“ถ้าไม่เจ็บปวด ก็ไม่เติบโต” folklore อัลบั้มที่ตกตะกอนจากความคิดและชีวิตของ Taylor Swift ในวัย 30

folklore

ถ้าพูดชื่อ Taylor Swift คุณนึกถึงอะไร

กว่า 15 ปีที่ผ่านมา หลายคนอาจรู้จักเธอในฐานะนักร้องดังที่เปลี่ยนคู่ควงบ่อย เป็นศัตรูกับ Katy Perry และเซเลบหลายคนในวงการ บางคนจดจำเธอในฐานะศิลปินเพลงป๊อปผู้มีเอกลักษณ์คือการใช้ ‘แฟนเก่า’ เป็นวัตถุดิบแต่งเพลง 

สำหรับคนที่ติดตามเธอมาตลอด ฉันก็ไม่แก้ต่างให้หรอกว่าสิ่งที่ร่ายมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องจริง แต่ภายใต้เปลือกนอกที่คนทั่วไปมองนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าเทย์เลอร์ สวิฟต์ คือศิลปินที่เก่งและประสบความสำเร็จมากคนหนึ่งของโลก เธอเข้าวงการตั้งแต่อายุ 14 ปี ชนะรางวัล Grammy Award ตั้งแต่ทำอัลบั้มที่ 2 ‘Fearless’ มีเพลงติดอันดับหนึ่ง Billboard Hot 100 รัวๆ หลังจากเขยิบจากแนวคันทรีมาสู่เพลงป๊อปเต็มตัว และกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ชนะรางวัลแกรมมี่สาขา Album of the Year 2 ครั้ง โดยใช้เวลาห่างกันแค่ไม่กี่ปี

เทย์เลอร์ไม่เพียงเก่งกาจเรื่องการทำเพลงฮิตเท่านั้น แต่เธอยังเป็นกระบอกเสียงให้คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้หญิงและกลุ่ม LGBTQ+ เธอยืนหยัดต่อสู้เรื่องความถูกต้อง เคยขึ้นศาลเพื่อฟ้องร้องเรื่องที่ถูกลวนลามแลกกับเงินเพียง 1 ดอลลาร์ (และชนะด้วย) เคยเขียนจดหมายเปิดผนึกถึง Apple Music เรียกร้องให้จ่ายเงินแก่ศิลปินในช่วง 3 เดือนที่เปิดให้ฟังฟรี (Free Trial) จนสำเร็จ เคยออกมาส่งเสียงทางการเมืองว่าไม่สนับสนุน Donald Trump แหกกฎค่านิยมว่าดารานักร้องไม่ควรข้องเกี่ยวกับการเมือง หรือแม้แต่ในช่วงชีวิตที่ดูมืดมนที่สุดเพราะโดน Kanye West กับ Kim Kardashian แกงหม้อใหญ่ด้วยการปล่อยคลิปเสียงแฉว่าเธอรู้เห็นเป็นใจกับการถูกพูดถึงอย่างเสียๆ หายๆ ในเพลง Famous ของคานเย่ (ซึ่งก่อนหน้านั้นเทย์เลอร์ออกมาปฏิเสธชัดเจน) ทำให้โดนชาวเน็ตจวกยกใหญ่ว่าเธอสตรอว์เบอร์รีจนแฮชแท็ก #TaylorSwiftIsOverParty ขึ้นเทรนด์โลกอันดับหนึ่ง

หลายคนคิดว่าเทย์เลอร์คงยอมแพ้กับวงการแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ตอกกลับด้วยวิธีที่ตัวเองถนัดผ่านอัลบั้ม reputation เพื่อเสียดสีเรื่องนี้โดยเฉพาะ ไม่กี่ปีหลังจากนั้นคานเย่กับคิมก็ถูกมือดีปล่อยคลิปเสียงเต็มเพื่อแสดงหลักฐานว่าเทย์เลอร์บริสุทธิ์จริง แล้วแฮชแท็ก #TaylorToldTheTruth ก็โลดแล่นในโลกออนไลน์ เป็นการกู้ชื่อเสียงกลับมาให้เธออย่างสมบูรณ์

