ตั้งแต่เริ่มฉายก็มีแต่คนบอกให้ดู ได้ยินว่าถ้าเป็นคอหนังรักดราม่านี่ยิ่งห้ามพลาด บางเสียงเคลมว่าเรื่องนี้ดีมาตั้งแต่ฉบับนิยาย Normal People
ตอนฟังก็จินตนาการไม่ออกหรอก ได้แต่เออออตามน้ำแต่ไม่ได้ขวนขวายตามไปดูทันที ถึงอย่างนั้นก็เก็บชื่อเรื่องไว้ในลิสต์
Normal People ฟังดูเป็นชื่อที่ธรรมดาสามัญ พอไปเสิร์ชอ่านเรื่องย่อคร่าวๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกแหวกแนวจากซีรีส์รักเรื่องอื่นเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวไฮสกูลที่ซับซ้อน ฝ่ายหนึ่งป๊อปปูลาร์ อีกฝ่ายเป็นคนนอก ตอนอยู่โรงเรียนทำเป็นไม่รู้จักกัน แต่พอกลับบ้านก็ปฏิบัติต่อกันเหมือนคนรู้ใจ ซึ่งเอาจริงๆ พล็อตเพื่อน(ไม่)สนิทคิดไม่ซื่อก็ไม่ได้ใหม่ ดูท่าว่าจะต้องต่อคิวอีกหลายเรื่องที่อยากดู
แต่ใครจะคิดว่าการงานจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการลัดคิวขึ้นมา เพราะระหว่างที่ฉันอ่านต้นฉบับ a day ฉบับ sex is more มีพาร์ตหนึ่งพูดถึงซีรีส์ที่เล่าเรื่องเซ็กซ์ได้อย่างสนุก ลึกซึ้ง และได้ความรู้ ซึ่ง Normal People คือหนึ่งในไม่กี่ชื่อที่ผู้เขียนหยิบขึ้นมาแนะนำ
‘ความงดงามของซีรีส์เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นการฉายภาพ ‘ความใกล้ชิด’ ของชีวิตวัยรุ่นได้อย่างซื่อสัตย์และสมจริง แต่ยังรวมถึงการให้ความสำคัญกับเซ็กซ์อย่างมีมิติ เข้าอกเข้าใจ ทั้งเรื่องคอนเซนต์ ความลื่นไหลของเพศภาวะ และความซับซ้อนระหว่างความสัมพันธ์บนเตียงกับความสัมพันธ์ในชีวิตจริง’
ขายมาขนาดนี้แล้วจะอดใจยังไงไหว สุดท้ายเมื่อว่างเว้นจากการงานและรู้สึกอยากพักหายใจจากเรื่องน่าปวดหัวของรัฐบาล ฉันก็ลองแกล้งๆ เปิดตอนแรกดู ยอมรับว่าไม่ได้สปาร์กจอยทันที แต่พอจูนติดเท่านั้นแหละ ฉันล่ะอยากกลับไปตีก้นตัวเองในอดีตที่เอาเรื่องนี้ไปต่อคิวเรื่องอื่น
จริงอยู่ที่พล็อตเรื่องของ Normal People ไม่ได้ใหม่ และซีรีส์ก็เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของสองตัวละครหลักได้อย่างซื่อตรงและเรียบง่าย แต่ในความเรียบง่ายนั้นกลับเต็มไปด้วยเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ไม่อยากละสายตาไปจากจอสักนาทีเดียว
ไม่ใช่เพื่อน แต่สนิท Normal People
สองคาแร็กเตอร์หลักที่มีเสน่ห์ล้นเหลือจนทำให้รักพวกเขามากขึ้นทุก EP น่าจะเป็นเหตุผลหลักๆ ในการ ‘จูนติด’ ของฉัน
แม้จะเคยดูซีรีส์แนววัยรุ่นไฮสกูลมาแล้วหลายเรื่อง แต่ Marianne กับ Connell ก็ไม่เหมือนตัวละครตัวไหนที่ฉันรู้จัก ฝ่ายหนึ่งคือเด็กสาวเรียนเก่ง ฝีปากกล้า ผู้ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ส่วนอีกฝ่ายคือเด็กหนุ่มนักกีฬาที่เก่งกาจไปหมดทุกเรื่องยกเว้นการแสดงความรู้สึก บางครั้งเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะคิดหรือรู้สึกยังไงด้วยซ้ำ
แม่ของคอนเนลล์ทำงานเป็นคนทำความสะอาดบ้านของมารีแอนน์ เขาจึงได้เจอเธอนอกโรงเรียนสัปดาห์ละ 2-3 วัน แม้สถานะทางสังคมในโรงเรียนของทั้งคู่จะแตกต่างจนต้องทำเป็นไม่รู้จักกัน แต่เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกันเพียงลำพัง ต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าคนตรงหน้าคือคนที่รู้จักตัวเองมากที่สุด
