การได้อยู่ในนิทานสักเรื่องเป็นความฝันของเด็กหลายๆ คน แม้การเติบโตจะทำให้เราห่างหายไปจากจินตนาการวัยเยาว์ แต่หากมีพื้นที่เล็กๆ ให้ได้หลบหนีความวุ่นวาย และกลับไปอยู่ในโลกนิทานวัยเด็กคงดีไม่น้อย
แล้วเราก็ได้ค้นพบพื้นที่เล็กๆ ของโลกนิทานอย่างนิทานคาเฟ่ Nitan Cafe & Garden สถานที่ที่ล้อมรอบด้วยรั้วสีขาวสะอาดตา โดดเด่นด้วยสีเขียวชอุ่มจากต้นไม้ใบหญ้า และแต่งแต้มด้วยสีสันจากดอกไม้นานาพันธุ์ เหมือนยกโลกจินตนาการของใครหลายคนมาไว้ที่นี่
นิทานคาเฟ่เกิดจากความฝันของ แอน–ปรัชญา สิงห์โต และ โบว์–ศิวาพร สิงห์โต คู่สามีภรรยาที่อยากมีร้านกาแฟเล็กๆ ให้บรรยากาศราวกับกำลังอยู่ในนิทานสักเรื่อง รวมกับความชื่นชอบพื้นที่สีเขียวเขาจึงนำคอนเซปต์ทั้งหมดมาเป็นแรงบันดาลใจในทุกๆ องค์ประกอบของร้าน ทั้งเครื่องดื่ม อาหาร และบรรยากาศรอบๆ โดยมี โมนา–พิมพ์ลภัส น้ำเงินใจงาม น้องสาวของโบเป็นตัวละครสำคัญเข้ามาช่วยออกแบบเมนูเกือบทั้งหมด
หากคุณเป็นอีกคนที่ชื่นชอบเรื่องเล่าแสนสนุกไม่ต่างกัน เตรียมตัวก้าวเท้าผจญภัยไปยังโลกจินตนาการกับเราได้เลย
กาลครั้งหนึ่งเริ่มต้นที่นิทานคาเฟ่
นิทานคาเฟ่เกิดจากความชื่นชอบเป็นหลัก เริ่มตั้งแต่แอนมีความฝันอยากเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง เมื่อรวมกับความชื่นชอบพื้นที่สีเขียวอยู่แล้ว เขาจึงอยากให้ร้านกาแฟของเขามีสวนสวยอยู่ข้างกัน แม้ก่อนหน้านี้แอนจะลังเลใจว่าอาจเปิดเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ ใต้ถุนธุรกิจเสื้อผ้าของตัวเองเท่านั้น
“แต่ก็คิดว่าไหนๆ จะมีคาเฟ่แล้ว เปิดจริงจังเลย แล้วก็เอาสิ่งที่ชอบของเรามาไว้ในนี้ เช่น สวน ต้นไม้ มีเสียงนกร้องอยู่กับธรรมชาติ” แอนเล่าด้วยรอยยิ้ม
“เรามีลูกสาวชื่อนิทาน เพราะเติบโตมากับนิทาน และชอบอ่านหนังสือ เลยเอามาตั้งเป็นชื่อร้าน คิดว่ามันคือการเล่าเรื่องอย่างหนึ่ง อีกอย่างก็น่าคิดต่อดีว่าจะเล่นคำว่านิทานกับร้านเรายังไงดี”
เมื่อตัดสินใจว่าจะเอานิทานมาเป็นคอนเซปต์ของร้านแล้ว แอนและโบจึงให้ โมนา–พิมพ์ลภัส น้ำเงินใจงาม น้องสาวของโบมาช่วยจัดการร้าน ทั้งเรื่องเมนูอาหาร เครื่องดื่ม และไปเรียนวิชาทำขนมอยู่หลายคอร์ส เพราะเห็นว่าโมนาเคยทำงานพาร์ตไทม์คาเฟ่เล็กๆ มาก่อน น่าจะมีประสบการณ์เพิ่มขึ้น เพื่อมาเป็นผู้จัดการร้านและดูแลเมนูอาหารร่วมกับแอนและโบ
“ตอนนั้นก็คิดว่าพี่โบกับพี่แอนชอบกินอะไรก็ไปลงคอร์สเรียนเพื่อที่จะมาทำเป็นเมนูในร้าน ระหว่างนั้นเราก็ไปทัวร์ดูร้านคาเฟ่อื่นๆ เพื่อรีเสิร์ชว่าเขามีเมนูอะไรบ้าง มีการจัดการยังไง พอเห็นเยอะๆ เราก็คุยกันว่าอยากให้ร้านมีซิกเนเจอร์เป็นของตัวเอง แล้วก็ช่วยกันคิดแต่ละเมนูในร้านขึ้นมา” โมนาเล่า