หลังจากผ่านพ้นข่าวฉาวทั้งปวง เทย์เลอร์หายไปจากหน้าสื่อพักใหญ่ก่อนจะกลับมากับอัลบั้ม Lover ในปี 2019 ที่เห็นการเติบโตของเธอมากขึ้น เพลงป๊อปสดใสอย่าง ME! บอกโทนสนุกของอัลบั้ม การได้เห็นการคืนดีกันของเธอกับเคที เพอร์รี ในเอ็มวีเพลง You Need To Calm Down คล้ายบอกใบ้ว่าเธออยากทิ้งอดีตไปให้หมด เทย์เลอร์มีแผนจะทัวร์คอนเสิร์ต Lover Fest ทั่วโลก กระทั่งวิกฤตโรดระบาดทำให้ต้องเลื่อนทัวร์ออกไปอย่างไม่มีกำหนด 

และเหมือนสวรรค์ได้ยินเสียงของแฟนๆ ขณะกำลังสาปส่งปี 2020 ว่าเป็นปีที่ย่ำแย่ที่สุดอยู่นั้น เทย์เลอร์ก็ประกาศว่าจะปล่อยอัลบั้มใหม่

folklore

อัลบั้มที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาส

“ระหว่างกักตัวอยู่บ้าน แผนต่างๆ ที่ฉันวางไว้ไม่เป็นไปตามนั้น” เธอเล่าผ่านโพสต์ในโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา “ในขณะเดียวกันสิ่งที่ไม่ได้วางแผนไว้ก็เกิดขึ้น ซึ่งก็คืออัลบั้มที่ 8 ชื่อ folklore เซอร์ไพรส์!”

ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ แต่เทย์เลอร์ยังปล่อยอัลบั้มตอนเที่ยงคืนของวันที่ 24 พร้อมเปิดพรีออเดอร์ทันที

“ปีก่อนๆ ฉันคิดหนักพอสมควรว่าจะปล่อยอัลบั้มนี้ใน ‘เวลาที่เหมาะสม’ ที่สุด แต่ช่วงที่ผ่านมานี้เตือนฉันว่าไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้น ใจของฉันบอกว่าถ้าคุณทำสิ่งที่คุณรัก คุณควรจะเผยแพร่ให้ทุกคนได้ฟัง” เธอเปิดเผยความรู้สึกในเฟซบุ๊กแฟนเพจ เช่นเดียวกับนักดนตรีหลายคน ช่วงเวลาแห่งการ social distancing ทำให้เทย์เลอร์ได้ใช้เวลากับความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของตัวเอง

หลังจากปล่อยอัลบั้มและเอ็มวีเพลง cardigan ได้แค่วันเดียว ยอดขายของ folklore พุ่งสูงมากถึง 1.3 ล้านก๊อปปี้ แทบทุกเพลงในอัลบั้มไต่อันดับในหลายชาร์ต และเพียงแค่สัปดาห์เดียว folklore ก็มียอดสตรีมมากถึง 337 ล้านครั้งใน Spotify ขึ้นเป็นอัลบั้มที่มีการสตรีมมากครั้งที่สุดในสัปดาห์เปิดตัวของปี 2020

folklore

Pop Crave

บอกตามตรงว่าเราไม่เซอร์ไพรส์กับสถิติเท่าไหร่ เพราะชื่อของเทย์เลอร์ สวิฟต์ บวกกับการที่คนทั้งโลกกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการความบันเทิงมาเยียวยาหัวใจ เดาได้ว่าอัลบั้มนี้น่าจะไปได้ดี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเทย์เลอร์จะทำเพลงอะไรออกมาคนก็ฟัง ในทางกลับกัน folklore ก็มีส่วนผสมพิเศษอันแตกต่าง แสดงให้เห็นการเติบโตจากอัลบั้มก่อนๆ ที่น่าพูดถึง

ตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงล่าสุด หนึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากเทย์เลอร์คือการเปลี่ยนแปลงทั้งภาพลักษณ์และซาวนด์ดนตรี จาก country girl น้ำตาหล่นบนกีตาร์ในอัลบั้ม Taylor Swift เทย์เลอร์ก็ค่อยๆ ใส่ความป๊อปขึ้นในอัลบั้มต่อมาอย่าง Fearless, Speak Now และ Red จนเป็นที่รู้จักในหมู่แมส ก่อนจะผันตัวเป็นนักร้องสายป๊อปเต็มตัวในอัลบั้ม 1989 ที่มีเพลงอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลล์บอร์ดอย่าง Shake It Off, Blank Space และ Bad Blood 

