ในโลกที่บอกให้เราวิ่งไล่ตามเส้นทางแห่งความสำเร็จตลอดเวลา ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม บ่อยครั้งในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจ บางคนอาจจะทำตามเป้าหมายของตัวเองได้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหลายคนที่กำลังหลงทางและอาจจะไม่รู้ว่าต้องเดินไปเส้นทางไหนด้วยซ้ำ
แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้คนเราเดินทางไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองต้องการได้ไม่เท่ากัน
หลังจากที่เราได้ฝึกฟังเสียงธรรมชาติรอบตัวในเส้นทางมุมมองผ่านสวนกันไปแล้ว คราวนี้จะชวนทุกคนออกแบบเป้าหมายชีวิตและสวมบทบาทเป็น ‘นักล่าสมบัติ’ ในเส้นทางที่ 3 ‘เป้าหมายเติบโตผ่านสวน’ ของกิจกรรมการเรียนรู้ที่ OKMD ร่วมกับ BASE Playhouse และ a day ที่จะพาทุกคนเดินสำรวจเส้นทางภายในสวนเบญจกิติ โดยมีจุดหมายคือ ‘เกาะสมบัติ’ และมีภารกิจต่างๆ มาให้ทำเพื่อเก็บคะแนนภายในเวลาที่กำหนด ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้แนวคิดการออกแบบเส้นทางในสวน เพื่อเชื่อมโยงกับการออกแบบเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง โดยมี โมเน่ต์-ณฐมน รัตนสุภา จาก BASE Playhouse เป็นผู้นำกระบวนการในครั้งนี้
คน สัตว์ และสวนป่า
อย่างที่หลายคนรู้กันดีว่า สวนป่าเบญจกิติเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองที่ไม่ได้มีแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ได้ถูกออกแบบให้เป็นสวนสาธารณะเชิงนิเวศที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคน สัตว์ แหล่งน้ำ และสวนป่าที่เต็มไปด้วยความร่มรื่นและความอุดมสมบูรณ์ ภายในสวนประกอบด้วยบึงน้ำขนาดใหญ่ถึง 4 บึง ทำให้มีเส้นทางที่หลากหลาย และกลายเป็นพื้นที่การเรียนรู้เรื่องพรรณไม้ในระบบนิเวศที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นพรรณไม้ป่าชายเลน พรรณไม้บึงน้ำจืด พรรณไม้ป่าดิบลุ่มต่ำ และพรรณไม้ป่าดิบแล้ง
ทีมงานไปพาพวกเราเดินไปยังบริเวณพรรณไม้ป่าชายเลนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรม ในช่วงแรกให้ทุกคนนั่งล้อมวงเพื่อแนะนำตัวเอง ทำให้รู้ว่า ‘นักล่าสมบัติ’ ที่เข้าร่วมเส้นทางในครั้งนี้มีหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนนักศึกษา, ครู, แม่บ้าน, นักเขียน, พนักงานบริษัท, เจ้าของกิจการ, คนทำเอเจนซี่โฆษณา, เภสัชกร เป็นต้น ความน่าสนใจคือทุกคนชอบธรรมชาติเหมือนกัน และอยากสำรวจเส้นทางภายในสวนแห่งนี้เพื่อกลับมาสำรวจเป้าหมายของตัวเองอีกครั้ง
ก่อนจะเริ่มเดินทางโมเน่ต์ให้ผู้เข้าร่วมทุกคนสแกนคิวอาร์โค้ดเข้า Line Openchat เพื่อใช้เป็นช่องทางการสื่อสารสำหรับการทำภารกิจระหว่างการเดินสำรวจ พร้อมกับแจกสมุดบันทึกเส้นทาง ภายในสมุดประกอบด้วยแบบฝึกหัดและแผนที่เส้นทางจากจุดเริ่มต้นไปยังเกาะมหาสมบัติ ซึ่งมีเส้นทางให้เลือกเดินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางเดินเท้า ทางวิ่ง, ทางจักรยาน, ทางเดินลอยฟ้า หรือทางถนนรอบโครงการ ทีมงานเน้นย้ำว่าให้จดเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดินไปสู่เกาะมหาสมบัติลงบนแผนที่อยู่เสมอเพื่อใช้เป็นรายละเอียดในกิจกรรมครั้งต่อไป
