ติ๊ง! เมื่อไม่นานมานี้จู่ๆ กรุ๊ปไลน์หนึ่งก็เด้งขึ้นมาทักทาย ทำให้ฉันประหลาดใจ เพราะมันคือกรุ๊ปไลน์เฉพาะกิจชื่อ ‘Nagano’ สำหรับทริปเที่ยวญี่ปุ่น 5 วัน 3 จังหวัด นางาโนะ โทยามะ กิฟุ กับเพื่อนสาวอีกสองคนผู้ร่วมชะตากรรมมาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยในโตเกียวด้วยกัน
ห้องแชตปรากฏรูปเซลฟี่หน้าตาเปิ่นๆ ของพวกเราสามคนกำลังนอนเล่นอยู่บนพื้นหิมะของเทือกเขาทาเตยามะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแอลป์แห่งเจแปน พร้อมกับคำว่า missed จากทั้งคู่ เห็นดังนั้นฉันก็หวนคิดถึงช่วงเวลาดีๆ ที่ได้สัมผัสใบไม้เปลี่ยนสี เกล็ดหิมะ ลำน้ำเขียวใส และทิวเขา เคล้าไปกับมิตรภาพแสนอบอุ่นแม้ยามอากาศหนาวอีกครั้ง
#เพื่อนฉันเดินกันอึดถึกทนมาก
Location: Jigokudani Monkey Park, Togakushi
แน่ล่ะ หมุดหมายของทริปนี้ไม่ใช่การเที่ยวในเมือง หากแต่เป็นการทัวร์อุทยานและเส้นทางธรรมชาติตลอดทั้งห้าวันเต็ม (ให้เอียนกันไปข้างเลย) เพราะความอัดอั้นกับตึกระฟ้าของมหานครโตเกียว หลังจากพวกเราหอบกระเป๋าเดินทางใบเล็กขึ้นรถบัสจากสถานีชินจูกุมาถึงสถานีนางาโนะ
เราเริ่มทริปวันแรกโดยไปเที่ยวสถานที่นอกเมืองสุดฮิต อย่างอุทยานลิงป่าจิโกคุดานิ นั่งรถบัสไปง่ายๆ เพียงหนึ่งชั่วโมง แต่กว่าจะเดินจากป้ายรถเมล์หน้าทางเข้าไปถึงที่หมายนี่สิไกลไม่ใช่เล่น แม้จะเอนจอยกับวิวป่าเขาลำน้ำ อากาศปลอดโปร่งตลอดทาง คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแบบฉันก็ท้อใจกับระยะทางเดินขึ้นเนิน 4 กิโลเมตรอยู่ไม่น้อย แตกต่างกับเพื่อนที่ดูสบายๆ เดินก้าวถ่ายรูปฉับๆ ถึงอย่างนั้นในที่สุดเราก็ฝ่าดงมาถึงร่องเขา บ้านน้องลิงแช่ออนเซนจนได้
ฉันประทับใจภาพน่ารักๆ ของน้องลิงกังญี่ปุ่นที่กำลังหาเหาให้กัน และภาพแก้มแดงลอยเด่นชัดระหว่างแช่น้ำเอามากๆ จนรู้สึกเอ็นดูกับความอบอุ่นในอากาศหนาวๆ แบบนี้ขึ้นมาทันที อดคิดไม่ได้ว่าตอนฤดูหิมะ ความ fluffy ของเจ้าพวกนี้ต้องเพิ่มทวีคูณแน่ๆ ว่าแล้วพวกเราก็เดินเล่นถ่ายรูปน้องๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนเดินทางไกล ต่อรถบัสกลับเข้าเมืองตอนหัวค่ำ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเที่ยวที่เดียวยังเดินเป็นหมื่นกว่าก้าวจนเมื่อย ไม่อยากคิดเลยว่าวันอื่นๆ ที่เหลือจะขนาดไหนกัน