แต่กว่าจะออกมาเป็นรายชื่อเมนูสนุกๆ ที่ได้แรงบันดาลใจจากโลกเรื่องเล่า พวกเขาต้องระดมความคิดช่วยกันอย่างจริงจัง โมนาบอกว่าโจทย์หลักของการคัดเลือกคือเลือกสิ่งที่แอนและโบชอบทานก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนามาเป็นเมนูที่ประกอบไปด้วยเรื่องเล่าจากจินตนาการ
“ก่อนหน้านี้ เรามีรายชื่อเมนูเต็มกระดาษขนาด A0 เราคุยและทดลองกันอยู่นานมากว่าเมนูไหนตอบโจทย์ เมนูไหนจะผ่านการออดิชั่นจนเป็นเมนูสุดท้าย” แอนเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ
เมื่อได้รายชื่อเมนูตามที่ต้องการ พวกเขาก็เริ่มลงมือทดลอง ปรับสูตร คิดค้นวัตถุดิบบางอย่าง ผสมคลุกเคล้าไปกับโลกของจินตนาการจนออกมาเป็นเครื่องดื่มและอาหารรอต้อนรับผู้คนที่มาเยือน
เนรมิตตัวละครในโลกนิทานสู่เครื่องดื่ม
หลังจากผ่านการคัดเลือกและปรับสูตรต่างๆ แล้ว โมนาบอกว่าแต่ละเมนูจะซ่อนความสนุกเอาไว้เพื่อให้ทุกคนได้ตามหา แต่ก่อนจะผ่านไปสู่ลูกค้า พวกเขาจะต้องสวมบทบาทเป็นลูกค้าเพื่อทดลองชิมแต่ละเมนูก่อน
“ทุกเมนูเราจะทำ blind test คือการวางวัตถุดิบแต่ละแบรนด์สลับกัน ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของกลิ่นหรือรสชาติเพียงเพื่อค้นหาว่าชอบอันไหนมากที่สุด จนกว่าจะเอกฉันท์เราถึงจะเอามาใช้ในเมนูของร้าน” แอนช่วยเสริม
ไม่รอช้า พวกเขายกเอาเครื่องดื่มแห่งโลกจินตนาการที่ผ่านการคัดสรรมาชวนให้เราได้กระโดดเข้าไปลิ้มลอง
“แก้วนี้เป็นอเมริกาโน่ผสมด้วยไซรัปมะขามที่เราคิดขึ้นมาเอง เราใส่ขิงลงไปเพื่อให้มีกลิ่นบางๆ อยู่ เมื่อใส่น้ำผึ้งลงไปด้วยจะให้รสชาติที่ซับซ้อนขึ้น ดื่มแล้วให้ความสดชื่น ส่วนของตกแต่งแก้วคือครัมเบิลและแคนดี้กรอบๆ เราทำขึ้นมาเอง” โมนาเริ่มต้นอธิบายแต่ละเมนู
“พอได้ส่วนผสมที่ลงตัวแล้ว เราก็เห็นว่าสีสันของอเมริกาโน่แก้วนี้มีสีเหลืองด้วย เลยคิดใส่ชื่อบัมเบิลบีเข้าไป และกลายมาเป็นเมนูซิกเนเจอร์ในหมวดกาแฟของร้าน”
โมนาบอกด้วยว่าเหตุผลที่นิทานคาเฟ่มีเมนูกาแฟน้อย เพราะเจ้าของร้านอย่างแอนและโบไม่ค่อยชอบกินกาแฟ ทำให้เครื่องดื่มส่วนใหญ่ของที่นี่ตอบโจทย์กับคนรักน้ำหวานสดชื่นและขนมมากกว่า
