“ไว้ถูกหวยเมื่อไหร่ ไปเที่ยวต่างประเทศกัน” บันทึกการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต

1

ผมเริ่มต้นเขียนบันทึกการเดินทางนี้ในวันปีใหม่ไทย เป็นวันที่ได้กลับมาอยู่บ้านและเป็นวันหยุดพักผ่อนชั่วคราวประจำปี สงกรานต์ปีนี้ต่างจากปีก่อนๆ โดยสิ้นเชิง เพราะปีนี้น่าจะหยุดยาวกว่าปีที่แล้วหลายวัน

ปกติผมจะตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อกลับมาบ้าน ได้เจอใครต่อใครที่พบหน้ากันเพียงปีละครั้งสองครั้ง สำหรับปีนี้ความตื่นเต้นที่ว่าหมดไปสักพักแล้วเพราะเราเจอกันมาเกือบเดือน ด้วยฤทธิ์ของโรคระบาดชื่อ โควิด-19 ที่เล่นงานจนทั้งโลกหยุดนิ่ง 

จึงเหมาะมากกว่าหากจะเรียกเรื่องราวที่กำลังอ่านอยู่นี้ว่า ‘บันทึกการหยุดเดินทาง’

ทุกครั้งที่ได้กลับบ้านผมจะอยู่กับความปลอดภัยและความสบายใจ ทั้งสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านบรรยากาศแบบนาเกลือ มีลมทะเลพัดผ่าน มีความปลอดโปร่งให้ได้หายใจและทำกิจกรรมที่ในเมืองไม่สามารถเอื้อได้ทั่วถึง ที่สำคัญคือผมจะได้กินอาหารรสมือของยายวัยเกือบ 90 ปีที่คอยดูแลเรื่องปากท้องของคนในบ้าน 

ที่น่าเสียดายคือในสถานการณ์ที่ยังมีโรคระบาดทำให้พวกเราเหล่ามิตรสหายในหมู่บ้านพบกันได้ยากกว่าเดิม ยอมรับผิดไปเลยก็ได้ว่าพวกเราอดใจไม่ไหวหากต้องกักตัวอยู่ในบ้านแล้วไม่ไปพบหน้าเพื่อนบางคนที่ไม่ค่อยได้เจอกัน หมู่บ้านที่เราอยู่มีอาณาเขตเล็กกว่าสวนลุมฯ เกือบเท่าตัว บวกกับความเคยชินในสภาพปกติทำให้ยังไงซะเราก็ต้องออกมานั่งคุยนั่งเล่นแบบเว้นระยะห่าง พกแก้วน้ำส่วนตัวและล้างมือบ่อยๆ ทุกครั้งที่พบกันผมจะได้สาระบางอย่างมาทบทวนชีวิต บางครั้งก็ได้ความไร้สาระมาสร้างความผ่อนคลายในชีวิต 

วันนี้ก็เช่นกัน วันที่พวกเรามีเรื่อง… 

2

“ในชีวิตหนึ่ง สักครั้งเนอะ ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นขณะยุ่งอยู่กับการมวนยาเส้นด้วยใบจาก

อย่างที่ผมบอก หมู่บ้านเรามีขนาดเล็ก อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ราว 50-60 กิโลเมตร แต่เชื่อไหมว่าคนบางคนในหมู่บ้านแทบไม่เคยได้ออกจากรั้วของชุมชนตัวเองไปเที่ยวหรือใช้ชีวิตในดินแดนอื่นเลย เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ทับถมกันมาตั้งแต่ครั้งประวัติศาสตร์ 

อย่างเพื่อนผมคนหนึ่งที่เมื่อก่อนเราสนิทกันมาก เรียนเก่ง หัวไว และฉลาดกว่าใครหลายคนในรุ่น ทุกวันนี้กลายเป็นเพื่อนห่างๆ ที่เห็นมันอยู่ในหมู่บ้าน ทุกฤดูร้อนออกทำงานด้วยการเข็นเกลือและใช้ยาบ้าเพิ่มพลัง หมดหน้านาเกลือก็ใช้กัญชาบำเรอชีวิต มันเป็นลูกคนเดียว อาศัยอยู่ในบ้านกับพ่อแม่ที่ทะเลาะกันแบบลงไม้ลงมือ 

เพื่อนในกลุ่มอีกหลายคนเคยเล่าว่า ชีวิตก็อยากทำอย่างอื่นบ้าง มันบอกว่ามีฝันที่อยากจะออกไปทำ แต่เสี้ยนที่ตำเท้าอยู่อย่างหนี้ก้อนโตที่พ่อแม่เคยกู้ส่งมันเรียนเมื่อก่อนผูกมัดมันไว้กับโรงงานอุตสาหกรรม มีเพื่อนที่ตื่นเช้าไปโรงงาน เย็นกลับมาบ้านกินเบียร์สักขวด บางคืนเลยเถิดเป็นกลม แล้วเข้ามุ้งนอน ต้องดูแลลูกเล็กทั้งสองคน ออกจากบ้านทีไรเมียจะตามด่าเสมอ และมีเพื่อนที่ย้ายถิ่นออกไปใช้ชีวิตที่อื่น ทุกวันนี้ไม่ค่อยเห็นกลับบ้านเพราะแต่งงานมีครอบครัว วิถีชีวิตเลยทำให้มันกลายเป็นหนุ่มออฟฟิศสุดยุ่งที่ต้องขยันทำงานรับเงินเดือนเลี้ยงคนในบ้าน 

เรื่องเที่ยวต่างประเทศไกลเกินกว่าหวังไปมาก สำรวจจากการส่งต่อคำถามไปหลายๆ บ้านก็พบว่าน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศ คนในครอบครัวผมก็มีแค่พ่อคนเดียวที่ได้ไปต่างประเทศ ไม่ได้ไปเที่ยวหรอก ไปทำงาน