วันรุ่งขึ้นเป็นคิวของการผจญภัยบนหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โทกาขุชิ ที่ตั้งของศาลเจ้าโบราณอายุกว่าพันปี เรานั่งรถบัสมาถึงจุดหมายแรก คือศาลเจ้าโทกาขุชิชั้นบน 1 ใน 5 ศาลเจ้าบนหุบเขา ตั้งชื่อตามตำแหน่งความสูงบนหุบเขา สวยงามโดดเด่นทั้งตัวศาลเจ้า ซุ้มประตูมุงจากยักษ์ และทางเดินขึ้นเนินสู่ศาลเจ้าขนาบสองข้างด้วยแนวต้นสนไซเปรสสูงลิ่ว การได้เดินผ่านอุโมงค์ธรรมชาติโทนสีดินแบบนี้ให้ความรู้สึกคารวะและนอบน้อมต่อเทพเจ้าที่ปักหลักอยู่ด้านบนไม่มีผิด เช่นเดียวกับเส้นทางเดินสวนแรงโน้มถ่วงระยะ 2 กิโลเมตรที่มอบความถึกแรงกล้าให้เพื่อนร่วมทริปตัวบอบบางทั้งสองผู้ก้มหน้าเดินเอาๆ ฉันที่ต้องหยุดพักเป็นหย่อมๆ อยากจะไปฟิตร่างกายมาใหม่เลยจริงๆ
หลังจากไหว้พระขอพรและแรงกายเรียบร้อย ช่วงบ่ายพวกเราก็เดินลงเขา คว้ารถบัสไม่กี่ป้ายมายังทางเข้าของบึงกระจกคากามิอิเคะ พอกางแผนที่ดูเท่านั้นแหละ ปรากฏว่าต้องเดินเข้าไปอีก 40 นาที รู้ดังนั้นฉันถอนหายใจเฮือกทันที แต่พอหันไปมองเพื่อนร่วมทางอีกสองคนที่เริ่มล่วงหน้าไปอย่างใจจดใจจ่อแล้วก็ทำใจ เอาวะ ไปไหนไปกัน
พวกเราแวะถ่ายรูปไปพลางเดินไปเรื่อยๆ อย่างอดทนกายและใจ ผ่านเส้นทางใบไม้ร่วงทอสีส้มเหลืองตลอดทาง แม้จะมีรถยนต์ขับผ่านมาแล้วหายเข้าไปเรื่อยๆ ก็ไม่หวั่น เพราะเมื่อได้เห็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าถือว่าคุ้มค่าจริงๆ ฉันตราตรึงกับความนิ่งของสายน้ำ ความเงียบเชียบของกลุ่มต้นไม้ และความสง่าของภูเขาที่รายล้อมเอามากๆ เป็นภาพธรรมชาติที่ดูใจเย็นและมีชีวิตชีวาในเวลาเดียวกัน ชวนให้พวกเรานั่งพักเหนื่อยชมวิวทิวทัศน์อยู่นาน
ขากลับเราเดินทางไกลไปขึ้นรถบัสเหมือนเดิม แวะถ่ายรูปกับศาลเจ้าชั้นกลางประเดี๋ยวประด๋าวก่อนจะยอมแพ้ให้กับความเหนื่อยล้าของวันนี้ มุ่งหน้าเข้าเมือง อ๋อ แต่ไม่ได้กลับไปนอนโรงแรมนะ กลับไปเอาสัมภาระและนั่งรถบัสไปเมืองฮาคุบะ เตรียมตัวสำหรับทริปข้ามภูเขาวันเดย์ไปจบที่จังหวัดโทยามะอีกฟากหนึ่งต่างหาก ตอกย้ำความเร่งรัดและความอึดถึกทนของสองวันที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี
#เพื่อนฉันเป็นคนตลก
Location: Tateyama Kurobe Alpine Route