“ส่วนเมนูนี้เกิดจากการที่เรามองว่าคนไทยชอบกินน้ำแบบอิตาเลียนโซดา เราเลยกลับมาคิดกันว่าอยากได้รสชาติหวานๆ หน่อย เลยตั้งใจใส่ไซรัปหลายๆ ตัวในสัดส่วนที่พอดี เช่น กุหลาบ เอลเดอร์ฟลาวเวอร์ น้ำผึ้ง และมิกซ์เบอร์รี พอผสมกับโซดาออกมาแล้วจะทำให้ได้รสชาติหอมหวานพอดี พร้อมเพิ่มเยลลี่ให้มีเทกซ์เจอร์เคี้ยวๆ เป็นกิมมิกเล็กๆ” โมนากำลังพูดถึงเมนูเครื่องดื่มที่มีชื่อว่า ลิตเติลเมอร์เมด ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง The Little Mermaid
“เราตกแต่งด้วยสีแดงจากดอกไม้เพื่อแทนปะการัง และเล่นสีของเครื่องดื่มให้ไล่ระดับ ทั้งหมดจะให้ความรู้สึกราวกับกำลังแหวกว่ายลงไปในท้องทะเล”
“ส่วนแก้วนี้คือน้ำอัญชันมะนาว ถ้าเราเทอัญชัญลงไปจะให้ความรู้สึกเหมือนเสกเวทมนตร์ เราเลยเพิ่มกิมมิกด้วยการใส่ edible glitter ซึ่งเป็นกลิตเตอร์สำหรับประกอบอาหารลงไปในแก้วเลยจะมีความวิ้งๆ”
โมนาบอกด้วยว่าก่อนหน้านี้ทุกคนตั้งชื่อเล่นให้น้ำอัญชันว่าเพนซีฟ เพราะตอนเทน้ำอัญชันเหมือนฉากใน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอนแฮร์รี่เทความทรงจำลงอ่างเพนซีฟ
“แต่เรารู้ว่าสึกว่าบางคนที่ไม่ได้ตาม แฮร์รี่ พอตเตอร์ จริงๆ อาจไม่รู้จักสิ่งนี้ ก็พยายามนึกว่าควรเป็นชื่อแม่มดที่ทุกคนรู้จัก แก้วนี้เลยออกมาเป็นชื่อเฮอร์ไมโอนี่”
หลังจากเราได้ลองสวมบทเป็นเฮอร์ไมโอนี่เทน้ำอัญชันลงไปในแก้วไซรัปมะนาวแล้ว โมนาก็ยกแก้วต่อไปมาเสิร์ฟให้เราได้ลองชิม
“แก้วนี้คือน้ำส้มที่เอามาผสมกับไซรัปมะขามประดับริมขอบแก้วด้วยพริก น้ำตาลและเกลือ เสิร์ฟพร้อมแท่งอบเชยจุดไฟ ทำให้กลิ่นฟุ้งออกมา เราคิดเมนูนี้เพื่อที่จะให้ลูกค้าได้สัมผัสหลายๆ อย่าง ทั้งรสชาติของน้ำ รสชาติพริกเกลือที่ริมขอบแก้ว และกลิ่นของอบเชย แล้วตั้งชื่อแก้วนี้ว่า Beauty and The Beast ซึ่งเป็นแก้วที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนเซอร์ไพรส์ในความอลังการของมัน” โมนาอธิบาย
เมื่อเราได้ลิ้มลอง Beauty and The Beast รสชาติของพริกเกลือที่ริมขอบแก้วผสมรวมกับรสชาติของน้ำส้มสัมผัสกับลิ้นของเรา และยังได้กลิ่นมะขามแซมกลิ่นขิงบางๆ กลายเป็นความละมุนซ่อนเปรี้ยวของรสชาติที่แตกต่างแต่เข้ากันได้ดีอย่างที่โมนาว่าเอาไว้
การคัดสรรเพื่อนิทานคาเฟ่
นอกจากเครื่องดื่ม สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคืออาหาร ซึ่งกว่าจะออกมาเป็นเมนูที่ให้ผู้มาเยือนได้ลองชิม แต่ละเมนูผ่านการคิดและลองผิดลองถูกเช่นเดียวกับเครื่องดื่ม โมนาบอกว่าทั้งหมดยังคงคอนเซปต์ว่าเป็นเมนูที่เกิดจากความชอบส่วนตัวของแอนกับโบว์
“ก่อนที่จะเปิดร้านเราก็ไปเก็บข้อมูลคาเฟ่อื่นๆ และดูว่าพี่โบว์กับพี่แอนชอบอะไร หรืออยากให้แต่ละเมนูออกมาเป็นแนวไหน เพราะสุดท้ายเราเป็นคนที่ต้องอยู่กับร้านก็กินทุกวันเหมือนกัน อย่างแซลมอนก็เป็นความชอบของพี่โบว์ ก็เลยออกมาเป็นข้าวแซลมอนไทยเทริยากิ