ดราม่าในวงการบันเทิงทำให้เธอคลอดอัลบั้มสุดเฟียร์ซที่เน้นซาวนด์หนักอย่าง reputation ก่อน Lover อัลบั้มถัดมาจะเน้นมาทางป๊อปสดใส สนุก เนื้อหาเน้นไปทางอินเลิฟ (ณ ตอนนั้นเธอเดตกับ Joe Alwyn มา 2 ปีแล้ว ถือเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานถ้าเทียบกับคนก่อนๆ) ผสมโรงกับเพลงที่สอดแทรกประเด็นสังคมอย่าง LGBTQ+ ใน You Need to Calm Down หรือวิพากษ์ระบบชายเป็นใหญ่ใน The Man

จนมาถึง folklore งานดนตรีของเทย์เลอร์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้เธอหันมาจับทางโฟล์กที่เราเคยได้ยินฟีลคล้ายๆ กันจากเธอมาบ้างในเพลง Safe & Sound ที่ประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games

ดำดิ่งในจินตนาการไม่รู้จบ

“ฉันทุ่มเทความเพ้อฝัน ความหวัง ความกลัว และการรำพึงรำพันทั้งหมดลงในบทเพลง” เทย์เลอร์เผย “อัลบั้มนี้เริ่มต้นด้วยการเห็นภาพต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาในความคิด และทำให้ฉันตื่นเต้นสงสัย รูปวาดดวงดาวล้อมรอบแผลเป็น เสื้อคาร์ดิแกนเก่าๆ ที่กลิ่นของความสูญเสียไม่เคยจางหายตลอด 20 ปี เรือรบจมลงใต้มหาสมุทร ดำดิ่งลงไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้พลิ้วไหวในป่าแห่งวัยเยาว์ จากนั้นไม่นานก็ผุดภาพของใบหน้า ชื่อคน และกลายเป็นตัวละครในเพลง” 

เทย์เลอร์ยังเสริมว่า เธอไม่เพียงเขียนเพลงในอัลบั้มนี้จากเรื่องราวของตัวเองเท่านั้น แต่ยังเขียนถึงมุมมองต่อผู้คนที่เธอเคยพานพบ กลุ่มคนที่เธอรู้จัก และบางคนที่เธอคิดว่าไม่รู้จักก็คงดี 

folklore

ถ้าพิจารณาไล่เรียงมาตั้งแต่อัลบั้มแรก ภาพลักษณ์และแนวดนตรีที่เปลี่ยนไปของเทย์เลอร์อาจทำให้หลายคนคิดว่าเธอยินดีที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าหาสิ่งใหม่เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนฟังได้มากขึ้น แต่ folklore พิสูจน์แล้วว่าเทย์เลอร์คือศิลปินอย่างแท้จริง ไม่เพียงแค่กล้าเสี่ยงกับการทำเพลงที่ป๊อปน้อยลง แต่ยังเขียนเนื้อเพลงจากการสำรวจความคิด จินตนาการ และตัวตนอีกด้านของตัวเองในช่วงเวลาที่ไร้ข่าวฉาวใดๆ ร่วมกับศิลปินอย่าง Bon Iver, Aaron Dessner จากวง The National รวมถึง Jack Antonoff จากวง Bleachers และ FUN.

หลายคนสันนิษฐานว่าเพลงทั้งหมดในอัลบั้มนี้คือหนึ่งเรื่องราวที่ต้องจับมาร้อยเรียงต่อเนื่องกัน ในขณะที่บางคนไม่เชื่ออย่างนั้น พวกเขาคิดว่าบางเพลงอาจเชื่อมโยงกันแต่เพลงส่วนใหญ่จะเป็นเอกเทศเสียมากกว่า และหลังจากฟังมาหลายรอบ ฉันขอเชื่อเป็นการส่วนตัวว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง เพราะอ้างอิงจากคำพูดของเทย์เลอร์ที่ได้แชร์ไว้ว่าอัลบั้มนี้มีส่วนผสมของตัวละครที่แต่งขึ้นกับบุคคลจริง 

