‘การนึกถึงหัวจิตหัวใจกันมันทำให้โลกไปต่อได้’ คุยกับเบนและวินสตัน จาก Mumford & Sons

Highlights

  • Mumford & Sons คือวงโฟล์กร็อกจากประเทศอังกฤษ ที่อัลบั้มใหม่อย่าง Delta แฟนๆ หลายๆ คนบอกว่าทำไมไม่เหมือนเดิม แต่เบน โลเวตต์ หนึ่งในสมาชิกวงบอกกับเราว่า "ผมว่าถ้าเรายังพยายามเป็นวงในเวอร์ชั่น 2008 คงอยู่กันไม่ถึงวันนี้"
  • หลังจากฟอร์มวงกันมา 12 ปี นี่คือคอนเสิร์ตครั้งแรกของพวกเขาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทย

บางครั้งการแชร์ปัญหาก็มาในรูปแบบของการรับฟัง

การเป็นผู้ฟังที่ดีคือหัวใจของหลายๆ อย่าง

นี่คือสิ่งที่เราได้จากบทสนทนาในเวลาสั้นๆ กับ Mumford & Sons วงโฟล์กร็อกจากอังกฤษที่มีเนื้อเพลงสวยงามมากที่สุดวงหนึ่ง หลายเพลงของพวกเขาช่วยชีวิตหลายคนเอาไว้

แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่เราคุยกันถึงเรื่องที่ชวนกลับมาคิดต่อได้อีกยาวๆ ในหลายประเด็น

หลังจากรอคอยมา 12 ปี นี่คือบทสนทนาว่าด้วยเรื่องความเห็นอกใจกันของผู้คนในสังคม สิ่งสำคัญในชีวิตของพวกเขาตอนนี้ ไปจนถึงการยืนระยะทำงานดนตรี 12 ปี กับ Ben Lovett และ Winston Marshall จากวง Mumford & Sons

เพลง I Will Wait เฟดเอาต์ เพลง Beloved และแสงอาทิตย์เวลา 15:30 นาฬิกา เฟดอิน

หลังจาก 12 ปีที่ทำวงกันมา คุณรู้สึกยังไงกับการมาเล่นคอนเสิร์ตครั้งแรกในประเทศไทย

เบน : มันเหนือจริงมาก ผมคิดว่ายิ่งพวกเราทัวร์คอนเสิร์ตมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ พวกเรายิ่งรู้สึกว่าต้องออกทัวร์ให้มากขึ้นไปอีก เหมือนกันเลย ยิ่งคุณเดินทางมากเท่าไหร่คุณยิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของโลก เห็นคนมากมาย เห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความแตกต่างทางทัศนคติของผู้คน ทัวร์ในครั้งนี้เลยยิ่งเป็นเหมือนการได้เบิกเนตร

วินสตัน : ตอนที่พวกเราเริ่มออกทัวร์คอนเสิร์ตในเอเชีย ผมคิดว่ามันค่อนข้างมีความคล้ายกัน แต่ในประเทศไทยต่างจากประเทศอื่นที่พวกเราไปมามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีหรือญี่ปุ่น ไม่รู้สิ บางครั้งคุณเติบโตมาในบางที่ อย่างอังกฤษ แน่นอนว่าสำหรับผม ผมจะไม่ค่อย appreciate ในสิ่งที่มันเป็นอยู่แล้วเหมือนอย่างในกรุงเทพฯ เพราะนี่เป็นครั้งแรกของพวกเรา

เบน : ทั้งภาษา ท่าทาง วัฒนธรรม ศาสนา การเคลื่อนไหวของผู้คน มันมหัศจรรย์มากเลยนะ ผมพูดอะไรเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากดีมาก ดีที่สุด ไม่รู้สิ ผมว่ามันดีมากเลย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเรารักในสิ่งนี้ บางทีพวกเราก็เป็นนักท่องเที่ยวเดินทางมากกว่านักดนตรี