ที่โรงเรียน คอนเนลล์คือเด็กหนุ่มพูดน้อยที่แก้มแดงตลอดเวลาเหมือนกำลังเขินใครอยู่ แต่ตอนอยู่กับมารีแอนน์ ถึงจะแก้มแดงเหมือนเดิม (บางครั้งแดงกว่าเดิมด้วย) คอนเนลล์กลับชอบคุย เขาพร้อมแชร์ทุกเรื่องให้เธอฟังโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ส่วนมารีแอนน์ที่เคยแข็งกร้าว ไม่เป็นที่รักของใครแม้แต่แม่กับพี่ชาย เมื่ออยู่กับคอนเนลล์เธอกลับรู้สึกปลอดภัยจนยอมเปิดเผยด้านอ่อนไหวที่ไม่มีใครเคยเห็นกับเขา
“ฉันไม่ใช่คนเคร่งศาสนา แต่บางครั้งฉันก็คิดว่าพระเจ้าสร้างเธอมาเพื่อฉัน” แม้จะน้ำเน่า แต่ประโยคนี้ในเรื่องก็นิยามความรู้สึกของพวกเขาได้ดี
นึกๆ ดูแล้ว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฉันอินกับเรื่องนี้มากน่าจะเป็นการแสดงของ Daisy Edgar-Jones และ Paul Mescal ที่เป็นธรรมชาติ จนเชื่อได้เต็มอกว่าพวกเขาคือมารีแอนน์กับคอนเนลล์จริงๆ ความเก่งกาจของพวกเขาฉายชัดเป็นพิเศษในช็อต close-up ที่กล้องซูมหน้าตัวละคร ทำให้เราเห็นสีหน้าและสายตาของพวกเขาอย่างชัดเจน
ซีน close-up แบบนี้ยังปรากฏอยู่ตลอดทั้งเรื่อง คล้ายเป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่อยากให้เราใกล้ชิดกับตัวละครในช่วงที่ตัวละครชิดใกล้กันที่สุด
Photographer: Enda Bowe
ไม่ใช่แค่คิด แต่พูด
ใครที่เคยอ่าน Normal People ฉบับนวนิยาย คงรู้ว่าซีรีส์แทบจะหยิบไดอะล็อกของ Sally Rooney ผู้เขียนมาเกือบจะเป๊ะๆ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะรูนีย์ก็มาร่วมเขียนบทของซีรีส์เช่นกัน แต่ลำพังไดอะล็อกที่ลึกซึ้งอย่างเดียวคงทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ถูกเรียกว่างานดัดแปลงที่ดีไม่ได้
ซึ่งหนึ่งในส่วนประกอบที่ผู้สร้างเห็นว่าขาดไปไม่ได้เด็ดขาดคือฉากเซ็กซ์
“เวลาฉันได้ยินคำว่าฉากเซ็กซ์ ฉันคิดถึงฉากสนทนา” แซลลี่ ผู้เขียนนิยายและบทซีรีส์บอกกับ O, The Oprah Magazine “ฉันไม่ได้เขียนไดอะล็อกสุ่มๆ ให้ตัวละครพูดเท่านั้น แต่คิดเสมอว่าพวกเขาอยากพูดอะไรต่อกัน ฉากเซ็กซ์ก็เหมือนกัน มันไม่ได้เป็นแค่ฉากมีเพศสัมพันธ์แต่มีบทบาทที่สำคัญกับเนื้อเรื่อง บางคนอาจคิดว่าฉากเซ็กซ์ในเรื่องนี้มันไม่ ‘เซ็กซี่’ เอาซะเลย แต่ฉันไม่ได้เขียนมันด้วยจุดประสงค์นั้น บางครั้งฉันพยายามจะเรียนรู้ตัวละครผ่านฉากนี้”
“(ฉากเซ็กซ์) คือส่วนประกอบสำคัญ มันคือเรื่องราวของรักแรกและความสัมพันธ์อันเข้มข้นของตัวละคร ฉากเซ็กซ์จึงไม่ใช่แค่ฉากเสริมที่เพิ่มเข้ามา แต่มันคือส่วนประกอบที่ทำให้เรื่องนี้เวิร์ก” Lenny Abrahamson หนึ่งในผู้กำกับเสริม
สิ่งที่ฉันชอบเป็นพิเศษเกี่ยวกับฉากเซ็กซ์ในเรื่องนี้ไม่ใช่ความถึงพริกถึงขิงหรือการลงทุนโชว์เนื้อหนังของนักแสดง แต่มันคือเซ็กซ์ที่มี verbal consent หรือคำพูดที่แสดงความยินยอมพร้อมใจ โดยเฉพาะฉากเซ็กซ์ครั้งแรกของคอนเนลล์กับมารีแอนน์ที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีการเดาใจ ไม่มีการคิดไปเองว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกดี ทั้งคู่แชร์อำนาจในเซ็กซ์อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะทำอะไรพวกเขาจะเอ่ยปากถามความรู้สึกกันเสมอ
“นี่ครั้งแรกของเธอเหรอ”
“ใช่ มันโอเคไหม”
“โอเคนะ แค่…ถ้าเธออยากหยุด เราหยุดได้เลย”
“ฉันไม่อยากหยุดหรอก”
“ฉันรู้ แต่ถ้ามันเจ็บหรืออะไร เราหยุดได้ มันจะไม่อึดอัด เธอแค่บอกฉันมาเท่านั้น”
ต่างจากหลายคนที่คิดว่าฉากเซ็กซ์ในเรื่องมันไม่เซ็กซี่เอาซะเลย แต่ในสายตาของฉัน มันคือส่วนที่เซ็กซี่ที่สุดของซีรีส์ด้วยซ้ำ