เส้นทาง Tateyama Kurobe Alpine Route เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ของทริปนี้เลยก็ได้ เพราะพวกเรากำลังเดินทางข้ามเทือกเขาจากจังหวัดหนึ่งไปอีกจังหวัดภายในหนึ่งวัน (ฟังดูเวอร์มาก) พร้อมซึมซับบรรยากาศของภูเขาหิมะด้วยตั๋วเหมา one-way trip ที่ซื้อจากสถานีนางาโนะตั้งแต่วันแรก เราตื่นแต่เช้ามืด บอกลาเกสต์เฮาส์เมืองฮาคุบะ คว้ารถไฟมาขึ้นรถบัสประจำทัวร์ที่สถานีชินาโนะ โอมาจิ เป็นอันเริ่มทริปกันเลย
ที่นี่มีจุดแวะชมความงามของสายน้ำ กองหิมะ และทิวไม้อยู่เรื่อยๆ จุดแรกคือเขื่อนคุโรเบะ เขื่อนที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นที่ให้วิวพาโนรามาสีครามสุดกว้าง มองเห็นสายน้ำระยิบระยับสะท้อนแดดยามเช้าพร้อมรูปเซลฟี่ร่วมกันสักหนึ่งยก แน่นอนขาลุยอย่างเราใช้เวลาอิ่มเอมไม่นานก็มุ่งสู่จุดถัดไป นั่งรถรางผ่านอุโมงค์ ไต่กระเช้าลอยฟ้ารายล้อมภูเขา ใบไม้เปลี่ยนสีรอบด้าน แวะพักเหนื่อยชมวิวเล็กๆ ที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากพื้นดินกลายเป็นพื้นหิมะ จนมาถึงที่ที่ฉันประทับใจที่สุดอย่างสถานีมูโรโดะ หรือที่ตั้งชื่อเล่นๆให้ว่า สถานีภูเขาหิมะ
ที่นี่มีโรงแรมรองรับเหล่านักท่องเที่ยวที่มาปีนเขา พักค้างคืน หรือแม้เพียงแวะผ่านมาแป๊บเดียวอย่างพวกเรา เราออกมาเดินเล่น ปาหิมะ ปั้นสโนว์แมนในความขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาที่มีเฉพาะช่วงฤดูนี้ ต่างจากตอนหน้าร้อนที่จะเห็นความเขียวขจีตลอดแนว สักพักไม่รู้ว่าด้วยความเมามายอากาศหนาวหรือเปล่า พวกเราหันมาผลัดกันถ่ายรูปในมุมต่างๆ คนหนึ่งแอ็กชั่น คนหนึ่งกดชัตเตอร์ ส่วนอีกคนช่วยโยนก้อนหิมะใส่เฟรมเลียนแบบหิมะตก ก่อนจะพักนอนแช่บนพื้นนุ่มๆ จนตัวเปียกชื้นไปตามๆ กัน อีกนิดหนึ่งก็เตรียมเดินไปแช่ออนเซนที่โรงอาบน้ำบนเนินเขาใกล้ๆ อีกลูกแล้วล่ะ
โมเมนต์ที่จำได้คือ จู่ๆ เพื่อนคนหนึ่งที่นิ่งๆ เรียบๆ ก็เล่าให้เราสองคนที่เหลือฟังว่า ตอนเด็กๆ เคยคิดว่ามือลอกเพราะมันขยายใหญ่ขึ้น ทำเอาพวกเราขำพรวดไปกับตรรกะมึนๆ และสีหน้านิ่งๆ ของเธอ หลังจากนั้นพวกเราจึงเอ็นดูในความเด๋อของเธอไปตลอดทริป ทั้งการเรียกชื่อสถานที่ผิดๆ และการเดินนำแต่พาหลง
เพื่อนอีกคนผู้เปิดเผยก็พยายามออกเสียง ‘โทกะคูฉิ’ ตั้งแต่เมื่อวาน กับคำว่า ‘ทาเตยามะ’ ตลอดทางที่เรานั่งรถบัสตามเสียงพากย์วิดีโอแนะนำทัวร์ จากที่พูดผิดพูดถูกสลับกันบ้าง จนพูดได้สำเนียงญี่ปุ่นเป๊ะๆ เพราะเสียงประกาศที่เปิดวนซ้ำๆ ทำเอาฉันหัวเราะกับความพยายามของเธอจริงๆ นั่นแหละ