แต่ไม่ว่าใครจะเดาไปยังไง ฉันว่านั่นแหละคือความสนุกของการฟังอัลบั้มนี้ จินตนาการของเทย์เลอร์ทำให้เราจินตนาการต่อได้ในแบบของตัวเอง

folklore

เรื่องเล่าเรียบง่ายที่งดงาม

แม้หลายเพลงจะเล่าเรื่องราวที่แตกต่าง แต่จุดร่วมคือทุกเพลงเล่าเรื่องผ่านเนื้อร้องที่บ้างเรียบง่าย บ้างคมคาย แฝงนัยให้ขบคิด ผสมผสานกับซาวนด์ดนตรีที่มีกลิ่นดนตรีชนบท เน้นเครื่องสายและเปียโนเป็นหลัก ขับเสียงร้องของเทย์เลอร์และนักร้องรับเชิญให้หนักแน่น ได้อารมณ์มากขึ้น ในบางแทร็กมีซาวนด์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้ฟังจากเพลงของเทย์เลอร์มาก่อน ในขณะที่บางแทร็กทำให้เราหวนนึกถึงเพลงในอัลบั้มแรกของเธอด้วยเช่นกัน

เหนืออื่นใด แม้บางเพลงจะพูดถึงประเด็นที่เธอเคยพูดมาแล้วอย่างความรัก การเลิกรา วัยเยาว์ แต่ในอัลบั้มนี้เทย์เลอร์ทำให้เรารู้สึกว่าเธอมองสิ่งนั้นอย่างเข้าอกเข้าใจมากขึ้น ราวกับ 30 ปีของการใช้ชีวิตและ 15 ปีในวงการบันเทิงได้ตกตะกอนจนกลายเป็น 16 เพลงในอัลบั้มนี้

ต่อไปนี้คือ 8 แทร็กจากอัลบั้มที่ 8 ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่อยากบอกต่อ ถ้าจะฟังให้ได้อารมณ์ที่สุด ฉันแนะนำให้ปิด notifications มือถือ เอนตัว หลับตา กดเปิดเพลงแล้วปล่อยให้จินตนาการทำงาน

ปล. นี่คือความชอบและการตีความของฉันเอง ถ้าใครอยากแนะนำแทร็กอื่นก็มาแลกเปลี่ยนกันได้นะ

 

the 1

เพลงเปิดอัลบั้มที่แนะนำตัวว่าที่ผ่านมาฉันโอเคนะ และต่อไปนี้คือสิ่งใหม่ๆ ที่คุณจะได้ฟังจากฉัน ด้วยเมโลดี้ฟังสบายทำให้ฉันคิดถึงเพลง Call It What You Want จากอัลบั้ม reputation ที่ให้อารมณ์เดียวกัน สิ่งที่แตกต่างคือเพลงนี้พูดถึงรักที่ผ่านพ้น ความเสียดายในโอกาสที่ไม่ได้ทำ แง่งามความเจ็บปวด (“And if you never bleed, you’re never gonna grow ถ้าไม่เจ็บปวด ก็ไม่เติบโต”) เป็นความเศร้าที่เธอไม่ขมขื่นกับมันอีกแล้ว ออกแนวรำพึงรำพันว่า เฮ้อ เสียดายเนอะ คิดว่าเธอเป็นคนที่ใช่แล้วแท้ๆ

เพลงอารมณ์นี้มักจะถูกจัดอยู่แทร็กหลังๆ ในอัลบั้มก่อน ทว่าพอมาอยู่ตำแหน่งเปิดอัลบั้มนี้ก็ให้ความรู้สึกถูกต้อง ฟังแล้วอยากเก็บกระเป๋าออกเดินทาง ปล่อยใจไปกับวิวท้องฟ้าและต้นไม้ระหว่างทางเลย

 

cardigan

ซิงเกิลแรกที่แสดงให้เห็นว่ามุมมองต่อความรักของเทย์เลอร์เติบโตขึ้น หรือถ้าพูดตรงๆ เลยก็คือ ‘ปลง’ มากขึ้น แม้เนื้อเพลงจะเล่าถึงความร้าวรานของผู้หญิงคนหนึ่งจากการถูกคนรักนอกใจ (แต่ฟังไปฟังมาก็รู้สึกว่าเธอคนนี้ไม่ใช่ตัวจริงเหมือนกันนะ จากท่อน “you gave me weekends” เธอมาหาฉันตอนสุดสัปดาห์) แต่เธอก็โอบรับความเจ็บปวดนั้นไว้ และเชื่อในตัวคู่รักว่าจะกลับมาหาเธอในท้ายที่สุด

 

cardigan เวอร์ชั่น cabin in candlelight 

 