นั่นคือ 12 ปีที่พวกเรารอคอย แล้วอะไรทำให้คุณยืนระยะทำงานกันด้วยกันได้ถึง 12 ปี

เบน : ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเรามีร่วมกันคือการได้ออกไปท่องโลกพร้อมๆ กับได้โชว์ และได้ทำเพลงที่พวกเราแคร์เอามากๆ เราค่อนข้างเป็นผู้ฟังที่ดีและทำงานร่วมกันได้ดี ต้องบอกว่าวงก็ค่อยๆ พัฒนาและเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ ผมว่าถ้าเรายังพยายามเป็นวงในเวอร์ชั่น 2008 คงอยู่กันไม่ถึงวันนี้ ดังนั้นพวกเราจึงต้องเปิดรับไอเดียใหม่ๆ และความทะเยอทะยานที่เปลี่ยนแปลงไป แต่พวกเราก็ทำมันออกมาสำเร็จนะ ผมว่าต้องจำไว้เสมอว่าเราคือเพื่อนกันในตอนแรก เราคุยกันอยู่ตลอด และการทำวงคือสิ่งที่พวกเราเลือกทำแล้ว มันจึงยังรู้สึกดีถึงแม้จะ 12 ปีแล้ว

แปลว่าหัวใจคือการฟังใช่ไหม

เบน : ใช่ การฟังครับ การฟังกันคือหลักใหญ่ใจความ

วินสตัน : ผมว่าเบนพูดถูก มันคือเรื่องของการรับฟังกัน ทั้งหมดเป็นเรื่องของศิลปะการซัพพอร์ตกันและทำมันออกมาให้ลุล่วง ใครมีเพลงก็ช่วยกันทำเพลงนั้นให้ไปได้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ และพยายามสื่อสารในสิ่งที่คุณต้องการอย่างตรงไปตรงมา เป็นกำลังใจให้กัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงอยู่กันได้ยาวๆ การทำงานกับคนต้องคอยฟังกัน เหมือนการแต่งงานเลย

วงคุณมักจะปล่อยเพลงที่มีความหมายออกมาอยู่เสมอ เป็นเพลงที่ช่วยให้หลายๆ คนผ่านช่วงเวลายากๆ ในชีวิตมาได้และมันมีความหมายกับชีวิตพวกเขามาก อยากรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่มีความหมายที่สุดในชีวิตของพวกคุณตอนนี้

เบน : สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตผมคือการพยายามอยู่ให้ถึงวันถัดไป เพราะถึงแม้ว่าจะมีบางเรื่องที่เรื้อรังเปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือบางครั้งเป็นวันแย่ๆ ผมคิดว่าการตระหนักรู้ว่าชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมไปต่อได้ นี่คือสิ่งที่เราเชื่อ เราเชื่อในการมีอยู่ของอนาคต ก่อนหน้าแม้มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย แต่ถ้าคิดว่าฉันจะต้องอยู่ที่นั่นในวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้จะทำอะไรดีนะ อยากเป็นอะไร อยากใช้เวลาแบบไหนกับครอบครัว หรือจะไปทำอะไรกับเพื่อน พรุ่งนี้ก็วันใหม่แล้ว มันคือการมองโลกอย่างมีความหวัง

วินสตัน : เป็นคำถามที่ดีมาก ผมคิดว่าอะไรก็ตามมันจะมีความหมายเมื่อเราทำให้ลุล่วงตามความหมายของมัน สำหรับผมสิ่งนั้นคือครอบครัว มิตรภาพ คนที่คุณรัก และแผ่ออกไปยังชุมชนและประเทศของคุณด้วย

อย่างพวกเราเริ่มเล่นดนตรีเพราะว่ามันมีความหมายกับพวกเรา ดนตรีคือสิ่งลี้ลับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงมีผลกับผู้คนได้มากขนาดนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็พูดเรื่องนี้หมือนกัน มันมหัศจรรย์มากนะตอนที่สมองของมนุษย์ได้ฟังเพลง ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเพลงถึงมีความหมายและส่งผลที่น่าทึ่งกับผู้คนได้ขนาดนี้ มันน่าอัศจรรย์มากๆ

สำหรับคุณแล้วประสบการณ์ การอ่าน ความสัมพันธ์ การเกิด ไปจนถึงความตาย อะไรมีผลที่สุดต่อการทำอัลบั้มล่าสุดอย่าง Delta