พอตะวันเริ่มยอแสง เป็นอันต้องโบกมือลาที่นี่ นั่งรถบัส ลงรถรางมาถึงพื้นดินจังหวัดโทยามะ พร้อมกับรับสัมภาระที่เราส่งมาจากต้นทางเมื่อเช้า เรานั่งรถไฟเข้าเมืองและเปลี่ยนอีกทอดไปเมืองอูโอซุ–ที่พักคืนนี้ เช่นเคยเพื่อนผู้นิ่มนวลของฉันก็เดินไปถามทางนายสถานีอย่างมั่นอกมั่นใจพร้อมบอกว่าจะไปเมืองชื่อนี้ เธอบอกชื่อคลาดเคลื่อนอยู่นานกว่าจะรู้ว่าพูดผิด ทำเอาพวกเราขำหนักกับปฏิกิริยาเมื่อกี้จนถึงวันนี้เลยล่ะ
#เพื่อนฉันทำให้วันที่โชคร้ายไม่ร้ายจนเกินไป
Location: Uozu, Shirakawago
ทริปดีๆ ก็ต้องมีความอาภัพบ้าง ถึงโรงแรมเมืองอูโอซุจะสบายเอามากๆ ได้กินอาหารเช้าดีๆ หลังจากพึ่งข้าวปั้นและข้าวกล่องร้านสะดวกซื้อมาตลอด ฉันนึกไปเองว่าจะได้ออกมาเห็นภูเขาน้ำแข็งยักษ์เป็นฉากหลังของทะเลแบบในโฆษณาจังหวัด หรือมุมสวยๆ ริมทะเลแบบอนิเมะเรื่อง True Tears แต่พอพวกเราเดินไปถึงทะเลเท่านั้นแหละก็ไม่พบความโรแมนติกใดๆ เพราะชายฝั่งทะเลคอนกรีต แถมฟ้ายังต้อนรับเราด้วยฝนตกตลอดทั้งวัน
โอเค เป็นฉันเองที่น่าจะจองที่พักผิดย่าน ดื้อดึงอยู่สักพักพวกเราก็ยอมจำนนและเดินทางไปยังหมู่บ้านชิราคาวาโกะในจังหวัดกิฟุ จุดหมายต่อไป
ว่ากันว่าจะมาเยือนหมู่บ้านนี้ในฤดูไหนก็ล้วนสวยงามทั้งนั้น ทั้งฤดูร้อนที่เห็นทุ่งนาเขียวชอุ่ม ฤดูใบไม้ผลิที่ดอกซากุระบานสะพรั่ง ฤดูหนาวที่หิมะขาวนุ่มปกคลุมทุกซอกมุม หรือหน้าใบไม้ร่วงที่พื้นถนนเรืองสีสันสดใสแบบตอนนี้ แต่ก็นั่นแหละฝนยังคงตกหนักโดยไม่มีทีท่าจะหยุด เราเลยได้เดินเล่นในหมู่บ้านมรดกโลกท่ามกลางความเปียกแฉะและสีเหลืองส้มของใบไม้ ถึงอย่างนั้นเราก็ได้สัมผัสที่นี่ในมุมที่ไม่มีในรูปถ่าย เห็นสถาปัตยกรรมบ้านไม้หลังคาฟางจั่วในสายฝน พร้อมหย่อมควันไฟอุ่นๆ รวมถึงศาลเจ้าไม้ชื่อดังต้นแบบของอนิเมะสุดสยอง Higunashi no Naku ที่เพิ่มความขนลุกด้วยฟ้าครึ้มๆ เข้าไปอีก
เดินไปสักพักอย่างน้อยก็เจอมุมสวยงามอย่างทิวทัศน์ปลูกข้าวเขียวๆ ริมเนิน และสะพานข้ามลำธารใสให้เราได้เซลฟี่ย้อมใจวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจได้บ้าง พอตกค่ำเราค่อยนั่งรถบัสไปเมืองทาคายามะอันเป็นปลายทางสุดท้าย พวกเราต่างคิดว่าจะได้กินชาบูร้อนๆ คลายหนาวในเมืองอันโด่งดังเรื่องเนื้อวัว แต่พอไปเห็นราคาที่แพงเกินคาด บวกกับความเหนื่อยล้าที่ชัดขึ้น นำมาสู่ร้านสะดวกซื้อหน้าสถานีเพื่อนรัก หอบข้าวกล่องขนมขบเคี้ยวกลับไปกินที่โฮสเทลพร้อมเล่นเกมกระดานจนดึก อย่างน้อยพวกเราก็เจออะไรดีๆ หลังผ่านวันแห่งความผิดหวังมาล่ะนะ