มีทฤษฎีของแฟนคลับว่า cardigan คือ 1 ใน 3 เพลงในซีรีส์ ‘love triangle’ หรือรักสามเส้าที่ใช้ 3 เพลงถ่ายทอดมุมมองของคน 3 คนในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งคือ James, Betty และชู้รักที่ไม่ระบุนามอีกหนึ่ง ซึ่งเพลงนี้บอกเล่ามุมมองของเบ็ตตี้นั่นเอง

 

august / illicit affairs

ถ้า cardigan คือเพลงที่เป็นตัวแทนของเบ็ตตี้ august ก็คล้ายว่าจะเป็นเพลงแทนใจชู้รักอีกคน จากท่อน “Cancel plans just in case you’d call. And say “Meet me behind the mall” So much for summer love, and saying “Us”. ‘Cause you weren’t mine to lose. (ยกเลิกแพลนเผื่อว่าคุณจะโทรหาแล้วพูดว่า เจอกันหลังห้างนะ รักฤดูร้อนและคำว่า “เรา” มันมากไป ฉันสูญเสียคุณไม่ได้เพราะคุณไม่ใช่ของฉันตั้งแต่แรก)” 

หรือหาก august ไม่ใช่เพลงที่ใช่ อีกแทร็กอย่าง illicit affairs ก็ดูเข้าข่ายจะถ่ายทอดมุมมองของชู้รักได้เช่นกัน จากท่อน “Make sure nobody sees you leave / Tell your friends you’re out for a run (อย่าให้ใครเห็นนะว่าแอบออกมา / บอกเพื่อนของคุณว่าจะไปวิ่ง)”

 

betty

แม้ชื่อเพลงจะเป็น betty แต่เพลงนี้คือมุมมองของเจมส์ที่อยากขอเบ็ตตี้คืนดีผ่านเนื้อเพลงที่อ้อนออด ยอมรับความผิด อยากเริ่มต้นใหม่ดีๆ ความพิเศษของเพลงนี้คือกลิ่นความคันทรีที่ใส่เข้ามาในภาคดนตรี ทำให้เราคิดถึงเพลงอัลบั้มแรกๆ สมัยที่เทย์เลอร์ยังเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปินแนวคันทรีอยู่เลย

 

exile (feat. Bon Iver)

เทย์เลอร์ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์แม่แห่งการเขียนเพลงรำพึงรำพันถึงรักครั้งเก่าได้บาดลึก ในอัลบั้มนี้ exile น่าจะได้รับตำแหน่งเพลงเกี่ยวกับแฟนเก่าที่บาดลึกที่สุดโดยไร้ข้อกังขา เสียงของ Bon Iver ที่ร้องตอบโต้กับเทย์เลอร์นั้นเข้ากันได้อย่างพอดีและบริสุทธิ์ โดดเด่นท่ามกลางดนตรีที่ขับเน้นความรู้สึกหวนคิดถึง เหมาะกับการเป็นตัวแทนคนรักเก่าที่กลับมาเจอกันโดยบังเอิญ ท่อน “I think I’ve seen this film before.” ทำให้เราคิดถึงเพลง If This Was A Movie ในอัลบั้ม Speak Now (Deluxe Package) ด้วย

 

epiphany

ถ้ามีตำแหน่งเพลงแปลกหูที่เราเซอร์ไพรส์มากที่สุดขอยกให้เพลงนี้ ฟังตอนแรกเหมือนได้เข้าโบสถ์สักที่ แต่จริงๆ มันคือเพลงที่เล่าเรื่องทหารและเหตุการณ์ในสนามรบ แฟนๆ สันนิษฐานว่า epiphany คือประสบการณ์ของ Dean คุณปู่ของเทย์เลอร์ผู้เคยเป็นทหารอเมริกันมาก่อน

 

peace

แม้ชื่อเพลงจะพูดถึง peace หรือความสงบสุข แต่เนื้อเพลงไม่ได้พูดถึงความสงบสุขแต่อย่างใด นี่คือหนึ่งในเพลงที่ชัดเจนว่าเธอต้องการสื่อสารกับคนรักปัจจุบันอย่างไม่อ้อมค้อมว่าการอยู่กับเธอจะไม่มีทางสงบสุข และเขาจะยอมรับได้ไหมถ้าต้องแลกความสงบในชีวิตกับความรักจากเธอ

folklore


ขอบคุณข้อมูลจาก

สารคดี Miss Americana
Taylor Swift Facebook Fanpage
Pop Crave
Vanity Fair
BBC
Business Insider
Teen Vogue
US Magazine

AUTHOR