ไม่ใช่บ้าน แต่คือบ้าน
ถ้าจะให้สรุปความรู้สึกอย่างย่นย่อ Normal People คงเป็นซีรีส์ที่ดูง่ายแต่ร้องไห้หนัก
ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ซีรีส์ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครจนอดยิ้มและร้องไห้ตามพวกเขาไม่ได้ ตลอดทั้งเรื่องทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกันการมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาเช่นกัน
มีไดอะล็อกหนึ่งที่สรุปความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ดี มันเกิดขึ้นในตอนที่พวกเขาจะต้องแยกจากกันอีกครั้ง และไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า
“ฉันคงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ถ้าไม่มีเธอ” คอนเนลล์พูดทั้งน้ำตา
“ใช่ นายพูดถูก” มารีแอนน์ตอบ “ฉันหมายถึง นายคงจะไปอยู่ที่อื่น ไปเป็นคนอื่นที่แตกต่างจากคนที่เป็นอยู่ตอนนี้โดยสิ้นเชิง ฉันก็เหมือนกัน”
สำหรับฉัน ความสัมพันธ์ของคอนเนลล์กับมารีแอนน์ไม่ได้พิเศษเพราะเป็นความสัมพันธ์ที่น่าตื่นเต้นหรือหวือหวา ไม่ได้พิเศษเพราะทั้งสองคนเข้าใจกันตลอดเวลา แต่มันพิเศษเพราะพวกเขาคือคนที่เข้ามาในชีวิตกันและกันเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองมีคุณค่า
บางเวลา เราก็ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านั้น
VIDEO
อ้างอิง
oprahdaily.com
theplaylist.net
1
11ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
12ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
2
21ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
22ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
3
31ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
32ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
4
41ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
42ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
5
11ถึงจะมีแค่ 52 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
12ถึงจะมีแค่ 52 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
6
61ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
62ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
7
71ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
72ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
8
81ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
82ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
9
91ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
92ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
10
101ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน
102ถึงจะมีแค่ 12 ตอนและแต่ละตอนยาวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ทำให้ฉันผูกพันกับทั้งสองตัวละครได้จนแทบจะรู้สึกว่าเขาคือคนรู้จักในชีวิตจริง อาจเพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ทำให้เราได้เห็นการเติบโตจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งดีและแย่ ราบรื่นและเหลวแหลก ซึ่งล้วนส่งผลให้พวกเขารักๆ เลิกๆ กันอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของอีกฝ่ายก็ส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไม่ต่างกัน