เมื่อทีมงานได้อธิบายกติกาและกำหนดเส้นทางที่สามารถเดินสำรวจได้ครบเรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้นักล่าสมบัติจับคู่เพื่อทำภารกิจต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายด้วยกัน ในระหว่างทางจะมีภารกิจทยอยส่งไปที่ Line Openchat ทุก 10 นาที ซึ่งมีทั้งหมด 3 ภารกิจคือ จดชื่อต้นไม้ที่เจอตลอดเส้นทาง, สเกตช์ภาพคนทำกิจกรรมในสวน และถ่ายรูปเซลฟี่กับคู่ของตัวเอง โดยแต่ละคู่สามารถเลือกเดินเส้นทางไหนก็ได้ตามใจชอบ และเลือกทำภารกิจอันไหนก่อนก็ได้ตามความสะดวก โดยมีจุดหมายปลายทางคือ ‘เกาะมหาสมบัติ’ หรือ บริเวณอัฒจันทร์กลางซึ่งเป็นจุดบ่อที่สามของสวนเบญจกิติ และต้องเดินทางไปถึงภายในระยะเวลาที่กำหนด
นักล่าสมบัติ
ทันทีที่ภารกิจแรกเริ่มต้นขึ้น ทุกคนสวมบทบาทเป็นนักล่าสมบัติ แต่ละคู่ต่างกระจายแยกเดินออกไปตามเส้นทางที่ตกลงกันไว้ เราเริ่มต้นเดินลัดเลาะตามทางเดินเข้ามาในโซนพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อจดชื่อต้นไม้ สองข้างทางเต็มไปด้วยพืชน้ำนานาชนิดและดอกไม้หลากหลายสีสัน โดยเฉพาะบัวหลวงที่ออกดอกสีชมพูสวยงามตลอดเส้นทาง รวมไปถึงพืชที่ช่วยบำบัดน้ำและดูดซับสารพิษในบ่ออย่างกกและธูปฤาษีกอใหญ่ นอกจากนี้ยังมีไม้ยืนต้นหลายชนิดที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นมะกอกน้ำ จามจุรี สน ตะขบ ประดู่ มะขาม ทองหลาง และอื่นๆ อีกมากมาย
ทางเดินแทรกตัวอยู่ระหว่างต้นไม้ต่างๆ ทำให้รูปแบบเส้นทางคดเคี้ยวไปตามเนินของสวนป่า ด้วยความที่ทีมสถาปนิกออกแบบสวนแห่งนี้โดยให้ความสำคัญกับความสมบรูณ์ของทรัพยากรเดิมในพื้นที่ จึงรักษาความเป็นป่าให้คงไว้ได้มากที่สุด ทำให้ในช่วงแรกเราต้องเดินฝ่าดงต้นหญ้าและต้นกกที่ยังไม่ได้ตัดแต่งให้โล่งเตียน รวมไปถึงสัมผัสกับพุ่มไม้บางชนิดที่มีหนาม นอกจากนี้ยังมีต้นคล้าน้ำที่สูงท่วมหัวซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินบ้างเล็กน้อย
แต่ความพิเศษคือความรกเหล่านี้ช่วยในการบำบัดน้ำและการยึดหน้าดิน อีกทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งหลบภัยของสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ นก หรือแมลง เส้นทางนี้ทำให้เราได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดและเห็นถึงระบบนิเวศที่พึ่งพาอาศัยกันมากขึ้น
เมื่อเดินตามเส้นทางบอร์ดวอล์กเรื่อยๆ เราจะเห็นเกาะต้นไม้กลางบึงน้ำขนาดใหญ่ นอกจากความโดดเด่นที่ทำให้สะดุดตาแล้ว เกาะต้นไม้กลมเหล่านี้มีไอเดียมาจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวสวนที่ใช้ร่องยกรากต้นไม้ให้สูงกว่าระดับน้ำใต้ดินทำให้น้ำซึมเข้าสู่ดิน เมื่อรากต้นไม้ดูดซับน้ำก็ช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดีมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการลดการระเหยของน้ำ และช่วยลดอุณหภูมิของพื้นที่ต่างๆ ภายในสวนได้อีกด้วย