#เพื่อนฉันเป็นคนขี้ลืม
Location: Kamikochi, Takayama
หมุดหมายสุดท้ายของพวกเราเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากอุทยานธรรมชาติคามิโคจิ ที่แม้จะตั้งอยู่ในเขตจังหวัดนางาโนะ พวกเราก็นั่งรถบัสจากเมืองทาคายามะ จังหวัดกิฟุ มาได้ไม่ยากภายในเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง จนมาถึงที่นี่ยามสาย เจอนักท่องเที่ยวจำนวนมาก บ้างมาพักอยู่ในโรงแรมตากอากาศแบบชิลล์ๆ บ้างก็มากางเต็นท์กลางป่าแบบลุยๆ สามารถใช้เวลาได้หลายวันเลยกับเส้นทางเดินป่าแสนไกล แต่พวกเรามีเวลาเพียงวันเดียวเลยเลือกเดินไปตามทางหนึ่งหลังจากดูแล้วว่ามีจุดดีๆ ให้ถ่ายรูป
คามิโคจิเป็นหุบเขาขอบจังหวัดที่สวยไม่แพ้ที่ก่อนๆ ด้วยมุมยอดฮิตของแม่น้ำอะสุสะใสแจ๋วไหลผ่านพื้นกรวดหินสีเทาพร้อมลมเย็นยะเยือกและทิวต้นไม้เขียวเข้มล้อมรอบ ตัดกับพื้นหลังไล่โทนสีของภูเขา ไม่รู้ว่าเพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับมนต์สะกดของที่นี่หรือเปล่า เพื่อนฉันทั้งคู่เผลอทำของหล่นระหว่างทางซะอย่างงั้น
สถานที่เกิดเหตุแรกคือสระน้ำเมียวจิน ที่เราใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าจะเดินฝ่าอากาศหนาว ข้ามสะพานแขวนจนมาถึง ที่นี่เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์สะท้อนทิวทัศน์ต้นไม้น้อยใหญ่โดยรอบ แถมมีระเบียงไม้ให้เราได้เดินเข้าไปสัมผัสสายน้ำใกล้ๆ ด้วย เว็บไซต์คามิโคจิบอกว่าทุกเดือนพฤศจิกายน ที่นี่จะจัดพิธีล่องเรือในสระน้ำเรียกว่า Omizu-gaeshi แปลว่า เทน้ำกลับคืน ต่อจากพิธี Omizu-tori หรือตักน้ำ ที่บริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำสามสายในเมืองอะสุมิโนะ จังหวัดนางาโกะ ไม่ไกลจากตรงนี้ อันเป็นพิธีที่ชาวเมืองแสดงความเคารพต่อธรรมชาติและสายน้ำที่หล่อเลี้ยงพวกเขา สมกับบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกลึกลับแต่สวยงามจริงๆ