นอกจากจะพิถีพิถันเรื่องการทำอาหารแล้ว สิ่งที่โมนาให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือการเลือกสรรวัตถุดิบต่างๆ เพื่อนำมาปรุงแต่งให้แต่ละเมนูออกมามีรสชาติดีที่สุด
“ในส่วนการเลือกวัตถุดิบ ก็มีหลายตัวเลือก ถ้าเราเลือกวัตถุดิบที่ดี การทำอาหารหรือขนมชนิดหนึ่ง จะทำให้รสชาติดีกว่า อย่างการใช้เนยแต่ละแบบก็ให้รสชาติและกลิ่นไม่เหมือนกัน เมื่อทำขนมออกมา จะมีกลิ่นเนยชัดและได้รสชาติตามที่ต้องการ เราเลยคิดว่าการเลือกสรรวัตถุดิบเป็นสิ่งสำคัญ”
ด้วยประสบการณ์ที่โมนาร่ำเรียนมา นั่นเป็นสิ่งที่เธอได้ใช้ในการสร้างสรรค์รสชาติที่ดีที่สุด จนออกมาเป็นเมนูที่มีความแปลกใหม่ให้เราได้ลิ้มลองกัน
“ตัวแซลมอนไทยเทริยากิ เราก็คิดค้นน้ำซอสมากินคู่กับตัวปลา เป็นซอสที่จะออกรสชาติเหมือนน้ำปลาหวานแบบไทยๆ แต่รสชาติเข้มข้นกว่า คือรสเค็มกับรสหวานนำ ตามด้วยความเผ็ด ตัดกับรสชาติปลา และยังหอมเครื่องเทศและสมุนไพร เสิร์ฟพร้อมครื่องเคียง อย่างเช่น หอมแดงและผักต่างๆ และยังมีผักชนิดที่มักไม่เจอที่ไหน นั่นก็คือผักปลังที่รสสัมผัสเหมือนกระเจี๊ยบอันเล็กๆ ทานพร้อมตัวปลาและซอสจะเข้ากันได้ดี”
อีกหนึ่งเมนูที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านคือ สยามเทสโต้ ข้าวกะเพราสูตรโบราณที่นำเครื่องแกงมาผัดกับเนื้อหมูบดจนรสชาติเข้าเนื้อ โรยหน้าด้วยใบกะเพรากรอบ ให้รสสัมผัสที่นุ่มและกรุบกรอบในคำเดียว
“ผมเป็นคนชอบกินกะเพราอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นกะเพราธรรมดาคงหาทานได้ทั่วไป เลยพยายามทำให้คิดค้นกะเพราที่พิเศษกว่านั้น เลยรังสรรค์ขึ้นมาเป็นสูตรกะเพราโบราณที่โรยด้วยใบกะเพราทอดกรอบเป็นกิมมิกเล็กๆ” แอนกล่าว
จานต่อมาคือข้าวไก่ย่างตะไคร้ กับสะโพกไก่หมักกระเทียมและตระไคร้ หอมเครื่องเทศ นำมาย่างให้สุกพอเหลืองเกรียม ถูกยกมาเสิร์ฟร้อนๆ และโปะหน้าด้วยไข่ดาว กินคู่กับซอสราดไก่ที่มาคู่กัน ให้สัมผัสที่นุ่มของไก่หมัก แต่นัวด้วยรสชาติของน้ำซอส เป็นการจับคู่ที่เข้ากันได้ดี
“เมนูนี้พัฒนามาจากเมนูสลัดไก่ย่าง ซึ่งในตอนแรกยังไม่มีข้าว แต่ในช่วงที่ร้านยังอยู่ในขั้นทดลอง เพื่อนของพี่แอนให้ความคิดเห็นว่า ‘ตัวไก่มันอร่อยนะทำไมไม่ลองกินกับข้าวดูล่ะ’ พอได้ยินอย่างนั้นเราก็เลยลองหมักไก่แล้วเอามาย่าง พร้อมกับทำน้ำจิ้มเพื่อทานกับข้าวดู