เวลาผ่านไปไม่นาน ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังจะตก ทำให้แสงบนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีลูกกวาดไล่สีกันอย่างสวยงาม ช่วงตอนเย็นบรรยากาศเริ่มคึกคักมากขึ้นเพราะอากาศเย็นสบายเหมาะกับการมาผ่อนคลาย มีผู้คนที่มาทำกิจกรรมบนทางเดินสกายวอล์กกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะวิ่งออกกำลังกาย เดินชมธรรมชาติ หรือถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกับเพื่อนฝูง ครอบครัว คู่รักพรีเวดดิ้ง รวมไปถึงถ่ายรูปรับปริญญากันอย่างอบอุ่น ตอนนี้เราหยุดเดินเพื่อสเกตช์ภาพผู้คนทำกิจกรรมในภารกิจที่สอง
เมื่อสเกตช์ภาพเสร็จแล้ว เราตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเดินขึ้นไปบนทางเดินสกายวอล์กเพื่อชมวิวในมุมสูง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลต์ของสวนที่สามารถเดินเชื่อมไปยังส่วนอื่นๆ ของพื้นที่ได้ เราถ่ายรูปเซลฟี่จากมุมสูงกับเพื่อนร่วมเส้นทางในภารกิจสุดท้ายก่อนจะเดินทางไปสู่จุดหมายคือ ‘เกาะมหาสมบัติ’
ดินแดนแห่งเกาะมหาสมบัติ
ในช่วงเย็น บริเวณอัฒจันทร์กลางให้บรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย เพราะตรงนี้เป็นพื้นที่โล่งที่รองรับให้ผู้คนได้เข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ บางคนออกมาเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ บางคนก็เอาเสื่อมาปูนั่งปิกนิกวาดรูป บางคนก็นอนชมท้องฟ้าด้วยกัน บรรยากาศเหล่านี้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ต่างประเทศ
ตอนนี้ทุกคนได้เดินมาถึงจุดนัดหมายกันครบเรียบร้อยแล้ว โมเน่ต์ชวนพูดคุยถึงความยากง่ายของภารกิจรวมไปถึงความน่าสนใจและอุปสรรคต่างๆ ของเส้นทางที่ทุกคนเลือกเดิน ซึ่งแต่ละคนมีวิธีเลือกที่ไม่เหมือนกันเลย บางคนเลือกเดินเส้นทางที่ง่ายที่สุดเพื่อจะได้ถึงจุดหมายได้เร็วที่สุด บางคนเลือกเส้นทางจากจุดชมวิวที่น่าสนใจ บางคนเดินไปแล้วเจอทางตันทำให้ต้องเดินย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่ นอกจากนี้ยังมีบางคนที่หลงทางเพราะมัวจดจ่ออยู่กับภารกิจจนลืมสังเกตสิ่งรอบตัว แม้แต่ละคนจะได้รับประสบการณ์การเดินสำรวจเส้นทางที่แตกต่าง มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันคือไม่ว่าเส้นทางไหนก็เต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติที่น่าประทับใจ
โมเน่ต์อธิบายต่อว่า เส้นทางมากมายจากจุดเริ่มต้นมายังจุดนัดหมายเป็นความตั้งใจของทีมสถาปนิกที่ออกแบบให้ผู้ที่เข้ามายังสวนแห่งนี้ได้มีประสบการณ์ที่หลากหลาย ซึ่งไม่ว่าเราจะเดินลัดเลาะไปเส้นทางไหนก็จะมีทางให้เดินไปต่อได้เรื่อยๆ อีกทั้งยังออกแบบให้เราสามารถเปลี่ยนเส้นทางได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
