Olivia Rodrigo สวิฟตี้ผู้พาเพลงอกหักขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดทั้งอัลบั้ม

Olivia Rodrigo

ท่ามกลางสถิติในวงการเพลงที่ถูกโค่นแล้วโค่นอีกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าตัวเลขใหม่ๆ เหล่านั้นจะเป็นของศิลปินคลื่นลูกใหม่ช่วงวัยเจนฯ Z ที่มาสร้างเซอร์ไพรส์ให้วงการไม่น้อย 

คนล่าสุดคือ Olivia Rodrigo นักแสดงนำจากดิสนีย์ ผู้รับบทเป็น Nini ในซีรีส์ High School Musical: The Musical: The Series หลังจากที่เธอตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่าย Interscope และ Geffen Records ในปีที่ทุกคนต้องเผชิญกับโรคระบาด โอลิเวียก็ปล่อยเพลงบัลลาดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากซากปรักหักพังของชีวิตรักส่วนตัวออกมาเป็นซิงเกิลแรก และเพลงนั้นมีชื่อว่า drivers license

ไม่มีนักวิเคราะห์คนไหนคาดเดาได้ว่าเพลงที่พูดถึงใบขับขี่และอาการอกหักของศิลปินวัย 18 ปีจะทะยานขึ้นชาร์ตทุกสตรีมมิงอย่างรวดเร็ว ชนิดว่าทุบสถิติศิลปินเบอร์ใหญ่เกือบทุกคน เริ่มตั้งแต่มียอดสตรีมมิงใน Spotify ถึง 2.4 ล้านครั้งใน 24 ชั่วโมง เบียดสถิติเดิมในเพลง Shape of You ของ Ed Sheeran ที่มียอดสตรีมวันละ 2.2 ล้านครั้ง ทำให้โอลิเวียกลายเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่มียอดสตรีมต่อวันสูงที่สุด และเป็นศิลปินที่มียอดสตรีมมากกว่า 100 ล้านครั้งเร็วที่สุดบนแพลตฟอร์มนี้ 

ผ่านไป 4 เดือนท่ามกลางกระแสฮิตของเพลง drivers license โอลิเวียซุ่มทำอัลบั้มเดบิวต์ที่ประกอบด้วยบทเพลงทั้งหมด 11 แทร็ก และคลอดมันออกมาช่วงเดือนพฤษภาคม แน่นอนว่ามันขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 ในทันที

น่าสนใจว่าอะไรที่ทำให้คนฟังเพลงสนอกสนใจความรักแสนเจ็บปวดและเรื่องราว coming of age ของโอลิเวียมากมายจนทำให้ทุกเพลงในอัลบั้ม Sour ขึ้นชาร์ตทุกสตรีมมิงไปอย่างง่ายดาย 

ระหว่างอ่านเรื่องราวของเธอในบรรทัดถัดไป ใครจะเปิดเพลงในอัลบั้ม Sour เพื่อเพิ่มความอินก็ไม่ว่ากัน

จากเด็กสาวผู้ชอบร้องเพลงสู่ป๊อปสตาร์วัย 18 ปี

ขอเริ่มเรื่องด้วยเส้นทางสายอาชีพของโอลิเวีย เพราะนี่คือจุดสำคัญที่ทำให้เราเห็นความสนใจและการเติบโตที่หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นนักแต่งเพลงสุดป๊อปของปีนี้

โอลิเวียเป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์-อเมริกันที่เติบโตในชานเมือง Temecula เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคลิฟอร์เนีย เธอชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เริ่มเรียนร้องเพลงตั้งแต่อนุบาล และผ่านการเดินสายประกวดมากมาย แนวดนตรีที่โอลิเวียชอบก็หลากหลายมาก ทั้งคันทรี ป๊อป และอัลเทอร์เนทีฟร็อกอย่างวง No Doubt และ The White Stripes นอกจากนี้โอลิเวียยังยกให้ป๊อปสตาร์อย่าง Taylor Swift เป็นไอดอลของเธออีกด้วย

“ฉันจำได้ว่าฉันชอบแต่งเพลงตั้งแต่เด็ก เพลงแรกที่ฉันแต่งชื่อ Superman ซึ่งฉันนั่งแต่งมันโดยใช้เปียโนตอน 8 ขวบ ท่อนฮุกของมันร้องว่า ‘I don’t need no superman to come and save me/ come and teach me lessons/ ’cause I’m a human being/ and I can clean up my own messes.’ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กอายุ 8 ขวบที่มีอำนาจมาก” โอลิเวียย้อนความหลังตอนให้สัมภาษณ์ในรายการ Zach Sang Show 