“ไม่มีวันหรอก ลำพังแค่ในประเทศผมยังเที่ยวไม่ครบเลย” เพื่อนอีกคนในวงสนทนาตอบคำถาม พร้อมยื่นมือไปรับมวนยาจากเพื่อนอีกคน

“แต่ผมเคยไปต่างประเทศมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่แน่อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตด้วยมั้ง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ มองเห็นควันสีเทาลอยจากปากเพื่อนก่อนจะปลิวไปตามลม ผมยื่นมือรับมวนยาเส้นที่เพื่อนพันแจก 

3

เกือบปีแล้วที่ผมมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกผิดหวัง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกเสียดาย และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ควรจะจดจำประสบการณ์ชีวิตต่างแดนได้ดีกว่านี้มาก

ผมโชคดีที่แม้จะไม่ได้เกิดในครอบครัวฐานะดี มีสมบัติก้อนโตส่งต่อให้ลูกหลาน แต่พ่อแม่ไม่เคยสร้างหนี้ไว้ให้ต้องผ่อนส่ง ผมได้ออกจากหมู่บ้านตั้งแต่ช่วงประถมศึกษา เพราะพ่อเปิดร้านตัดผมเลยต้องเช่าห้องและใช้เป็นบ้านอีกหลัง ซึ่งมีระยะทางห่างจากหมู่บ้านเกือบๆ 5 กิโลเมตร ผมได้ไปเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด ต่อยอดไปเรียนมหา’ลัยในเมืองหลวง แล้วก็ทำงานในเมืองเช่นเดียวกัน 

ตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านผมได้เห็นสังคมอื่นที่ต่างไปจากชุมชนที่เคยอยู่ มีโอกาสไปเห็นสิ่งต่างๆ จากที่อื่นๆ ไปใช้ชีวิตที่หลากหลายกว่าในชุมชน พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และทัศนคติในหลากหลายมุมมอง สภาพแวดล้อมต่างๆ เหมือนจะหล่อหลอมรวมเป็นสีเดียวกับชีวิตประจำวันของผมโดยอัตโนมัติ ทำให้ทุกครั้งเมื่อได้กลับบ้านผมจะเห็นชุมชนที่เปลี่ยนแปลงในความคิดเสมอ ชุมชนที่กลัวว่าวันหนึ่งจะไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป 

 

4

โอกาสในการไปต่างประเทศครั้งแรกเกิดขึ้นเพราะผมทำงานในกรุงเทพฯ ณ บริษัทที่ชาวต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้น เป็นบริษัทผู้ผลิตงานสื่อสิ่งพิมพ์และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ที่หลายคนอาจจะเป็นผู้ติดตามอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน เพราะเว็บไซต์รวมถึงแฟนเพจที่ผมทำงานนั้นพูดเรื่องไลฟ์สไตล์คนเมือง 

ครั้งแรกในดินแดนต่างประเทศของผมคือญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นประเทศหนึ่งที่ผมและหลายคนน่าจะคุ้นเคยกับวัฒนธรรมที่รับมาตั้งแต่เด็กตามช่อง 9 ไอทีวี ของเล่น นิตยสาร หรือแผ่นหนังผู้ใหญ่ที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันกับเพื่อน 

แทนที่จะเป็นความตื่นเต้นของชีวิต ผมกลับรู้สึกปอดแหกมากๆ สำหรับการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนี้ ผมถูกมัดมือชกจากพี่ บ.ก. เพราะเขารู้ว่าทักษะภาษาอังกฤษของผมนั้นโหลยโท่ย ทุกครั้งเมื่อมีจดหมายเชิญสื่อให้ไปทำข่าวที่ต่างประเทศผมจึงถูกผลักออกจากตัวเลือกในการส่งคนไปเสมอ แต่ครั้งนี้พี่ บ.ก.บอกผมว่า ถ้ามึงไม่กล้าชาตินี้ก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว แกมักจะส่งความหวังดีหักดิบแบบนี้ให้ผมตลอดมา 

ก่อนเดินทางผมจัดการพาสปอร์ตเล่มแรกในชีวิต แลกเงินเยนของญี่ปุ่นด้วยจำนวนเงินเก็บที่มีทั้งหมด เพราะวางแผนเงินสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศไม่เป็น และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นกังวลอย่างมากคือเรื่องภาษาอังกฤษและการสื่อสาร นั่นทำให้ผมต้องเรียนรู้ศัพท์เกี่ยวกับสนามบินทุกคืนเพื่อจะได้จดจำไปใช้ตอนเดินทาง มีนึกออกบ้าง จำผิดจำถูกบ้าง ตามประสามนุษย์ผู้มีทักษะภาษาต่างประเทศระดับพอใช้

 

5

การเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นเอกซ์คลูซีฟทริปโดยห้างสรรพสินค้าชื่อดังเป็นคนจัดการทั้งหมด ไม่ว่าจะค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าเที่ยว รวมค่าใช้จ่ายแล้วการท่องเที่ยวรอบนี้รอบเดียวน่าจะแพงกว่าการเที่ยวทั้งชีวิตของผมเสียอีก เที่ยวนี้ผมไปในฐานะผู้ถือชื่อสื่อไว้ในมือ ความกังวล ความตื่นตระหนก ความวิตกต่างๆ นานา จึงเข้าครอบงำ 

ผมสะดุ้งตื่นเมื่อหูได้ยินเสียงแอร์โฮสเทสประกาศว่าอีกไม่นานเครื่องบินจะเดินทางถึงญี่ปุ่น นั่นเท่ากับว่า 8 ชั่วโมงสำหรับการเดินทางบนเครื่องบินที่ยาวนานที่สุดในชีวิตผมกำลังจะจบลง 

