล้อมมาก มองไปทุกด้านเต็มไปด้วยหมอกสีขาวที่บดบังภาพระยะไกลทุกด้าน เหมือนเดินเข้าสู่กลุ่มควันในเรื่อง  The Mist

ทุกคนเดินตามกันเงียบๆ ทั้งหนาวและเหนื่อย เงยหน้ามาอีกที เพื่อนคนหนึ่งที่เดินตามหลังมาก็หายตัวไป ผมยืนรอสักพักก็เห็นเขาโผล่มา รีบบอกว่าเมื่อครู่ก้มผูกเชือกรองเท้าอยู่ อย่างที่บอกว่าหมอกรอบตัวทุกด้าน ทำให้เราสามารถมองเห็นได้ยาก 10 เมตรก็น่าจะมากเกินไปด้วยซ้ำ แน่นอนรูปที่ถ่ายออกมานั้นแทบไม่เห็นอะไรเลย นอกจากพวกเรา 4 คนยืนกอดคอกัน หากใครหาว่าพวกเราตัดต่อรูปก็น่าเชื่ออยู่ เพราะส่วนที่เหลือของภาพคือสีขาวล้วน ล้วนยิ่งกว่าถ่ายรูปพื้นหลังติดบัตรในสตูดิโอ

ความทึ่งจากจุดนี้ยังไม่ทันจางหาย คุณลุงพาเราไปทานมื้อเที่ยงที่ผมยกให้เป็นหนึ่งในมื้ออาหารที่แปลกหูแปลกตาแปลกรสแปลกกลิ่นที่สุด หลังจากรถจอดแล้วพวกเราช่วยกันยกของกินที่คุณลุงเตรียมไว้ให้มากองกันไว้ตรงม้านั่งที่มีอยู่แล้วตรงนั้น หากลองนั่งลงบนเก้าอี้นี้แล้วมองไปข้างหน้า จะพบกับธารน้ำแข็งรัสเซลยืนตระหง่านกางแขนให้เห็นถึงกล้ามเนื้อแห่งความเหน็บหนาวแทรกตัวด้วยรอยแยกที่ถูกกัดกร่อนจากกาลเวลา นึกถึงจอห์น สโนว์ ที่ได้เห็น ‘the Wall’ ด้วยสายตาตัวเองครั้งแรกหลังได้ยินมานานตลอดเวลาที่เคยอยู่แค่ในวินเทอร์เฟล ไม่รอช้ารีบมุ่งหน้าเข้าไปสัมผัสกับธารน้ำแข็งอันหล่อเหลาแห่งนี้ ชื่นชมความยิ่งใหญ่ ความสูง รอยแตกร้าว เสียงน้ำแข็งละลาย สีสันที่สะท้อนและเปล่งประกายในช่วงเวลานั้น เปลี่ยนกันถ่ายรูปให้กันและกันโดยธารน้ำแข็งพระเอกของงานปรากฏตัวอยู่ในทุกรูป

กลิ่นหอมของเนื้อ musk ox ที่หาง่ายและขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตในเมือง อยู่ในเงื้อมมือคุณลุงที่กำลังย่างให้เป็นสเต๊กอยู่นั้นลอยฟุ้งไปในอากาศรอบโต๊ะนั้น มันฝรั่งต้มบวกขนมปังเย็นเฉียบและจืดชืดโบกมือเรียกให้พวกเรามากิน เนื้อ musk ox ร้อนๆ จากกระทะถูกตักใส่จานทีละคน แต่เพียงไม่กี่วินาทีความร้อนก็จากพวกเราไป สำหรับผมแล้วอาหารในวันนั้นเอาจริงๆ ไม่ได้รสชาติเลิศเลอเพอร์เฟกต์นัก เรียกได้ว่ากินกันตาย แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่ามื้อเที่ยงนี้ช่างวิเศษเหลือเกินนั่นคือสิ่งที่เรากำลังเสพอยู่ ไม่ใช่ทางปากหากเป็นทางสายตา

หลังจากเดินทางไกลและเหน็ดเหนื่อยจากเมื่อวาน เราตัดสินใจกันว่าวันนี้จะเป็นวันแห่งการพักผ่อน เราออกไปเดินเล่นนิดหน่อยรอบๆ ที่พัก แล้วกลับมานั่งในห้องนั่งเล่นกลาง ต่างคนต่างชงเครื่องดื่มร้อนที่ตัวเองชอบ ขนมปัง และของกินที่ต่างคนต่างพกมาถูกกองรวมไว้ตรงกลาง กิจกรรมยอดฮิตของแก๊งเราคือการเล่นบอร์ดเกม Citadel เราเล่นตั้งแต่บนเครื่องบิน และเมืองก่อนหน้านี้ หากใครเคยเล่นจะพบว่าเกมนี้สนุกมากหากเรารู้นิสัยเพื่อนของเราแต่ละคนระดับหนึ่งแล้ว เราอาจเดาและดักทางในบางจังหวะจนเกมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เป็นสิ่งที่ทำให้ใช้เวลาสิ้นเปลืองได้คุ้มค่ามากหากต้องการให้ช่วงเวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ตกกลางคืน คืนสุดท้ายของพวกเราที่นี่ เราออกมาดูแสงเหนือเป็นกิจกรรมส่งท้าย ผมนึกเอาเองว่าธรรมชาติที่นี่น่าจะอยากฝากความประทับใจไว้ให้ก่อนพวกเราจะจากที่นี่ไป ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้มีโอกาสกลับมาอีก แสงเหนือปรากฏตัวขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ จากค่า KP index ที่พยากรณ์แสงเหนือระบุว่าคืนนี้จะรุนแรงและชัดกว่าทุกวันที่ผ่านมา ราวกับร้องเพลงอำลาให้พวกเราจดจำว่าการแสดงคืนนี้จะตื่นเต้นและงดงามเสมอในดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้

และยิ่งตื่นเต้นทุกทีเมื่อกลับไปนึกถึง

AUTHOR