One Piece : การ์ตูนแห่งอดีตที่สูญหายและยุคสมัยที่โจรสลัดจะกำหนดประวัติศาสตร์!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า One Piece เป็นการ์ตูนแห่งประวัติศาสตร์

จวบจนวันนี้ วันพีซ มียอดขายหนังสือรวมกันนับ 500 ล้านเล่ม สร้างความนิยมมาได้อย่างต่อเนื่องจนมีแฟนๆ ติดตามทั่วโลก และประสบความสำเร็จระดับที่แทบไม่มีการ์ตูนเรื่องไหนบังอาจเทียบ ตอนที่ผมมีโอกาสไปเที่ยวสวนสนุก Tokyo One Piece Tower ที่ญี่ปุ่น (ปัจจุบันปิดตัวไปแล้วเพราะพิษเศรษฐกิจโควิด) ยังได้เจอชายชาวเม็กซิโกผู้บินข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาเยือนสวนสนุกแห่งนี้พร้อมรอยสักรูปตัวละคร ‘นิโค โรบิน’ เต็มแขน … นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมตระหนักถึงความยิ่งใหญ่คับฟ้าดินของการ์ตูนเรื่องนี้ 

ไม่ใช่แค่นั้นแต่ความเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ยังปรากฏอยู่ในแก่นแกนของเนื้อหาวันพีซ ตลอดเกือบร้อยเล่มผู้เขียนได้พาคนอ่านย้อนอดีตตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อ 5,000 ปีที่แล้วไปจนถึงปูมหลังสุดดราม่าของทุกตัวละครหลัก หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มพระเอกของเรื่องนาม ‘ลูฟี่’ ผู้ออกผจญภัยเพื่อเป็นเจ้าแห่งโจรสลัดและตามล่าหา ‘วันพีซ’ หรือสมบัติที่เจ้าแห่งโจรสลัดคนก่อน ‘โกล ดี.โรเจอร์’ ซุกซ่อนเอาไว้ 

เจ้าแห่งโจรสลัดผู้นี้เข้ามอบตัวกับรัฐบาลโลกและเอ่ยประโยคสุดท้ายก่อนถูกประหารชีวิตว่า “สมบัติของข้ารึ? ถ้าอยากได้ข้าจะยกให้ ก็ลองหาดูซี่ ข้าได้เอาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ณ ที่แห่งนั้นแล้ว” นั่นกลายเป็นถ้อยคำแห่งประวัติศาสตร์ที่ผลักให้คนรุ่นต่อมาจำนวนมากกระโจนสู่ท้องทะเล ก่อเกิดเป็นยุคสมัยอันรุ่งเรืองที่สุดของโจรสลัด

One Piece

mangaplus.shueisha.co.jp/titles/100079

คาแร็กเตอร์ของลูฟี่มีลักษณะคล้ายๆ พระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นยุค 90s จำนวนมากคือซื่อบื้อ กินเก่ง แรงเยอะ และมีความ “เพื่อเพื่อนกูทำได้ทุกอย่าง” อันเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้เขาค่อยๆ สั่งสมพวกพ้องมาเป็นลูกเรือ ก่อนสร้างชื่อเสียงบารมีด้วยการบุกไปเอาชนะเหล่าร้ายที่ครองอำนาจในเกาะต่างๆ และคืนความสุขให้ประชาชนในเกาะ โดยมากเกาะเหล่านั้นมักเป็นอาณาจักรที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ มีกฎหมาย ชาติพันธุ์ ภูมิประเทศ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอุตสาหกรรมการค้าเป็นของตัวเอง (แต่ทุกเกาะใช้สกุลเงินเดียวกัน)

ดูเผินๆ เนื้อหา วันพีซ อาจดูไม่ต่างจากการ์ตูนผจญภัยเรื่องอื่นนักแต่ผู้เขียนค่อยๆ เผยความสัมพันธ์ทางอำนาจอันซับซ้อนว่าแท้จริงกษัตริย์ของแต่ละเกาะที่ลูฟี่ไปเหยียบ รวมถึงเกาะอื่นๆ รวม 170 เกาะกลับเป็นเพียงประเทศสมาชิกที่ขึ้นตรงต่อ ‘รัฐบาลโลก’ ซึ่งควบคุมโดย ‘เผ่ามังกรฟ้า’ 