ข้างนอกหน้าต่างผมมองเห็นอาณาจักรเมฆสีขาวโพลนค่อยๆ กระจายตัวออก มองลงไปเจอผืนมหาสมุทรที่โอบล้อมเมืองไว้ เครื่องบินตีวงกว้างทำให้ได้เห็นวิวของญี่ปุ่นแบบ 180 องศา จะบ้าตาย แค่ภาพแรกที่ได้เห็นในต่างประเทศก็สะกดวิญญาณได้ขนาดนี้แล้ว 

หลังจากรับกระเป๋าเสร็จ ทั้งคณะเดินไปขึ้นมินิบัสที่มารอรับ วินาทีที่ประตูเลื่อนเปิดออก ลมหนาวระลอกแรกก็พัดมาทักทาย ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เคลิ้มไปกับบรรยากาศที่ได้รู้สึก ลืมสิ่งที่กังวลอยู่ไปชั่วขณะ

 

6

“แต่พวกเรายังดีนะ มีทะเลเป็นสถานที่เที่ยวใกล้ๆ บ้าน” เพื่อนคนแรกพูดต่อ รอบนี้มันเอาใบจากห่อยาเส้นเข้าปากตัวเอง เขี่ยไฟสองแช็กจุดปลายมวน  

หมู่บ้านของผมมีทะเลเป็นอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย มีลำคลองเป็นเส้นเลือดเล็ก-ใหญ่คอยหล่อเลี้ยงชีวิต อาชีพของคนในหมู่บ้านคือการทำนาเกลือ วังกุ้ง วังปลา และมีผลพลอยได้เป็นทรัพยากรทางธรรมชาติที่หากินได้ทั้งจากในลำคลองและทะเล เพราะฉะนั้นน้ำจึงจำเป็นต่อชีวิตของคนในชุมชน 

เมื่อก่อนวัยรุ่นหลายคนจะคุ้นเคยกับการทำนาเกลือ บ้างทำเป็นงานประจำ บ้างเป็นงานเสริม บางครอบครัวที่ไม่มีเงินส่งลูกเรียนก็มีนาเกลือเป็นที่พึ่งของปากท้อง ทุกวันนี้บทบาทของน้ำทะเลเริ่มเจือจางความเค็มลงเรื่อยๆ เนื่องด้วยการมาเยือนของอุตสาหกรรม วัยรุ่นในหมู่บ้านต่างทยอยไปสมัครเข้าโรงงาน รับเงินเดิอนเป็นก้อนๆ แทนงานหนักตากแดดกลางนา 

“แต่เดี๋ยวนี้น้ำก็เริ่มเสีย ไม่มีปลาไม่มีกุ้งกระโดดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทะเลก็มีแต่ขยะ” ผมพูดขณะดูเพื่อนพ่นควัน 

 

7

มินิบัสวิ่งเอื่อยๆ บนถนนโล่งทำให้มองเห็นสองข้างทางได้อย่างชัดเจน ภาพข้างทางค่อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ เป็นเมือง เป็นบ้าน เรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ สะอาดสะอ้าน น่าอยู่ 

มินิบัสวิ่งข้ามสะพาน มองเห็นท่าน้ำที่มีเรือจอดยาวไปตลอดแนวตลิ่ง สีพื้นน้ำมรกตผสมไพลินมีแสงอาทิตย์สะท้อนประกายวิบวับ 

“ยินดีต้อนรับทุกคนสู่ประเทศญี่ปุ่น” ไกด์สัญชาติไทยที่มาใช้ชีวิตและทำงานในญี่ปุ่นพูดทักทายคนทั้งรถ เธอแนะนำคนขับรถ ตัวเอง สถานที่ รวมถึงกำหนดการเดินทางประจำวัน ต่อด้วยการเล่าประวัติศาสตร์ พร้อมเรื่องราว แถมเรื่องเล่า ของเมืองนั้นๆ ที่มินิบัสวิ่งผ่าน ผมฟังเสียงของเธอด้วยหูและสำรวจฉากนอกหน้าต่างที่เลื่อนไปเรื่อยๆ ด้วยดวงตาของผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพตรงหน้ามาก่อนในชีวิต 

มินิบัสพาคณะเดินทางแวะกินข้าวกลางวันที่ภัตตาคารท้องถิ่นชื่อว่า คาวาระโซบะ ในจังหวัดยามากูจิ มีอาหารขึ้นชื่ออย่าง ชิโมโนะเซกิ

ไกด์เล่าว่าภัตตาคารนี้มีต้นกำเนิดตั้งแต่ปี 1961 เป็นยุคที่ทหารเดินทางออกรบ เวลาทำอาหารพวกเขาจะนำหญ้า เนื้อ มาผัดและกินกันบนกระเบื้องร้อนๆ ปัจจุบันคาวาระโซบะจึงเสิร์ฟเมนูชิโมโนะเซกิ จำลองหน้าตาอาหารให้เหมือนได้กินแบบเดียวกันกับทหารในยุคสงคราม

เป็นวันที่อากาศแจ่มใส แดดของญี่ปุ่นจึงแรง ทำให้เห็นเมฆบนฟ้าเหมือนนุ่นขนาดใหญ่ลอยช้าๆ เส้นทางท่องเที่ยวครั้งนี้ถูกเรียกว่า Inland Sea ในดินแดนของเซโตอูจิ อาณาจักรทะเลสุดยิ่งใหญ่ในญี่ปุ่น ที่นี่มีชายฝั่งที่ยาวไกลถึง 1,500 กิโลเมตร และเป็นที่ตั้งของจังหวัดทั้ง 7 ประกอบไปด้วยยามากูจิ, ฮิโรชิมะ, เอฮิเมะ, คางาวะ, โอคายามะ, เฮียวโงะ แลโทคูชิมะ  