ระหว่างเดินชมเพื่อนฝีปากกล้าดันทำผ้าพันคอตกแถวนั้น เป็นฉันเองที่เดินตามและเห็นผ้าพันคอสีดำคุ้นตาอยู่แวบๆ ฉันได้ยินเสียงเธอตะโกนว่าทำหล่น และตอบกลับไปว่ามันอยู่ตรงพุ่มไม้นี้ก็จริง แต่แทนที่ฉันจะหยิบไปให้เธอฉันกลับเดินต่อ ทิ้งผ้าพันคอให้นั่งจ๋อยอยู่ที่เดิมเพราะไม่รู้อะไรดลใจให้คิดว่าเธอจะเดินกลับมาเอาเอง แล้วฉันก็โดนเมาท์จนหูชา ขำท้องแข็งตามว่า เห็นแล้วแท้ๆ แต่ไม่เก็บมาให้อีก แต่อย่างที่เขาบอกกันว่าเวลาลืมของที่ญี่ปุ่นมักจะตามจนเจอเสมอ โชคดีที่มีชาวญี่ปุ่นใจดีนำมันมาวางที่ซุ้มประตูทางเข้า เฮ้อ ค่อยโล่งอกไปที
เป็นอันใกล้จบทริป แต่ใครว่าล่ะประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยเสมอ ตะวันใกล้ตกดิน ขากลับเราเดินเท้าอีกไกลฝ่าทุ่งชุ่มแฉะอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะได้ชมวิวเขียวขจีตลอดทาง แต่บรรยากาศเงียบสงัดทำให้ระยะทางดูไกลไม่มีที่สิ้นสุด จนฉันอดคิดไม่ได้ว่าเราจะไปถึงทางออกก่อนมืดไหม สุดท้ายด้วยความอดทนเป็นชั่วโมงเราก็กลับออกจากดงมาสู่สะพานแขวนคัปปะใกล้ทางออกเสียที
เราแวะยืนถ่ายรูปอยู่ตรงนี้กับฉากหลังภูเขาและสายน้ำท่ามกลางมวลนักท่องเที่ยวจำนวนมากอยู่ครู่หนึ่ง กะว่าเสร็จแล้วก็จะตรงกลับที่พักเลย แต่จู่ๆ เพื่อนสาวผู้นิ่มนวลก็รู้สึกตัวว่าทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง อีกแล้วเหรอเนี่ย ฉันคิดฉงนในใจ เหมือนคุ้นๆ จะรู้ว่าเธอทำตกตรงไหน ต้องเป็นจุดชมวิวจากทางใกล้ๆ นี้ที่เราแวะถ่ายรูปให้คุณลุงคุณป้ากลุ่มหนึ่งแน่ๆ โชคดีที่เมื่อเราเดินกลับไปถุงมือสีดำหน้าตาคุ้นเคยตกอยู่บริเวณนั้นพอดี ฉันเพิ่งนึกได้ว่าเป็นเพราะเห็นว่าเธอถอดถุงมือวางไว้เพื่อกดถ่ายรูป เลยโดนแซวอีกรอบที่เห็นแล้วไม่เตือนเพื่อน เอาล่ะ เมื่ออุปกรณ์ครบ พระอาทิตย์ตก ก็ถึงเวลานั่งรถกลับไปนอนค้างคืนสุดท้ายที่ทาคายามะ
ก่อนบอกลาทริปลุยๆ กลับโตเกียว เรามีเวลาช่วงเช้าเล็กน้อยมาเดินเล่นชมกลิ่นอายโลคอลของทาคายามะ ที่นี่มีทิวทัศน์เมืองเล็กๆ ในต่างจังหวัดดีๆ มีลำคลองใสที่ตัวเอกจากอนิเมะเรื่อง Hyouka ชอบไปนั่งจับกลุ่มกันอยู่บ่อยๆ มีบ้านเรือนและอาคารโบราณจำนวนมากเข้ากับแสงตะวันสีส้มได้เป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนจะไม่ค่อยอินกับทาคายามะเท่าไหร่
อาจเพราะตลอด 5 วันที่ผ่านมา พวกเขารวมถึงฉันคงเข้าป่า ขึ้นเขา ลงน้ำ จนเริ่มหลงลืมวิถีชีวิตคนเมือง ดังที่ธรรมชาติได้บ่มเพาะรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และมิตรภาพดีๆ ของพวกเราเอาไว้อย่างตราตรึง