เผ่ามังกรฟ้าจึงเป็นเผ่าที่อยู่เหนือกษัตริย์องค์ใดๆ ทั้งปวง มีบุคคลที่กุมอำนาจสูงสุดหนึ่งเดียวคือ ‘ท่านอิม’ สามารถเรียกเก็บส่วยหรือ ‘เงินสวรรค์’ จากประชาชนทุกเกาะ คอยควบคุมกองทัพของรัฐบาลโลกให้ปกป้องประเทศสมาชิกจากโจรสลัดเลวๆ แต่ก็มีอำนาจสั่งการให้จับใครก็ได้มาเป็นทาส สั่งฆ่าใครได้ทั้งในที่ลับที่แจ้ง ไปจนถึงระดมกองทัพเข้าทำลายทั้งอาณาจักร

กระทั่งทำลายล้างประวัติศาสตร์

วันพีซ

จากตอนที่ 908

George Orwell เขียนไว้ในนิยายเรื่อง 1984 ว่า “ผู้ที่ควบคุมปัจจุบันย่อมบงการอดีตได้ ผู้ที่ควบคุมอดีตได้ย่อมบงการอนาคตได้” ประโยคนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าผู้ที่กุมอำนาจรัฐในประเทศเผด็จการมักพยายามควบคุมอดีตด้วยการกำหนดว่าประชาชนควรจดจำเรื่องใดในประวัติศาสตร์ และสร้าง ‘ศัตรูของชาติ’ ขึ้นมาเพื่อเชิดชูผู้ที่กำจัดศัตรูว่าเป็นวีรบุรุษของรัฐ สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐในปัจจุบัน (หลายๆ คนอาจคุ้นๆ กับพลอตที่ว่าประเทศของเราเต็มไปด้วยนักการเมืองโกงกิน เป็นภัยต่อชาติ ทหารจึงจำเป็นต้องกอบกู้วิกฤตด้วยการรัฐประหารกำจัดนักการเมือง) ทั้งยังพยายามกลบฝังอดีตที่ไม่สอดคล้องกับพลอตเรื่องของวีรบุรุษผู้นั้น เช่น เหตุการณ์ที่รัฐควบคุม จับกุม สังหารหมู่ประชาชน เพื่อให้สังคมลืมๆ มันไป 

ต่อให้เราจะรังเกียจวิชาสังคมและไม่สนใจเรื่องราวในประวัติศาสตร์แค่ไหน แต่ ‘อดีต’ แบบที่รัฐพรีเซนต์ก็สามารถแทรกซึมสู่ความทรงจำผ่านการรับรู้ซ้ำๆ ทั้งจากในห้องเรียน สื่อต่างๆ หรือคนรอบข้าง ความเข้าใจที่มีต่ออดีตนี่เองที่จะกลายมาเป็นตัวกำหนดความคิดและจุดยืนทางการเมืองของเราโดยไม่รู้ตัว และเมื่อรัฐสามารถควบคุมประวัติศาสตร์ให้คนจำนวนมากเชื่อในพลอตเรื่องเดียวกันได้ ย่อมทำให้ประชาชนเข้าใจนิยามของ ‘ชาติ’ และ ‘ศัตรูของชาติ’ ได้ตรงกับที่รัฐต้องการและทำให้ผู้มีอำนาจปกครองต่อไปได้ง่ายขึ้น

สิ่งเหล่านี้บังเกิดในโลกของวันพีซ อย่างชัดแจ้ง ในเกาะ ‘วาโนะคุนิ’ โชกุนคนปัจจุบันเข้ามาควบคุมอดีตผ่านการสอนประวัติศาสตร์ในโรงเรียน สร้างพลอตเรื่องให้โชกุนคนก่อนเป็นศัตรูของชาติอันชั่วร้าย พร้อมทั้งจำกัดเสรีภาพของประชาชน ใครก็ตามที่วิจารณ์โชกุนถือเป็นกบฏที่เจ้าหน้าที่มีสิทธิฆ่าทันที เขายังจับประชาชนที่เป็นปฏิปักษ์จำนวนมากเข้าคุกเพื่อปกครองเกาะอย่างเบ็ดเสร็จและช่วงชิงทรัพยากรบนเกาะจำนวนมากมาเป็นของตัวเองและพวกพ้อง

ไม่เพียงในระดับเกาะ แต่เผ่ามังกรฟ้าที่มีอำนาจสูงสุดก็พยายามควบคุมประวัติศาสตร์โลกเช่นกัน ดังที่ประชาชนจำนวนมากภายใต้รัฐบาลโลกจำต้อง ‘เชื่อ’ ด้วยความหวาดกลัวว่าเผ่ามังกรฟ้าคือชนเผ่าผู้สร้างโลกใบนี้ตั้งแต่ 800 ปีก่อนจึงมีสถานะเป็นเหมือน ‘พระเจ้า’ ที่ทุกคนต้องยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะพระเจ้าไม่เพียงสร้างผืนดินและผืนน้ำ แต่สร้างชีวิตประชาชนทุกคนขึ้นมา