วินสตัน : ทุกอย่างเลย อย่างโรคซึมเศร้า ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่กำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้ เอาจริงๆ ก็ไม่รู้แบบแน่นอนนะว่าผู้คนมากขนาดไหนในเชิงจำนวน แต่มีเรื่องนี้อยู่มากในอัลบั้มนี้

 

เหมือนอย่างในเพลง Slip Away ท่อน Waiting patient for the sun to rise. It reveals a stoic smile. ในฐานะคนเป็นโรคซึมเศร้าฟังแล้วรู้สึกมีความหวังมาก

เบน : ผมว่าบางครั้งการแชร์ไม่ใช่แค่การหยิบยื่นวิธีการแก้ปัญหาให้ผู้คน แต่ผมว่าอาจเป็นการแชร์ด้วยการรับฟัง ก็ช่วยให้ผู้คนไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ชีวิตมันมหัศจรรย์นะ ยิ่งคุณผ่านมันมาเท่าไหร่ มันเหมือนกับว่าเราได้ทักษะมากขึ้นเท่านั้น เพราะการจะผ่านมันมาจนถึงอีกฟากฝั่งหนึ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงควรชื่นชมผู้สูงอายุ เขาเห็นจริง เข้าใจจริง และยังมีชีวิตอยู่ มีหลายเรื่องที่เราเรียนรู้ได้จากพวกเขา 

การเห็นใจ และเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมาจากประสบการณ์ชีวิต และผมคิดว่ามีเปอร์เซ็นต์ของประสบการณ์ชีวิตในอัลบั้ม Delta มากกว่าอัลบั้ม Wilder Mind แน่นอน

นอกจากการโทรไปหาคนที่เรารักแล้วบอกว่า “you must know you are beloved” อย่างในเพลง Beloved คุณคิดว่าอะไรที่เราสามารถทำได้อีกในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่

เบน : บอกว่ารักแล้วก็ต้องแสดงออกให้ตรงกับสิ่งที่พูด หมายความว่ารับฟังเขา และอยู่ตรงนั้นเพื่อเขา และระมัดระวังการกระทำและผลลัพธ์ที่จะตามมา มันง่ายกว่าอยู่แล้วที่จะคิดแล้วทำเลยแบบไม่ทบทวนก่อน และมีหลายอย่างที่ทำให้เราเป็นแบบนั้น ทั้งแอลกอฮอล์ ยา หรือโซเชียลมีเดีย แต่การตระหนักรู้ถึงหัวจิตหัวใจคนอื่นน่ะ มันก็คือหัวใจที่จะทำให้โลกดำเนินต่อไปได้

เวลาฟังเพลงของ Mumford & Sons จะรู้สึกมีความหวังในชีวิตและความรัก ฟังๆ อยู่เหมือนเห็นแสงสว่างวาบขึ้นมาตรงหน้า คุณเขียนเพลงที่ empower ผู้คนขนาดนั้นได้ยังไง

วินสตัน : ก็ยอกันเกินไป ผมว่าสิ่งหนึ่งที่พวกเราทำกันอยู่เสมอคือซื่อตรงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และร้องในสิ่งที่สำคัญต่อพวกเรา เวลาเราชื่นชมศิลปินคนโปรดเราก็ชื่นชมเวลาที่พวกเขาจริงใจที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ อย่างที่เบนพูดไป เจนเนอเรชั่นที่แก่กว่าเราเขารอบรู้ เหมือนกันเลย การแชร์เรื่องราวต่างๆ แก่กันช่วยให้เราผ่านสิ่งเหล่านั้นมาได้ 

เบน : ยิ่งคุณซื่อตรงมากเท่าไหร่คุณยิ่งเชื่อมโยงกับผู้คนได้มาก เราไม่ได้มานั่งคิดว่าจะคูลหรือไม่คูล เพราะเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ก็จะมีทั้งคนที่ชอบและคนที่ไม่ชอบ แต่พวกเราภูมิใจนะ 

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย

วริทธิ์ โพธิ์มา

รักหมูกรอบ และข้าวมันไก่