“ฉันแต่งเพลงทุกวัน แม้บางวันจะยุ่งๆ แต่ฉันก็ยังคิดแต่เรื่องเพลง บางครั้งก็เก็บเอาไปฝันด้วย” เธอหัวเราะกับเรื่องราวของตัวเอง

ความสามารถอย่างหนึ่งที่คนรอบตัวบอกว่าโอลิเวียมีมาตั้งแต่เด็กคือ เธอสามารถสื่ออารมณ์ระหว่างร้องเพลงออกมาได้อย่างชัดเจน “มีคนบอกแม่ฉันว่าน่าจะพาฉันไปเข้าคลาสแอ็กติ้งนะ” เมื่ออายุได้ 12 ปีครอบครัวจึงพาเธอย้ายไปอยู่ลอสแอนเจลิสเพื่อออดิชั่นเข้าดิสนีย์ แล้วเธอก็ได้เล่นซีรีส์เรื่องแรกอย่าง Bizaardvark สมใจ โดยรับบทเป็น Paige Olvera วัยรุ่นที่ชอบโพสต์เพลงและคลิปตลกๆ ลงโซเชียลมีเดีย

ในเมื่อเป็นซีรีส์ที่มีเพลงเป็นส่วนประกอบ นักแสดงอย่างโอลิเวียก็ได้ฝึกเล่นกีตาร์อย่างจริงจังครั้งแรกจากซีรีส์เรื่องนี้ “จนถึงทุกวันนี้ การฝึกกีตาร์ตอนนั้นเป็นประโยชน์ต่อฉันมาก” โอลิเวียบอกแบบนั้น 

Disney

เราเชื่ออย่างที่โอลิเวียว่า เพราะต่อมาเธอก็แต่งเพลงมากมายจากการเล่นกีตาร์และโพสต์มันลงโซเชียลมีเดีย จนกระทั่งมีคนแนะนำให้ Daniel Nigro โปรดิวเซอร์ของศิลปินดังอย่าง Carly Rae Jepsen และ Conan Gray ไปฟังเพลงของเธอ แดนมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวโอลิเวีย สุดท้ายเขาก็กลายเป็นคนที่ช่วยเธอโปรดิวซ์ซิงเกิลแรกอย่าง drivers license 

“ก่อนจะแต่งเพลงนี้ฉันได้ใบขับขี่มา 6 เดือนแล้ว ช่วงนั้นฉันอกหักจึงขับรถไปตามชานเมือง ฟังเพลง Minor ของ Gracie Abrams แล้วร้องไห้ (การอกหักครั้งนั้น) มันส่งผลต่อความรู้สึกฉันมากๆ มันทำให้ฉันคิดอะไรได้หลายอย่าง” เธอเล่าที่มาของเพลง drivers license ในรายการ Diary of a Song ของ The New York Times

“พอกลับถึงบ้านฉันก็นั่งลงตรงเปียโน แล้วเริ่มร้องท่อนแรก ‘I’ve got drivers license last week, something we always talked about.’”

โอลิเวียไม่ได้คาดหวังว่าซิงเกิลแรกจะประสบความสำเร็จ เธอแค่อยากแต่งเพลงที่มาจากความรู้สึกตัวเองจริงๆ และหลังจากปล่อยเพลงนี้ เธอยอมรับว่าความรู้สึกเศร้าจากอาการอกหักไม่หลงเหลือแล้ว แต่ความรู้สึกตื่นเต้นที่คนได้ฟังเพลงมาแทนที่

จะไม่ให้เจ้าตัวตื่นเต้นได้ยังไง เพราะแฟนเพลงบางคนอินจัดถึงขั้นฟังเพลงตอนขับรถและโดนรถเฉี่ยวมาแล้วก็มี!