เมื่อเราได้อิ่มอร่อยกับอาหารจานหลักแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่มีทางลืมคือของหวาน ซึ่งจานโปรดที่เราชอบมากที่สุดของที่นี่คือสโคนอบร้อนๆ เสิร์ฟคู่กับมาสคาโปเน่ครีม ที่มีความนุ่มละมุนๆ และได้กลิ่นของครีมอย่างชัดเจน เมื่อจับคู่กินกับแยมมิกซ์เบอร์รียิ่งเข้ากันได้ดี ถือเป็นการปิดท้ายอาหารมื้อนี้ได้อย่างสมบรูณ์แบบ
นิทานเรื่องนี้มีแต่ความอบอุ่น
นอกจากเครื่องดื่มและอาหารที่ผ่านการคัดสรรและผสมกับโลกของเรื่องเล่าแล้ว บรรยากาศอันอบอุ่นเป็นกันเองคืออีกสิ่งที่แอนและโบตั้งใจใส่เข้ามาในดินแดนนิทานแห่งนี้ โดยเฉพาะสวนต้นไม้ด้านข้างของคาเฟ่ที่เต็มไปด้วยพืชนานาพันธุ์
“เราตั้งใจออกแบบให้เป็นสวนแบบชนบทอังกฤษ เพราะทำให้จินตนาการถึงนิทานอื่นๆ เวลามีฉากเดินเข้าป่าน่าจะให้ความรู้สึกเหมือนตอนเดินเข้าสวนเราได้ อีกอย่างคือต้นไม้และดอกไม้ที่เราเลือกมา มีพันธุ์ที่เราใช้ประกอบอาหารด้วย อย่างอัญชันก็เก็บมาจากสวนตรงนี้แหละ” แอนเล่า
“เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่ร้านสวยที่สุดคงจะเป็นช่วงบ่ายๆ เย็นๆ พระอาทิตย์เริ่มเฉียง ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เสียงนกร้องจะมา เสียงลำธารไหลจะชัดขึ้น แต่ว่าถ้ามาตอนเที่ยงแดดประเทศไทยมันจะร้อนเกินแดดประเทศอังกฤษไปนิดหนึ่งนะ” เราหลุดขำหลังจากแอนพูดจบ
นอกจากนี้ยังมีสนามเด็กเล่น ครอบครัวเป็ดตามทางเดิน และโรงเก็บของด้านหลังที่ช่วยเติมเต็มให้เรานึกถึงฉากในนิทานสักเรื่องได้ไม่ยาก แอนยังเล่าด้วยว่าก่อนหน้าจะมีมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่นี่เป็นโลกจินตนาการของเด็กหลายคน เพราะครอบครัวพาเด็กๆ มาเที่ยวกัน ทางร้านจึงแจกขนมให้เด็กๆ กินกันยกใหญ่
“เราอยากให้ที่นี่มีบรรยากาศอบอุ่นเหมือนกับบ้าน อยากให้คนที่เข้ามารู้สึกเป็นกันเองเหมือนได้คุยกับเพื่อนๆ อยากให้เขาได้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากร้าน เพราะเดี๋ยวนี้ร้านอาหารก็อร่อยเหมือนกัน ทุกคนตั้งใจทำเหมือนกัน แต่เราเชื่อว่าถ้าหากทำให้ลูกค้ารักเราได้เขาก็จะกลับมา
ในบ้านหลังเล็กๆ สไตล์คันทรีล้อมรอบด้วยไม้นานาพันธุ์ นี่คือสิ่งที่ประกอบสร้างจากความรักและความฝันของแอน เสียงของลำธารไหลเชี่ยวกับเสียงของนกน้อยเจื้อยแจ้วเป็นระยะๆ ทำให้ภาพจำของนิทานที่เราเคยได้อ่านตอนเด็กๆ ยิ่งชัดเจนขึ้นมาในหัว แม้ตอนนี้ต้นไม้ยังไม่โตเต็มที่แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและทุ่มเทของแอนที่อยากจะสร้างนิทานคาเฟ่ให้เป็นที่ชุบชูใจผู้คนในวันที่เหนื่อยล้า