ตลอดเส้นทางผมจึงได้เห็นผืนน้ำเวิ้งว้างกว้างไกลสีคราม เห็นท้องฟ้าเต็มๆ ตาสลับกับภูเขาสีเขียวครึ้ม ตลอดชายฝั่งมีเรือเรียงราย ได้เจอธุรกิจประมงที่สะอาดตาและระบบดูแลน้ำที่มองไปไม่เห็นขยะ เป็นการจัดการที่มีประสิทธิภาพเพราะต้องเจอภัยพิบัติบ่อยครั้ง การวางแผนเพื่อรับมือความโชคร้ายในครั้งต่อไปจึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกเสมอมา 

ในเมืองยามากูจิ ผมได้เห็นสะพานสึโนะชิมะ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น ก่อนถูกทำลายสถิติด้วยสะพานอากาชิไคเกียว ที่ใครจะข้ามต้องโดนเก็บค่าผ่านทาง ด้วยเหตุนี้สะพานสึโนะชิมะจึงทวงบัลลังก์ความยาวด้วยการเป็นสะพานที่ยาวที่สุด (ที่ไม่เก็บค่าผ่านทาง) 

ยังมีศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ ที่โดดเด่นด้วยเสาโทริอิ 123 ต้น ผู้คนนิยมมาเดินลอดอุโมงค์เพื่อขอพรให้ประสบความสำเร็จ บรรยากาศรอบๆ ศาลคือพื้นทะเลกว้าง ลมเย็นๆ ที่พัดคลื่นกระทบกับก้อนหินใหญ่บนชายฝั่ง คู่รักที่มาขอพรนั่งชมวิว เป็นภาพที่เหมาะกับการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก คิดไว้แล้วว่าถ้าไม่ได้ติดกล้องฟิล์มสัญชาติญี่ปุ่นทั้งสองตัวมาเที่ยวด้วยคงจะรู้สึกเสียดายและไม่ให้อภัยตัวเองอย่างยิ่ง

ยามากูจิยังมีอีกหนึ่งสะพานชื่อดังอย่างสะพานไม้คินไตเคียว ผมและคณะเดินทางมาถึงช่วงบ่ายแก่ๆ พอดี บรรยากาศของที่นี่เป็นชุมชนที่เงียบสงบ มีสิ่งก่อสร้างเป็นสะพานไม้ที่สวยติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ สร้างขึ้นด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านญี่ปุ่น วิธีการก่อสร้างที่ไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว ถึงตอนนี้แม้สะพานไม้เก่าแก่ลงไปมากจนต้องอาศัยโครงเหล็กมาช่วยดามบางส่วน และไม่ว่าจะต้องซ่อมแซมกันอีกกี่ครั้งพวกชาวบ้านยังคงลงทุนลงแรงร่วมกันบูรณะสะพานให้คงอยู่คู่ชุมชนต่อไป ด้านล่างยังมีแม่น้ำนิชิกิไหลผ่านให้ชาวบ้านหาทรัพยากรเลี้ยงชีวิตได้อีกด้วย 

หลังกลืนควันก้อนโตผมพูดต่อ “เมื่อก่อนนี้นะน้ำสะอาด ตกปลาหมอเทศ หมอไทย อีกง มีหมด คลองก็กว้าง พวกเราเล่นน้ำได้ เวลาเรือเกลือวิ่งในคลองผ่านไปจะมีกุ้งกระโดด ช้อนไปทำแกงส้มกินกับข้าวได้หม้อหนึ่ง ตั้งแต่มีโรงงานมาตั้งใกล้ๆ เดี๋ยวนี้เหรอ…” 

 

8

ช่วงเย็นมินิบัสพาคณะเดินทางไปพักในโรงแรมแห่งหนึ่งที่ฮิโรชิมะ เมืองที่ดูเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย และบางเวลาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่และเงียบเหงา

ผมรู้จักเมืองนี้แค่ว่าในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นและโลก จากการถูกโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์ที่เล่นเอาทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง 

และเพราะมาญี่ปุ่นครั้งนี้ผมจึงรู้ว่าเมืองแห่งนี้มีโบราณสถานอายุ 1,400 ปีที่นักท่องเที่ยวมากมายนั่งเรือข้ามฟากไปชมความงาม นั่นคือศาลเจ้าลอยน้ำชื่ออิสึคุชิมะแห่งเมืองฮัตสึกาอิจิ แต่วันที่ผมไปเป็นช่วงน้ำลงพอดี ศาลเจ้าจึงไม่ได้ลอยอยู่กลางทะเล   

เมื่อรู้จักฮิโรชิมะเพิ่มจากสิ่งที่ตาเห็นก็พบว่าฮิโรชิมะคือเมืองแห่งน้ำ เป็นเมืองที่มีแม่น้ำสะอาดไหลผ่านถึง 6 สาย สารอาหารต่างๆ ที่พัดมารวมกันส่งผลให้วิถีชีวิตของคนในจังหวัดนี้คือการทำประมง 

ขึ้นชื่อว่าการทำประมง ภาพที่เห็นที่ไทยหลายๆ ที่จะมีบรรยากาศกลิ่นคาวคลุ้ง ขยะเต็มชายตลิ่ง แต่ในฮิโรชิมะสลับขั้วอย่างเห็นได้ชัด เพราะฟาร์มเลี้ยงหอยนางรมขนาดใหญ่ดูจริงจัง มีมาตรฐาน จัดองค์ประกอบได้แบบไม่รบกวนทัศนียภาพระหว่างธรรมชาติกับวิถีชีวิต 