อัลบั้ม Sour กับเรื่องราวความรักและการเติบโต

หลังปล่อยเพลงออกมาได้ 4 เดือน โอลิเวียซุ่มทำอัลบั้มกับโปรดิวเซอร์ของเธอระหว่างที่ต้องเรียนไฮสกูลไปด้วย ก่อนจะปล่อยมันออกมาครองชาร์ต Billboard Hot 100 แบบกวาดเรียบทุกเพลง

ถ้าใครฟัง drivers license คงรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดจากการคิดถึงอดีตคนรักที่เคยคุยเรื่องใบขับขี่และสิ่งต่างๆ ในชีวิตด้วยกัน แต่นอกเหนือจากซิงเกิลแรก เนื้อหาของเพลงอีก 10 แทร็กที่เหลือในอัลบั้ม Sour นั้นกลับตอกย้ำว่าแม้จะอกหัก แต่โอลิเวียก็ไม่ได้คร่ำครวญว่ามันคือความผิดของเธอ และที่เธอยังมูฟออนไม่ได้ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายต่างหาก! 

เริ่มตั้งแต่เพลง traitor ที่มีท่อนฮุกว่า ‘คุณทรยศฉัน ฉันรู้ว่าคุณไม่มีทางรู้สึกผิดหรอกที่ทำให้ฉันเจ็บ’ (You betrayed me, and I know you’ll never feel sorry for the way I hurt.)

หรือเพลงแนวป๊อปพังก์อย่าง good 4 u ที่ถ่ายทอดอาการอกหักออกมาได้ถูกอกถูกใจหลายคน เช่นท่อน ‘เธอไม่มีทางรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้เท่าฉันหรอก!’ (You will never have to hurt the way you know that I do.) ที่เธอร้องแบบใส่อารมณ์ บวกกับเสียงกลองหนักๆ ยิ่งจี้ใจคนอกหักให้อินตามได้ง่ายๆ 

อีกเพลงที่สื่อสารชัดเจนไม่แพ้กันคือ happier แม้จะมีเนื้อหาที่ขอให้คนรักมีความสุข แต่ก็แฝงไปด้วยความร้ายกาจด้วยการบอกว่า ‘อย่ามีความสุขมากกว่าฉัน ฉันมันคนเห็นแก่ตัว รู้แหละ ฉันปล่อยคุณไปไม่ได้ และถ้าจะหาใครคนใหม่ก็ขอให้อย่าหาได้ดีกว่าฉันเลย’ (I hope you’re happy but not like how you were with me. I’m selfish, I know. I can’t let you go. So, find someone great but don’t find no one better.) 

มีแฟนเพลงจำนวนไม่น้อยที่อดสงสัยไม่ได้ว่าเพลงเหล่านี้โอลิเวียเขียนถึงใคร และเขาคนนั้นไปแอบกิ๊กกับใครกันถึงทำให้โอลิเวียฟูมฟายจนต้องมาแต่งเพลงได้ตั้งหนึ่งอัลบั้ม ขาเมาท์บางคนก็สันนิษฐานว่าผู้ชายที่เธอพูดถึงก็คือ Joshua Bassett พระเอกซีรีส์ที่แสดงคู่กันนั่นแหละ

“ฉันว่าฉันเป็นคนแต่งเพลงที่ระบุเนื้อหาชัดมาก นั่นทำให้บางเพลงฉันต้องกลับไปแก้เนื้อใหม่ เพื่อไม่ให้มันเจาะจงเกินไป” เธอกล่าวกับ NYLON หลังจากถูกถามว่าคนรักเก่าที่พูดถึงในเพลงคือใคร

“ฉันเข้าใจในความสงสัยของคนฟังนะ แต่ก่อนฉันก็เคยอยากรู้เรื่องราวเบื้องหลังเพลงของศิลปินคนโปรดเหมือนกัน แต่การเป็นนักแต่งเพลงมันมีความพิเศษมากๆ คือเราจะระบุเจาะจงไปเลยก็ได้ แต่ก็ต้องมีช่องว่างให้คนฟังได้เติมเรื่องราวของเขาลงไปด้วย ถ้าเขาไม่ได้อยากใส่ (เรื่องของตัวเอง) ลงไป เขาก็มีสิทธิมองเป็นเรื่องของฉันได้ ถ้ามันอิมแพ็กต่อเขามากกว่านั้นก็ตามสบาย ตราบใดที่เพลงยังมีความหมายต่อเขา ฉันก็โอเค”

นอกจากนี้ เพลงในอัลบั้ม Sour ยังพูดถึงช่วงเวลาวัยรุ่นของโอลิเวียเองด้วย ทำให้หลายคนกล่าวชมว่าจริงๆ แล้วเนื้อหาที่ศิลปินวัย 18 ปีคนนี้เขียนออกมาก็แทบจะเป็นตัวแทนของคนเจนฯ Z ในการบอกเล่าความนึกคิดในช่วงไฮสกูลได้เลยด้วยซ้ำ 