เส้นทางสู่ความสำเร็จ
ความจริงแล้วกระบวนการของเส้นทาง ‘เป้าหมายเติบโตผ่านสวน’ ได้ถูกออกแบบและรับไอเดียมาจากหนังสือ Atomic Habits เขียนโดย เจมส์ เคลียร์ อธิบายว่าคนเราสามารถพัฒนาตัวเองได้โดยการกำหนดเป้าหมาย แต่เป้าหมายนั้นอาจจะไม่สำเร็จได้หากเราไม่กำหนดวิธีการให้ชัดเจนมากพอ ดังนั้นแบบฝึกหัดสุดท้ายจึงชวนทุกคนกลับมาดูเป้าหมายของตัวเองอีกครั้ง สำรวจตัวเองว่าทุกวันนี้เราให้ความสำคัญและกำหนดเป้าหมายชัดเจนมากน้อยขนาดไหน เพื่อปรับมุมมองพร้อมตั้งเป้าหมายใหม่ให้สำเร็จโดยใช้โจทย์ในสมุดบันทึกเส้นทางที่มอบให้ตั้งแต่ต้นกิจกรรมพร้อมเขียนเส้นทางไปสู่เป้าหมาย 5 ข้อต่อไปนี้
ข้อแรก ฉันอยากเป็นอะไร
ข้อสอง ฉันจะทำอะไร
ข้อสาม ฉันจะทำสิ่งนี้ในช่วงเวลาไหน
ข้อสี่ สิ่งที่ต้องพร้อมก่อนทำมีอะไรบ้าง
และข้อสุดท้าย อยากเตือนตัวเองว่าอะไร
เมื่อทุกคนเขียนเป้าหมายของตัวเองเรียบร้อยแล้วก็ได้แชร์สิ่งที่เขียนให้ผู้เข้าร่วมคนอื่นฟัง แต่ละคนมีเป้าหมายแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียน การทำงาน การกินอาหาร การออกกำลังกาย การนอนหลับ การอ่านหนังสือ หรือการจัดเวลาให้ตัวเองได้อยู่กับธรรมชาติมากขึ้น จากนั้นโมเน่ต์ให้ทุกคนนึกถึงประสบการณ์ในช่วงที่ทำกิจกรรมร่วมกับคู่ของตัวเองว่าระหว่างทางมีวิธีเลือกเส้นทางยังไงและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างไรบ้างเพื่อเชื่อมโยงกับพฤติกรรมและการตั้งเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง
“การเดินทางมาถึงเกาะมหาสมบัติก็เปรียบเหมือนความสำเร็จของเป้าหมายในชีวิต เราจะไม่มีทางมาถึงได้เลยหากขาดภารกิจระหว่างทาง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือต้องมีการจัดระบบพฤติกรรมของตัวเองในทุกวัน ไม่ใช่แค่ตั้งเป้าหมายขึ้นมากว้างๆ ลอยๆ แล้วก็หายไป สุดท้ายนี้เราอยากให้ทุกคนได้นำกระบวนการในวันนี้ไปปรับใช้กับเป้าหมายของตัวเอง เพราะเราเชื่อว่าทุกครั้งที่เดินสำรวจธรรมชาติมักจะทำให้เราได้เรียนรู้และค้นพบสิ่งที่อยู่ในใจเสมอ” โมเน่ต์กล่าวทิ้งท้ายกิจกรรม
ในหลายๆ ครั้งที่เราตั้งเป้าหมายอะไรสักอย่างให้ตัวเอง ระหว่างทางที่เดินไปยังจุดหมายมักจะมีบางสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคหรือสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่อาจจะไม่ได้เอื้ออำนวยให้เราทำสิ่งนั้นสำเร็จตามที่ต้องการ หากเป้าหมายนั้นยิ่งใหญ่เกินไป เราอาจจะต้องกลับมากำหนดรายละเอียดให้ชัดเจนมากขึ้น ทำเป้าหมายให้เล็กลงด้วยการแบ่งภารกิจย่อยๆ เพื่อทำให้สำเร็จง่ายขึ้น และไม่กดดันตัวเองจนเกินไป
หากทุกคนมีความมุ่งมั่นลงมือทำทุกวันจนกลายเป็นนิสัย ไม่เลิกล้มกลางทาง และนำสิ่งที่ผิดพลาดมาเป็นบทเรียนอยู่เสมอ เราเชื่อว่าทุกคนสามารถเดินไปถึงเป้าหมายที่ตัวเองตั้งใจไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน