เยี่ยมบ้านพักไอน์สไตน์ ชมสถาปัตยกรรมเมืองท่าเก่าแก่อายุร้อยกว่าปีที่โมจิโกะ

“ตึกทรงตะวันตกในญี่ปุ่นน่ะเหรอ”

ถ้าจะให้นึกก็คงนึกได้ไม่ยากเพราะเรายังสามารถพบเห็นอยู่หลายแห่ง เพราะในอดีตประเทศญี่ปุ่นก็ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกอยู่ไม่น้อยและยังส่งผลให้หลายที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญประจำเมืองต่างๆ ในปัจจุบัน อย่างเช่น สถานีรถไฟโตเกียว ที่ได้รับต้นแบบมาจากสถานีรถไฟ Amsterdam Centraal ในกรุงอัมสเตอร์ดัม หรือจะเป็นศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่า ใจกลางเมืองซัปโปโร

สำหรับเรานั้น ในเมื่อตอนนี้อาศัยอยู่ในภูมิภาคทางตอนใต้ของญี่ปุ่นอย่าง ‘คิวชู’ ที่ดูเป็นแนวธรรมชาติซะส่วนใหญ่ แต่ถ้าจะให้พูดถึงเหล่าตึกรามบ้านช่องที่ดูโดดเด่นกว่าที่ไหนในภาคใต้ ก็คงยกให้ที่โมจิโกะ เรโทร หรือ เรโตโระ ตามแบบสำเนียงญี่ปุ่น (Mojiko Retro) ท่าเรือเก่าแก่อายุร้อยกว่าปีในเมืองคิตะคิวชู ทางตอนเหนือของจังหวัดฟูกูโอกะ

ที่นี่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเกาะคิวชูกับเมืองชิโมโนเซกิ จังหวัดยามากูจิบนเกาะฮอนชู ซึ่งในยุคสมัยเมจิเคยเป็นถึงท่าเรือพาณิชย์ที่สำคัญ รองจากโกเบและโยโกฮาม่า​เพื่อส่งออกถ่านและทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากับชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา​ อังกฤษ ​และอีกหลายประเทศ

บริเวณรอบๆ นั้นยังได้เห็นอาคารที่ถูกออกแบบในสไตล์ตะวันตกกระจายออกไปในละแวกเดียวกัน อาคารเหล่านี้ล้วนถูกอนุรักษ์ไว้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นให้นักท่องเที่ยวได้มาเดินเล่นชมบ้านเมือง ทั้งยังได้สัมผัสกลิ่นอายของตะวันตกและตะวันออกที่รวมกันได้อย่างลงตัว จนบางทีก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในยุโรปมากกว่าด้วยซ้ำ

ความคลาสสิกเริ่มตั้งแต่สถานีรถไฟ

ออกมาจากโบกี้รถไฟก็ตะลึงไม่น้อยเมื่อได้เห็นสถานีรถไฟโมจิโกะที่ดูมีความเก่าแก่และออกแบบได้แปลกตากว่าสถานีไหนๆ

สถานีนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1914 และถือเป็นสถานีต้นทางของรถไฟหลักสายคาโกชิมะ เค้าโครงของตัวอาคารสถานีส่วนใหญ่ทำมาจากไม้ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนซองส์ และได้รับต้นแบบแผนผังอาคารมาจากสถานีรถไฟ Termini ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยมี Hermann Rumschottel วิศวกรชาวเยอรมันเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง

จุดดื่มน้ำและล้างมือที่ยังดูมีความย้อนยุค

ความคลาสสิกดั้งเดิมก็ยังคงอยู่เสมอมา ทั้งห้องขายตั๋วโดยสารหรือก๊อกน้ำสำหรับดื่มน้ำ ซึ่งทำจากทองสัมฤทธิ์ 

ไม่ว่าสถานีจะปรับปรุงสักกี่ครั้ง บรรยากาศด้านนอกและในสถานีก็ยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักจะถ่ายรูปไม่ขาดสายในฐานะที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจที่แรกตั้งแต่เหยียบออกจากตัวสถานี  

หลังจากสอดบัตรโดยสารออกจากสถานีรถไฟ แวะหาอะไรดื่มที่สตาร์บัคส์ในตัวสถานีสักพักให้หายเหนื่อยจากการที่นั่งรถไฟมาเป็นชั่วโมง เราก็เริ่มขยับร่างกายด้วยการแวะเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์รถไฟคิวชู (Kyushu Railway History Museum) ที่อยู่ข้างๆ จากตัวสถานีรถไฟเพียงไม่กี่เมตรเป็นที่แรกก่อนเริ่มออกเดินสำรวจรอบๆ เมือง

อาคารพิพิธภัณฑ์​บล็อกอิฐแดง ที่เคยเป็นสำนักงานใหญ่ของการรถไฟคิวชูก่อนจะถูกเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์หลังจากที่สำนักงานถูกย้ายออกไปตั้งอยู่ในเขตฮากาตะ ใจกลางเมืองของจังหวัดฟูกูโอกะ จุดสนใจของที่นี่อยู่ตรงการได้สัมผัสความสวยงามโบกี้รถไฟเก่าที่เคยถูกใช้งานจริงในคิวชูมาจนปลดประจำการไว้ที่นี่ถึง 9 ตู้ ซึ่งบางคันยังสามารถเข้าไปแวะเวียนข้างในได้ 

ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ยังมีจัดแสดงตู้รถไฟที่เคยถูกใช้งานจริงในปี 1909 อยู่อีกหนึ่งตู้และมีการวางหุ่นจำลองให้พอนึกสภาพประเทศญี่ปุ่นสมัยนั้นออก นอกจากนั้นชั้นที่ 2 ยังเก็บสิ่งของ คอลเลกชั่นที่เกี่ยวข้องกับการรถไฟสมัยก่อน รวมถึงภาพถ่ายเก่าๆ ไว้ให้ชม

บ้านเก่าและเหล่าตึกส้ม

สมัยก่อนท่าเรือโมจิเป็นท่าที่เจริญรุ่งเรืองไปด้วยการค้าขายที่พลุกพล่านและบ้านเมืองนั้นดูมีความทันสมัยกว่าหลายพื้นที่ในประเทศญี่ปุ่นจากการคบค้าสมาคมและรับอิทธิพลหลายๆ ด้านจากเหล่าพ่อค้านานาชาติ แม้เวลาจะผ่านไปจวบจนปัจจุบัน บางอาคารก็ยังถูกใช้งานอยู่เหมือนเมื่อก่อน บางอาคารถูกปรับเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร แกลเลอรีหอศิลป์ตามกาลเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ดังเดิมก็คงเป็นกลิ่นอายของที่แห่งนี้ให้เราได้ย้อนรำลึกถึงอดีตของมัน

Old Moji Mitsui Club คือบ้านพักที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยพักอาศัย

เพียงแค่เริ่มเดินสำรวจเมืองเพียงไม่กี่ก้าวหลังจากออกจากสถานีรถไฟก็จะเจอกับอาคารไม้สีเทาหลังใหญ่ อาจดูเป็นแค่บ้านพักธรรมดาแต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วมันคืออดีตอาคารโมจิมิตซุยคลับ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในช่วงศตวรรษที่ 20 ได้เดินทางมาที่ประเทศญี่ปุ่นพร้อมกับภรรยาใน ค.ศ. 1922 เพื่อมาบรรยายทั่วประเทศและที่จังหวัดฟูกูโอกะเองเป็นที่สุดท้ายที่เขาได้รับเชิญมาบรรยาย 

ถึงปัจจุบันอาคารชั้นล่างนั้นถูกปรับเปลี่ยนเป็นภัตตาคาร แต่ข้าวของเครื่องใช้ที่ทั้งคู่เคยใช้เมื่อตอนเข้าพักด้านบนก็ยังถูกเก็บรักษาอยู่ในสภาพเดิมและเปิดให้ผู้คนได้ชม

อดีตอาคารเรือพาณิชย์โอซากะ หรือ Old Mitsui O.S.K. Lines, Ltd. building

เดินทะลุต่อไปนิดเดียวก็มีอีกหนึ่งอาคารเก่าแก่ที่เดิมเป็นสำนักงานของบริษัทขนส่งทางทะเลอย่าง Mitsui O.S.K. Lines ประจำสาขาเมืองโมจิโกะ

โครงสร้างอาคารเป็นไม้ 2 ชั้นฉาบด้วยกระเบื้องสีส้มเจิดจ้าพร้อมหอคอยรูปทรงแปดเหลี่ยมอันโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ Vienna Secession ที่ได้รับความนิยมในประเทศเยอรมนีและออสเตรียเป็นอย่างมากในช่วงปลายปี 1800 ถึงช่วงต้นปี 1900 

อาคารนี้ยังเคยใช้เป็นจุดขนส่งสินค้าเพื่อส่งออกไปประเทศต่างๆ ตั้งแต่ ค.ศ. 1917-1991 จนถูกเรียกให้เป็นสัญลักษณ์การส่งออกของท่าเรือโมจิเลยทีเดียว 

ปัจจุบันกลายร่างเป็นสถานที่จัดอีเวนต์และนิทรรศการเป็นที่เรียบร้อย โดยในตัวอาคารมีการจัดแสดงผลงานศิลปะของวาตาเซะ เซโซ ศิลปินนักวาดการ์ตูนมังงะที่มีชื่อเสียงชาวญี่ปุ่นผู้มีบ้านเกิดอยู่ที่เมืองคิตะคิวชู และผลงานของศิลปินท้องถิ่นอีกมากมาย

จากอาคารศุลกากรสู่แหล่งพักผ่อนหย่อนใจของผู้คน

อีกอาคารอิฐสีแดงส้มหลังใหญ่โตที่มีรูปแบบการก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรม​แบบบริติชจอร์เจียน และได้รับให้เป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองอีกที่หนึ่งจากผู้มาเยือนหลายๆคน คืออดีตอาคารศุลกากรโมจิ อาคารที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสำนักงานกรมศุลกากรในช่วง ค.ศ. 1912-1927  

ทว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  ท่าเรือโมจิก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการโจมตีทางอากาศทำให้อาคารนี้พลอยได้รับความเสียหายไปด้วย แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งใน ค.ศ. 1995

หลังจากที่บูรณะปรับเปลี่ยนแล้วเสร็จ ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ได้ใช้เป็นสำนักงานอีกต่อไป แต่ก็ยังเป็นที่จัดแกลเลอรีภาพวาดและห้องรับแขกให้ผู้คนได้นั่งพักผ่อนหรือไว้สำหรับนัดพบปะกัน  

ระหว่างนั่งชมวิวตรงริมอาคารศุลกากรเก่าอย่างเพลิดเพลิน อยู่ๆ สะพานข้างๆ เราก็ถูกยกขึ้นอย่างงงๆ พร้อมกับการเข้า-ออกของเหล่าเรือชมวิวทั้งหลาย

สะพานที่ว่านั้นเรียกกันว่า สะพานบลูวิง ซึ่งอยู่ติดกับอดีตสำนักงานศุลกากรเก่า ด้วยความยาวของสะพานโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 108 เมตร เลยกลายเป็นสะพานชักสำหรับคนเดินที่ยาวที่สุด และเป็นสะพานชักแห่งเดียวในญี่ปุ่น ทั้งยังมีชื่อเสียงว่าเป็น ‘ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของคู่รักหนุ่มสาว’ เพราะว่ากันว่าคู่รักคู่ไหนที่ข้ามสะพานไปเป็นคู่แรกหลังสะพานปิด คู่รักคู่นั้นจะผูกพันกันไปชั่วชีวิต

เราจะได้เห็นสะพานถูกเปิดชักมุม 60 องศา ประมาณ 6 ครั้งต่อวันเพื่อเปิดทางให้เรือได้เข้า-ออกอย่างสะดวก เมื่อสะพานเปิดเท่านั้นแหละ เหล่าบรรดานักท่องเที่ยวจะรีบแห่มาจับจองพื้นที่ พร้อมยกมือถือ กล้องถ่ายรูปต่างๆ นานามาบันทึกเป็นที่ระลึกกัน

ห้องสมุดประจำเมืองที่เต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายภาษา

เมื่อคนเริ่มทยอยมากันเยอะจนเริ่มวุ่นวาย เราเลยระเห็จตัวเองไปเดินหาที่นั่งพักสงบๆ ซึ่งเห็นป้ายบอกทางเขียนว่ามีห้องสมุดตั้งอยู่เพียงแค่ตรงข้ามกับอดีตอาคารศุลกากรเก่าเท่านั้น 