ทั้งเรื่องการเติบโตเหมือนในเพลง brutal อย่างท่อนที่ว่า ‘ฉันเหนื่อยกับวัย 17 ปี ไหนล่ะวัยรุ่นที่ฝันไว้? ถ้าใครมาบอกฉันอีกรอบว่า ‘มีความสุขกับวัยรุ่นเถอะ’ ฉันจะร้องไห้เลย’ (And I’m so sick of 17. Where’s my f..king teenage dream? If someone tells me one more time ‘enjoy your youth’, I’m gonna cry.)

หรือในเพลง jealousy, jealousy ที่พูดถึงความอิจฉาลึกๆ ในใจของเธอที่มีต่อผู้คนบนโลกออนไลน์ (I wanna be you so bad, and I don’t even know you. All I see is what I should be happier, prettier, jealousy, jealousy.) 

หลายเพลงในอัลบั้มนี้โอลิเวียยังได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปินไอดอลของเธออย่างเทย์เลอร์ สวิฟต์ เช่นแทร็ก 1 step forward3 steps back นั้นตั้งต้นจากไอเดียของการนำเลขโปรดของเทย์เลอร์อย่าง 13 มาแยกเป็นเลข 1 และ 3 จากนั้นก็แต่งเนื้อร้องจากไอเดียนั้น หรือเพลง deja vu ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากท่อนบริดจ์ที่เทย์เลอร์ตะโกนว่า ‘And I screamed for whatever it’s worth “I love you,” ain’t that the worst thing you ever heard? He looks up, grinning like a devil’ ในเพลง cruel summer

ทลายภาพจำนักแสดงดิสนีย์ สู่ศิลปินที่มิกซ์เพลงหลากหลายสไตล์ไว้ในอัลบั้มของตัวเอง

แม้เราจะไม่ได้อยากสเตอริโอไทป์ใครมากนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดงจากดิสนีย์แล้ว เราคงนึกภาพศิลปินที่ร้องเพลงแนวบัลลาดด้วยพลังเสียงเยอะๆ

กับโอลิเวียก็เช่นกัน ระหว่างที่เธอยังเป็นนักแสดงในซีรีส์ High School Musical ซีซั่นแรก เธอปล่อยเพลงที่แต่งเองอย่าง All I Want จนกลายเป็นเพลงที่มียอดฟังมากที่สุดในบรรดาเพลงประกอบซีรีส์เรื่องนี้ และทำให้หลายคนจดจำเธอในบทบาทของนางเอกซีรีส์ค่ายดิสนีย์มาตั้งแต่นั้น แต่แล้วความคิดของทุกคนก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อเธอทลายภาพจำนั้นด้วย Sour อัลบั้มที่ผสมผสานแนวเพลงหลากหลายสไตล์ที่เธอชอบไว้ด้วยกัน

“ฉันถูกมองว่าเป็นศิลปินป๊อปแต่ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย อัลบั้มนี้จึงเต็มไปด้วยสิ่งที่ฉันชอบ ซึ่งมีหลากหลายมาก ทั้งเพลงแบบอัลเทอร์เนทีฟร็อก อัลเทอร์เนทีฟป๊อป หรือแนวคันทรี และแน่นอนว่ามีแนวโฟล์กด้วย คนฟังสามารถค้นหาสิ่งที่พวกเขาชอบผ่านสิ่งที่ฉันซ่อนเอาไว้ในเพลงใดเพลงหนึ่งก็ได้” 

ในความเห็นของเรา ถ้าไล่ฟังตั้งแต่เพลงแรกจนเพลงสุดท้าย ไม่มีเพลงไหนในอัลบั้มนี้ที่ทำให้รู้สึกโดดออกมาจากแทร็กทั้งหมด แม้ทุกเพลงจะมีสไตล์ที่แตกต่างกันแต่มันอยู่ด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติและลงตัวอย่างยิ่ง