ไม่ได้อวดอ้างแต่อย่างใด สำหรับทะเลใกล้ๆ บ้านผมและเพื่อนจะขับรถขึ้นไปกะเทาะหอยนางรมกินกันอยู่เสมอ กินกันสดๆ บนคันนา หิ้วใส่กระสอบลงมาแบ่งที่บ้าน และนำไปจัดปาร์ตี้ย่างหอยนางรมกันที่บ้านเพื่อน เอาพริกเขียว พริกแดง กระเทียม มาตำ ใส่น้ำตาล เหยาะน้ำปลา ไว้เป็นน้ำจิ้ม กินกันง่ายๆ แบบนั้น

แต่ที่ฮิโรชิมะมีวัฒนธรรมการกินที่เป็นระเบียบและมากเรื่องกว่ามาก หอยนางรมตัวใหญ่เท่าฝ่ามือมีให้กินตลอดปี เสิร์ฟพร้อมกับมีดเล็กๆ ไว้ใช้งัดเปลือก มีอาหารจานหลักอย่างข้าวหน้าปลาไหล คู่กับซุปมิโซะเข้มข้นอุณหภูมิอุ่นๆ และน้ำชาร้อนๆ ล้างคอ 

“เชื่อไหม ตอนที่ไปญี่ปุ่นผมเห็นพระอาทิตย์ตกที่นั่น ผมน้ำตาไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว อะไรวะเนี่ย เกิดมา 25 ปีเพิ่งเคยเห็นภาพแบบนี้ครั้งแรกในชีวิต” ผมสบตาเพื่อนทั้งสองที่กำลังให้ความสนใจ

 

9

จากฮิโรชิมะคณะของเราใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงบนมินิบัสเพื่อไปต่อยังจังหวัดเอฮิเมะ แม้จะแอบมีอาการเพลียแดดอยู่บ้าง แต่ระหว่างเส้นทางไปหาจุดหมายรถจะต้องวิ่งข้ามสะพานน้อย-ใหญ่ ทุกครั้งที่รถแล่นอยู่บนสะพาน วิวสองฟากฝั่งที่มีฉากเป็นภูเขาหลายลูกยืนตระหง่านอยู่บนทะเลผืนใหญ่ก็ทำให้ต้องฝืนตาเอาไว้และนั่งละเลียดไปกับความสวยงามเหล่านั้น 

เอฮิเมะที่ผมได้ฟังจากปากไกด์มานั้น เธอบอกว่าเป็นเมืองที่ว่ากันว่าท่อระบายน้ำมีแต่น้ำส้ม เพราะส้มคือของขึ้นชื่อของเมือง

เมืองที่มีทั้งรถรางท่องเที่ยวและรถไฟสำหรับเดินทาง เมืองที่มีโดโกออนเซน โรงอาบน้ำแร่จากธรรมชาติเก่าแก่กว่า 3,000 ปี เป็นเมืองที่มีตลาดขายสินค้าทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ที่ทุกอย่างแปรรูปมาจากส้ม ผลผลิตชั้นเยี่ยมของเมือง 

ในการแวะมาที่เมืองแห่งนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการช้อปปิ้ง เดินซื้อของฝาก ลองชิมขนม แวะจิบเครื่องดื่ม อันที่จริงผมเองเป็นคนเห็นแก่กิน แต่ในเวลาต่างบ้านห่างเมืองแบบนี้ผมล้วงเงินเหรียญในกระเป๋า เดินไปเลือกไอศครีมรสส้มยูซุใส่โคนที่คนขายบอกว่าไม่อร่อยยินดีคืนเงิน 

เดินเล่นตามคนอื่นๆ ไปพร้อมไอศครีมในมือ เลียมันทีละนิด ค่อยๆ ลิ้มรสความเปรี้ยวอ่อน หวานฉ่ำ ค่อยๆ กลืนและจดจำรสชาติของมันไว้ในปาก รู้ตัวอีกทีมินิบัสก็สตาร์ทเครื่อง คนอื่นๆ ได้ของฝากและของกินเล่นมาเต็มมือ 

มานั่งคิดถึงแล้วรู้สึกเสียดายกับความประหยัดเกินเหตุ ทำให้ไม่ได้ลองรสสิ่งต่างๆ ที่เห็นในวันนั้น

เดือนพฤษภาคมปีที่แล้วผมอายุ 25 ปี เข้าสู่ตัวเลขที่เรียกว่าเบญจเพส ผมเดินทางในอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนมิถุนายน การเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตจึงถือเป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังพอดี

มินิบัสกำลังพาคณะเดินทางไปที่โรงแรมโคโตฮิระในจังหวัดคางาวะ สถานที่พักของค่ำคืนที่ 2 นอกจากตื่นเต้นเมื่อได้รู้ว่าจะมีบ่อน้ำร้อนออนเซนรอให้ผมไปเปลือยกายนอนแช่แล้ว วิวจากนอกหน้าต่างที่มองเห็นคล้ายจะดึงความสนใจของผมไปจนหมดสิ้น

ภาพของหมู่บ้านริมชายฝั่ง ขยับไปอีกเลเยอร์พระอาทิตย์กำลังเปล่งแสงสุดท้ายของวัน สะท้อนผืนน้ำและส่องแสงอร่ามเต็มท้องฟ้า ทั้งสีส้ม ชมพู ม่วง ผสมกัน กระจายไล่ระดับเข้ม-อ่อน ผมหยุดนิ่งมองภาพนั้นผ่านไปพร้อมการเคลื่อนตัวของมินิบัส เผลออีกทีน้ำตาที่ล้นมาก็หยดชนริมฝีปาก พูดในใจคนเดียวอย่างคนบ้าว่า เกิดมา 25 ปีเพิ่งได้เห็นภาพแบบนี้ครั้งแรกในชีวิต 

ญี่ปุ่นส่งสัญญาณต้อนรับผมด้วยความงามของดินแดนให้เห็นอย่างเต็มตา สิ่งที่เป็นกังวล ที่เคยคิดมาก ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย 

มันผ่อนคลายสุดๆ เมื่อถึงที่พักทุกคนต่างแยกย้ายกันพักผ่อน ผมกับพี่ช่างภาพที่นอนร่วมห้องกันมาตั้งแต่คืนแรกนัดหมายกันแบบลูกผู้ชายว่าจะไปถอดเสื้อผ้าแช่ออนเซนกัน 

คืนนั้นใกล้เวลาที่บ่อน้ำพุร้อนจะปิดทำการ ผมกับพี่ช่างภาพจึงมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นผลพลอยได้ เรานอนแช่น้ำร้อน แหงนหน้ามองฟ้า พูดคุยทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น กิจกรรมก่อนนอนนี้ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ใช้งานด้วยการเดินมาทั้งวัน ช่วยให้ผมกับพี่ช่างภาพสานสัมพันธ์กันมากขึ้น เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเหมือนที่ผมเริ่มคุ้นชินกับญี่ปุ่น

“โอกาสที่พวกเราจะไปเที่ยวต่างประเทศมันมีน้อยมาก ถ้าตอนนี้ผมมีเงินสัก 50,000 นะ ผมก็ไม่ไปเที่ยวหรอก ดูดิ (มันชี้วนไปยังพื้นที่รอบๆ ที่ทุกคนนั่งอยู่) บ้านผมก็ยังไม่เสร็จ สร้างบ้านก่อนดีกว่า” เพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านที่มีแต่โครง ยังไม่ได้สร้างหลังคากับกำแพง พูดขึ้น 

10

เช้าวันที่ 3 ของการเที่ยวญี่ปุ่น ผมตื่นขึ้นมาในเขตของจังหวัดคางาวะ เมืองที่ผมเห็นในหนังสือท่องเที่ยวของนักเขียนไทยหลายเล่ม กิจกรรมแรกของวันน่าจะเป็นการเผาผลาญพลังงานไม่ใช่น้อย เพราะสถานที่ที่กำลังเดินทางไป เลี้ยวซ้ายห่างจากโรงแรมไม่ถึง 500 เมตร ทั้งคณะยืนอยู่หน้าบันไดขั้นแรกของ 1 ใน 88 ศาลเจ้าญี่ปุ่นที่นักแสวงบุญต้องมา ชื่อว่าศาลเจ้าโคโตฮิรากู  

ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่สถิตของเทพเจ้าแห่งทะเล ก่อนออกทะเลชาวเรือต้องเดินขึ้นเขาไปเกือบ 2,000 ขั้น เพื่อขอพรให้การเดินทางสู่ผืนทะเลเป็นไปโดยสวัสดิภาพ 

ระหว่างเดินขึ้นบันได ไกด์สาวเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ทั้งความเชื่อ ภูมิศาสตร์ เรื่องเฉพาะถิ่น เพื่อช่วยให้การเดินทางของทุกคนคลายความเหนื่อย เพียงไม่นานเสียงจากโทรโข่งของเธอก็เงียบลง 

ผมชอบเรื่องหนึ่งที่เธอเล่า เป็นเรื่องน่ารักๆ ของเจ้าหมาชื่อว่า คอมปิระอินุ 

สมัยก่อนยังไม่มีบันไดขึ้นไปสักการะเทพเจ้าได้อย่างสะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ คนในเมืองที่สุขภาพไม่แข็งแรง เดินไม่ไหว ก็มักจ้างพ่อค้า เพื่อนบ้าน ตลอดจนสุนัขที่เลี้ยงไว้ของตัวเองนี่แหละ ไปเป็นธุระให้ ใช้วิธีง่ายๆ ด้วยการห้อยถุงเล็กๆ ไว้ที่คอของเจ้าสุนัข ในถุงบรรจุป้ายชื่อ เงินทำบุญและเงินค่าอาหารระหว่างทาง  

ผมขึ้นไปถึงศาลเจ้าด้วยแรงขาของตัวเอง แต่ถึงตอนนี้ผมดันลืมไปแล้วว่า หน้าศาลเจ้าผมอธิษฐานเรื่องอะไรไป แต่หากขอพรได้อีกครั้ง ผมอยากกลับไปหาญี่ปุ่น

“เก็บเงินยังไงก็ไม่มีวันได้ไปหรอก มีเรื่องจำเป็นต้องใช้ก่อนอยู่ดี สมบัติเก่าก็ไม่มี สำหรับพวกเราจะไปต่างประเทศได้ผมว่าต้องถูกหวยว่ะ ทางเดียวเลย” เพื่อนอีกคนพูดบ้าง 

 

11 

ช่วงบ่ายเรือเฟอร์รีขนาดเขื่องพาเราข้ามไปยังเกาะนาโอชิมะ หรือที่รู้จักกันในชื่อเกาะศิลปะ 

เมื่อเรือเทียบฝั่ง ผมเห็นคนกลุ่มใหญ่ทยอยกันไปขึ้นรถประจำทาง บ้างปั่นจักรยาน บ้างก็ขึ้นรถยนต์โดยสาร มีคนอีกกลุ่มที่รีบวิ่งไปที่ฟักทองลายจุดสีแดง-ดำผลงานของ Yayoi Kusama ศิลปินชาวญี่ปุ่นผู้มีชื่อเสียงก้องโลก ใช่แล้ว กลุ่มนั้นคือคณะทัวร์ไทยที่ผมร่วมเดินทาง 

มาที่เมืองนี้ผมกำลังจะได้ไปดูศิลปะเลื่องชื่อในพิพิธภัณฑ์ศิลปะชิชูของศิลปินญี่ปุ่นนามว่า Tadao Ando ที่นั่นมีแต่ความน่าทึ่งไปซะทั้งหมด มากกว่าศิลปะคือแนวคิดในการสร้างอาคารทั้งหลังด้วยไอเดียที่อยากให้สถาปัตยกรรมกลมกลืนกับภูมิทัศน์มากที่สุดเพื่อแสดงความเคารพต่อธรรมชาติ

หลังจากได้ชมผลงานศิลปะที่มีความอัจฉริยะเรียบร้อย คืนที่ 3 คณะเดินทางไปพักที่คุราชิกิ ตื่นเช้าในวันที่ 4 เดินทางไปที่โอคายามะในย่านเมืองเก่าจากยุคเอโดะ ไปถึงในเวลาเช้าเป็นช่วงที่ร้านค้ายังไม่เปิด สถาปัตยกรรมในเมืองเก่านี้มีลักษณะแบบญี่ปุ่นโบราณที่มีส่วนผสมจากซีกโลกตะวันตกออกมาเป็นลักษณะเฉพาะ รัฐบาลญี่ปุ่นขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีภาพของวัฒนธรรมสมัยก่อนให้ได้เยี่ยมชม 

ผมลองเดินสำรวจท่อระบายน้ำเสีย ไม่พบขยะลอยเกลื่อนใดๆ สีของน้ำเป็นสีเดียวกันและบางใส พวกเขามีระบบจัดการน้ำที่ดีมากๆ คิดถึงคลองในหมู่บ้านของผม ทุกวันนี้หากน้ำยังดี ไม่มีขยะเกลื่อน อากาศร้อนๆ แบบนี้ พวกเราคงได้กระโดดน้ำกันสนุกสนาน

งานของผมในฐานะสื่อมวลชนที่เดินทางมาเก็บข้อมูลไปเขียนข่าวนั้นจบลงตอนบ่ายวันที่ 4 ในญี่ปุ่น อีกวันที่เหลือคือเวลาของการช้อปปิ้ง!

 

12

“ในชีวิตหนึ่ง สักครั้งเนอะ ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ” เพื่อนคนเดิมพูดประโยคเดิม 

จากโอคายามะ คณะเดินทางแวะกินเนื้อย่างที่โกเบ แล้วมินิบัสก็พาเราเดินทางไกลมายังโอซาก้า ทุกคนบนรถดูกระตือรือร้น มีชีวิตชีวาที่รู้ว่าเวลาแห่งความสุขจะมาถึงแล้ว เมื่อถึงที่พักจัดแจงรับกุญแจห้องแล้วเสร็จ ผมหันไปอีกทีก็ไม่เจอใครแล้ว

ผมอาศัยเดินตามหลังพี่ตากล้องที่เคยมาญี่ปุ่นแล้ว ที่จริงแล้วบนมินิบัสไกด์สาวได้แจกแผนที่ที่มีพิกัดของโรงแรม ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ร้านรองเท้า ฯลฯ ไว้ให้ทุกคน แต่ไม่รู้ล่ะ พี่เขาจะไปไหนผมไปด้วย

เมื่อมาเดินท่ามกลางผู้คนมากมายในโอซาก้าช่วงโพล้เพล้ ความเป็นเมืองทำให้รู้สึกถึงความแตกต่างกับชนบทที่ไปมาเมื่อ 3 วันที่แล้วอย่างมาก แสง สี ไฟฟ้า รถยนต์ ผู้คน ทุกอย่างทำใจเต้นเพราะมันเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา 

แทนที่จะตามพี่ตากล้อง กลับเป็นผมที่เหมือนจะรบเร้าให้เขาทำตาม ในค่ำคืนแห่งการช้อปปิ้ง พี่ตากล้องถือเป็นผู้มีพระคุณที่สุดในดินแดนญี่ปุ่นของผม เขาพาไปร้านเสื้อผ้าที่ผมซื้อเสื้อแค่ตัวเดียว ซึ่งเอาจริงๆ แล้วที่ไทยก็น่าจะมีขายแหละ พาไปทาวเวอร์เรกคอร์ด เดินดูสินค้ากันเกือบ 2 ชั่วโมง โดยที่ผมหยิบแผ่นเสียงซาวนด์แทร็กของแอนิเมชั่นเรื่อง Castle in the Sky มาแค่แผ่นเดียว 

ความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งในการมาญี่ปุ่นของผมคือ (หยุดคิดถึงเรื่องนั้นเลยนะ) การได้กินราเมนข้างทาง ผมอยากกินแบบนั้นเพราะการ์ตูนหลายๆ เรื่องของญี่ปุ่นชอบมีฉากตัวละครซดราเมนอย่างเอร็ดอร่อย พี่ตากล้องก็เป็นธุระพาไปกิน (จริงๆ แล้วเขาอยากจะกินไหมก็ไม่รู้) 

ผมใช้เงินประหยัดเพราะเงินไทยที่แลกมาเป็นเงินเยนเกือบทั้งหมด เท่ากับเงินเก็บที่ถ้ายุบมากๆ ก็จะลำบากตอนกลับไปบ้าน ผมพลาดสิ่งของหลายๆ อย่างเพราะกลัวจะถังแตก ผมพลาดยามค่ำคืนที่ควรจะอิ่มเอมกับบรรยากาศในเมืองที่ครั้งแรกของชีวิตเคยมาเหยียบ ผมพลาดวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของเมืองท่องเที่ยวเช่นนั้นไป สุดท้ายผมไม่ได้ซื้อของฝากใครเพราะไม่กล้าทำอะไรนอกจากเดินตามหลังคนอื่น ของฝากอย่างเดียวที่ได้ติดมือมาคือครีมทาผิวหลอดสีฟ้าๆ ที่น้องสาวฝากหิ้วกลับไทยเพื่อเอาไปขายต่อเพื่อนๆ 

ค่ำคืนสุดท้ายของญี่ปุ่นผมไม่ได้ตื่นเต้นกับป้ายไฟกูลิโกะแมน ไม่ได้รู้สึกว้าวกับแสงไฟละลานตา แทบไม่ได้สนใจผู้คนหลากเชื้อชาติที่เดินกันขวักไขว่ ผมหยิบมือถือมาถ่ายรูปน้อยมาก ไม่รู้เพราะอะไร 

ระหว่างเดินกลับที่พักฝนโปรยเบาๆ สัมผัสศีรษะ ผมรู้สึกเคว้งๆ ท่ามกลางเมืองใหญ่ แต่ใจกลับคิดถึงบรรยากาศของชนบทที่ได้ไปสัมผัสเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา แวะมินิมาร์ต ผมเปิดตู้แช่หยิบเบียร์อาซาฮีติดตัวไป 2 กระป๋อง มันช่วยให้คืนสุดท้ายของญี่ปุ่นที่น่าจะได้เต็มอิ่มกับการไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกผ่านพ้นอย่างรวดเร็ว 

เช้าวันสุดท้ายในญี่ปุ่นผมใช้เวลาเดินดูผู้คนผ่านไปผ่านมาและขึ้นไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าขนาดกลางข้างโรงแรม ก่อนนั่งมินิบัสออกจากโอซาก้าไปยังสนามบินคันไซเพื่อเดินทางกลับไทย

ตลอดการเดินทางผมนั่งมองวิวข้างหน้าต่างอย่างตะกละตะกลาม มองสลับสองฟากฝั่งไม่ให้ละสายตา จดจำท้องฟ้าสีฟ้าๆ ที่มีเมฆก้อนขาวขนาดใหญ่ลอยหนาแน่น จดจำภาพของอาณาเขตทะเลที่โอบล้อมตึกเรียงราย มองลึกลงไปถึงกิจกรรมต่างๆ ของชาวญี่ปุ่น เป็นภาพวิวในต่างประเทศครั้งแรกที่เคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ จนมาจบภาพสุดท้ายก่อนเดินเข้าไปยังสนามบิน

 

13

เวลาผ่านมาเกือบปี ญี่ปุ่นที่ผมเคยไปค่อยๆ เลือนหายจากความทรงจำไปทีละนิดๆ เรื่องราวเหล่านั้นเริ่มพร่าเลือน สัมผัสอากาศและความรู้สึกต่อบรรยากาศต่างๆ แทบจำไม่ได้ นึกได้แค่เพียงในจินตนาการ 

เป็นการท่องเที่ยวครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกเสียดายโอกาสที่ได้รับมาเพราะไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ 

เมื่อกลับมานั่งคิดถึงช่วงเวลาในญี่ปุ่นอีกครั้ง ผมรู้สึกโชคดีที่เลือกการงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ให้กับชีวิต พูดอย่างไม่อายก็ต้องบอกว่า ในวัยนี้งานมอบทุกอย่างให้ ทั้งได้เงินมาดำรงชีวิต ไปเที่ยว คุยกับคนที่ชื่นชอบ ใช้ชีวิตร่วมกันกับคนที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาส และอีกมากมายที่ทำให้ได้เห็นคุณค่าและความหมายของตัวเอง อาจดูเกินจริง แต่ทั้งหมดเป็นความจริงที่ผมฝันเอาไว้

ย้อนกลับไปในวันและวัยที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไร ไม่รู้จะเรียนอะไรหรือต้องเป็นอะไร และความไม่รู้ก็ทำให้ไม่เคยรู้จักเลือก ผิดหวังซ้ำๆ เจ็บช้ำไปกับทางที่ไม่ได้เลือก แต่เมื่อได้นั่งมองชีวิตในเวลาปัจจุบัน ผมกลับได้เห็นว่าทางที่ผ่านมานั้นเป็นบทเรียนชั้นยอด และเมื่อมองกลับไปยังจุดเริ่มต้นทุกครั้ง ผมรู้สึกว่าก้าวต่อไปของผมมีค่า เพราะตอนนี้รู้จักเลือกได้บ้างแล้ว

ผมยังคงอยากเดินทางไปประเทศที่ 2 ของชีวิต และหวังอย่างยิ่งว่าหากเป็นไปได้จะกลับไปเติมเต็มความทรงจำครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นให้ดีกว่าเดิม

ครั้งแรกสำหรับการได้ไปเที่ยวต่างประเทศในชีวิตสอนให้รู้ว่า โอกาสกับความพร้อมน้อยนักจะเดินทางมาถึงพอดีกัน การเผชิญหน้าฝ่าฟันไปกับความฉิบหายที่ได้เจอเป็นสิ่งที่เราไม่ควรพลาด มันคือความสนุก การเรียนรู้ และอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ความกลัวหายตัวไป สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะถูกหรือผิด ชีวิตคงไม่อ้างว้างสักเท่าไหร่  

“ผมต้องไปทำงานละ” เพื่อนคนข้างซ้ายมือผมพูดขึ้น

“เออ ผมก็จะนอนละ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงาน” เพื่อนอีกคนเห็นด้วย 

“ไว้ถูกหวยเมื่อไหร่ ไปเที่ยวต่างประเทศกันสักครั้ง” ผมปิดท้ายวงสนทนา

AUTHOR