ถึงจะเป็นห้องสมุดเล็กๆ แต่ก็มีหนังสือน่าสนใจมากมายให้นั่งอ่าน ชื่อเต็มๆ ของมันคือ International friendship memorial library of Mojiko Retro หรือ ห้องสมุดมิตรภาพระหว่างประเทศ ที่ตัวอาคารได้ถอดแบบมาจากสถานีรถไฟ Jinhiang Inn Dalian ที่ประเทศจีนโดยการออกแบบของสถาปนิกชาวรัสเซีย

ห้องสมุดนี้สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปีการทำสัญญาเมืองคู่มิตรระหว่างเมืองโมจิโกะ และเมืองต้าเหลียน สาธารณรัฐประชาชนจีน ตัวห้องสมุดนั้นมีบรรยากาศอันผ่อนคลายและดูอบอุ่น เต็มไปด้วยหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์หลากหลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ เกาหลี ญี่ปุ่น จีน และอีกหลายภาษา มั่นใจได้ว่าถ้าใครเป็นหนอนหนังสือคงขดตัวอยู่ที่นี่เป็นชั่วโมงแน่นอน

ศูนย์การค้าไคเคียวพลาซ่า ย่านช้อปปิ้งประจำท่าเรือโมจิ

ยากิคาเระ

ใช่ว่าทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้จะมีแต่ตึกเก่าไปหมดเสียทีเดียว อย่างน้อยก็ยังมีไคเคียวพลาซ่า ย่านช้อปปิ้งเล็กๆ สมัยใหม่ที่มีร้านของฝากที่ระลึกท้องถิ่น เสื้อผ้า ให้เหล่าขาช้อปได้มาละลายทรัพย์เงินเยนกันบ้าง และยังมีพื้นที่นั่งบริเวณริมท่าจอดเรืออันแสนสงบให้นำอาหารมานั่งรับประทานได้ บางวันก็อาจจะมีการแสดงเปิดหมวกให้ได้รับชมระหว่างรับประทานไปด้วย

และถ้ากองทัพนั้นต้องเดินด้วยท้องเป็นสิ่งสำคัญ เราเชื่อเสมอว่าทุกๆ ที่ที่เราไปต้องมีของกินอร่อยๆ ให้เราได้ลิ้มรสอย่างแน่นอน ซึ่งสำหรับใครคนไหนที่ท้องร้องหิวขณะเดินเล่น ที่โมจิโกะนั้นมีอาหารท้องถิ่นขึ้นชื่ออย่างยากิคาเระ (Yaki Curry) ข้าวราดแกงกะหรี่ร้อนๆ พร้อมด้วยไข่แดงและชีสเยิ้มๆ เป็นท็อปปิ้งหลักให้ได้มาลองลิ้มรสความอร่อยระหว่างพักเดินเล่น ซึ่งหาได้ง่ายมากๆ ตามข้างทาง

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก คงถึงเวลาที่ต้องขึ้นรถไฟกลับแล้ว แต่รู้สึกเหมือนไม่ว่าจะมากี่ครั้ง ก็ยิ่งหลงรักเมืองนี้มากขึ้นทุกที เพียงแค่เดินจากตัวสถานีรถไฟไปเพียงนิดเดียว ไม่เพียงแค่ได้เดินเล่นเพลินๆ แล้ว ยังได้เห็นทั้งทะเลและตัวเมืองของฝั่งตรงข้ามที่ทอดยาวข้ามฝั่งไป นอกจากวิวและบรรยากาศที่ดีมากๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ประทับใจมากๆ คือโมเมนต์ของผู้คน ณ ที่แห่งนี้ เราจะเห็นทั้งภาพของคู่รัก ครอบครัว หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เราหลงรักที่นี่คงไม่ใช่แค่เพราะตัวสถานที่แต่คงเป็นผู้คนด้วย

ภาพจำเหล่านั้นยังอยู่ในสมองเสมอเมื่อคิดถึงเมืองนี้

และจะรอคอยจนกว่าเราจะพบกันใหม่

Goodbye for now

Mojiko, Japan

AUTHOR