เข้าใจว่าแต่ละแทร็กน่าจะผ่านการเรียบเรียงจากโปรดิวเซอร์มาอย่างดี สังเกตได้จากเพลงที่จังหวะหนักๆ อย่าง good 4 u หรือป๊อปร็อกเบาๆ อย่าง de javu ก็ไม่ได้เริ่มต้นด้วยเสียงกลองหนักๆ ทำให้คนฟังตกใจตั้งแต่แรก แต่เริ่มด้วยเสียงเพราะๆ ของโอลิเวีย แล้วไล่ระดับจังหวะให้ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจังหวะกรันจ์ของกีตาร์และเครื่องดนตรีเสียงทุ้ม

จุดสำคัญของการทำดนตรีแบบนี้คือมันทำให้จังหวะเพลงและตัวศิลปินค่อยๆ พาคนฟังไล่ระดับความรู้สึกไปเรื่อยๆ จนถึงจุดพีคของเพลง อย่างเช่น drivers license ที่เริ่มด้วยเสียงเปียโนโน้ตเดียวกับเสียงเบาๆ ของโอลิเวีย ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มจังหวะดนตรีอิเล็กทรอนิกเข้ามา พร้อมกับเสียงของศิลปินที่ไต่ระดับอารมณ์ความเจ็บปวดของอาการอกหักไปเรื่อยๆ 

เสียงร้องที่สื่อถึงอารมณ์ของศิลปินจึงสำคัญมาก และโอลิเวียก็ทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดี อย่างในเพลง drivers license ในท่อน ‘And I know we weren’t perfect but I never felt this way for no one. And I just can’t imagine how you could be so okay now that I’m gone. Guess you didn’t mean what you wrote in that song about me.’ เธอจะร้องด้วยเสียงที่ค่อยๆ ไต่ระดับไปจนถึงเสียงสูง ซึ่งทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวด และค่อยๆ ลดระดับเสียงตามดนตรีมาเรื่อยๆ เมื่อถึงท่อน ‘Cause you said forever, now I drive alone past your street.’ ซึ่งทำให้คนฟังรู้สึกฮุคและเศร้าตามได้ไม่ยาก

เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่ทำให้ศิลปินวัย 18 ปีถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเพลงได้ชัดเจนขนาดนี้ เพราะเบื้องหลังตอนอัดเสียงเธอขอให้โปรดิวเซอร์ตั้งกล้องถ่ายวิดีโอเธอเอาไว้ด้วย

“ผมเป็นคนที่ไม่สามารถทำอะไรอยู่หน้ากล้องเวลามีคนบันทึกวิดีโอเอาไว้นะ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับโอลิเวียมากๆ เวลาที่ผมบอกว่า ‘โอเค เรากำลังถ่ายวิดีโอคุณ ทุกคนกำลังดูคุณอยู่’ แล้วทันใดนั้นเธอก็จะ perform ชีวิตตัวเองออกมาเลย” แดเนียลเล่า

Interscope

สำหรับโอลิเวีย การบันทึกวิดีโอไว้เท่ากับว่าเธอกำลังแสดงให้คนเห็นจริงๆ และมันทำให้เธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อิมแพ็กมากที่สุด สิ่งนี้น่าจะเป็นผลพลอยได้จากการเป็นนักแสดงของดิสนีย์นั่นเอง 

แต่ถึงแม้ว่าการบันทึกวิดีโอไปด้วยจะช่วยทำให้เธอถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ดี ทว่าในมุมของโอลิเวียแล้ว สิ่งที่สามารถถ่ายทอดและระบายความรู้สึกของเธอได้ทั้งหมดก็ยังคงเป็นการแต่งเพลงนั่นแหละ

“ความสุขของฉันคือการเขียนเพลง มันคือความอิสระโดยสมบูรณ์ ไม่มีใครมาบอกว่าต้องทำอะไร ฉันมีอิสระเต็มที่ในการสร้างสรรค์ มันจึงเป็นสิ่งที่ฉันชอบที่สุดในโลก การที่ฉันสามารถสร้างสรรค์บางอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นโดยที่มันมีพลังไปสัมผัสหัวใจคนได้ คือสิ่งมหัศจรรย์ของการแต่งเพลงสำหรับฉัน มันเป็นความอิสระแบบที่การเป็นนักแสดงกองถ่ายไม่มี”

พลังและความอิสระที่โอลิเวียว่าเป็นยังไง คงต้องไปพิสูจน์กันเองจากอัลบั้มของเธอ


แหล่งที่มา
bbc.com 
i-d.vice.com 
i-d.vice.com
newyorker.com
npr.org 
nylon.com  
thecut.com 
vogue.com  

AUTHOR