ช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีก่อนที่เผ่ามังกรฟ้าจะเรืองอำนาจถูกทำให้เป็น ‘ประวัติศาสตร์ร้อยปีที่สูญหาย’ เพราะรัฐบาลโลกพยายามทำลายหลักฐาน หากมีนักประวัติศาสตร์คนไหนหาญกล้าขุดคุ้ยก็จะโดนกองทัพหมายหัวและฆ่าทิ้ง กระนั้นก็ยังมีคนพยายามบันทึกอดีตช่วงนั้นเอาไว้โดยสลักภาษาโบราณไว้บนศิลาจารึกขนาดใหญ่ที่ทำลายไม่ได้ กองทัพจึงตามไปเข่นฆ่ากลุ่มนักโบราณคดีบนเกาะแห่งหนึ่งที่อ่านภาษาโบราณนี้ออก รวมถึงฆ่าประชาชนที่อาศัยอยู่บนเกาะทุกคนเพื่อไม่ให้เหลือแม้กระทั่งหลักฐานที่เป็นความทรงจำเรื่อง ‘การทำลายหลักฐาน’

เราอาจมองเหตุการณ์นี้เป็นความโหดเหี้ยมของเผด็จการหรือเป็นการพยายามรักษาความสงบสุขไม่ให้เกิดความแตกแยกก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจดจำอดีตในแบบไหน

จากการสังหารหมู่คราวนั้นมีเด็กผู้หญิงชื่อ ‘นิโค โรบิน’ เอาชีวิตรอดมาได้ ถือเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่สามารถอ่านภาษาโบราณในหลักศิลาออก ต่อมาเธอตัดสินใจร่วมเป็นลูกเรือโจรสลัดของลูฟี่

One Piece

นอกจากเป้าหมายของลูฟี่จะเป็นการค้นหาวันพีซเพื่อเป็นเจ้าแห่งโจรสลัดผู้เกรียงไกร ลูกเรือคนอื่นต่างก็มีเป้าหมายที่ต้องพิชิต เช่นที่นิโค โรบิน ต้องการอ่านศิลาจารึกเรื่องประวัติศาสตร์ร้อยปีที่สูญหาย มองในแง่นี้ โจรสลัดจึงเป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลโลกควบคุมความคิดได้ยากยิ่ง เพราะแม้ว่ารัฐจะพยายามควบคุมโจรสลัดกลุ่มหนึ่งให้อยู่ใต้อำนาจ แต่เหล่าโจรสลัดรุ่นใหม่จำนวนมากก็ไม่สนใจกฎหมายหรืออำนาจรัฐอันไม่เป็นธรรมและกดขี่ข่มเหงผู้คน 

มากกว่านั้น การตั้งค่าหัวโจรสลัดที่กองทัพทำขึ้นมาเพื่อหาทางกำจัดศัตรูยังถูกไอ้พวกนี้ใช้จำนวนเงินค่าหัวเป็นมาตรวัด ‘ความเก่ง’ ไปเสียอีก ครั้นรัฐพยายามจับกุมคุมขังโจรสลัดไปเท่าไหร่ ก็มีคุกที่ถูกแหกไปได้ กระทั่งรัฐพยายามจับโจรสลัดคนสำคัญมาประหาร ก็มีเพื่อนโจรยกโขยงมาผนึกกำลังต่อต้านจนเกิดเป็นมหาสงครามที่ใหญ่ที่สุดในเรื่อง 

เส้นทางสู่การเป็นเจ้าแห่งโจรสลัดของลูฟี่จึงคล้ายกับเป็นการต่อสู้ในฐานะประชาชนตัวเล็กๆ ที่ค่อยๆ พัฒนาฝีมือ รวบรวมเพื่อนร่วมทีม สั่งสมบารมีและอำนาจเพื่อจะไปท้าทายประวัติศาสตร์ที่ผู้มีอำนาจสูงสุดควบคุมอยู่

เพื่อปลดปล่อยอดีตที่สูญหายสู่การรับรู้ของผู้คน เปิดเปลือยทุกบาดแผลที่รัฐเคยกระทำต่อเหยื่อ เปิดกว้างต่อการตีความหลักฐาน เพื่อที่รัฐจะยอมรับความผิดพลาดในอดีต นำมาเป็นบทเรียนให้เรียนรู้ร่วมกัน ประวัติศาสตร์เช่นนี้ไม่ใช่หรือ ที่จะมีโอกาสพาสังคมไปสู่อนาคตอันสงบสุขได้จริงแท้

เพราะอย่าลืม ในยุคสมัยแห่งโจรสลัดเช่นนี้ คุณไม่มีทางควบคุมอดีตได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกต่อไปแล้ว

AUTHOR