ตั้งแต่เพลง High Hopes ของ Kodaline ปล่อยออกมาในปี 2013 วงดนตรีสัญชาติไอริชวงนี้ก็เข้ามาจับจองพื้นที่ในใจฉันอย่างเหนียวแน่นแบบไม่มีใครแทนที่ได้
อาจเป็นเพราะความเศร้าที่แทรกซึมอยู่ในเนื้อเพลงและดนตรีที่ทำให้ร้องไห้ได้แบบไม่ทันตั้งตัว ก่อนอีกหลายเพลงของวงจะช่วยให้กำลังใจและเยียวยา สลับกันไปมา คล้ายกับชีวิตที่มีทั้งเสียใจและร้องไห้แต่ก็ยังมีช่วงเวลาแห่งความสุขและความหวังเปล่งประกาย
และเป็นบทสัมภาษณ์หลังการปล่อย Politics of Living อัลบั้มล่าสุดของ Kodaline ที่ทำให้ได้รู้ว่าที่ผ่านมา แต่ละเพลงจากปลายปากกาของพวกเขาล้วนแต่เขียนขึ้นจากชีวิตจริงทั้งสิ้น
“มันสำคัญมากสำหรับพวกเราที่จะเขียนเพลงจากเรื่องจริง” Steve Garrigan นักร้องนำบอกเราไว้ ณ ช่วงหนึ่งของบทสนทนาหลังเวที ก่อนเพื่อนร่วมวงจะย้ำกับเราเรื่องนี้อีกหลายครั้งเหมือนเป็นนโยบายที่พวกเขายึดถือแม้ไม่มีลายลักษณ์อักษรยืนยัน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรื่องจริงในเพลงของ Kodaline ช่วยพาฉันออกจากห้วงเวลายากๆ นับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่น่าแปลกใจคือเรื่องเศร้าเหล่านั้นของพวกเขา เมื่อผ่านเวลาไปนานๆ กลับกลายเป็นความสุขที่ยืนยันได้ด้วยรอยยิ้มตั้งแต่ด้านหลังเวที ไปจนกระทั่งโมเมนต์ที่พวกเขาเดินลงมาจับมือแฟนๆ เมื่อคอนเสิร์ตจบลง
กลไกเปลี่ยนความเศร้าเป็นความสุขของพวกเขาคืออะไร
ให้บทสนทนาด้านล่างเป็นคำตอบ
บทสัมภาษณ์ของพวกคุณบอกว่าอัลบั้ม Politics of Living พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน มันสำคัญแค่ไหนพวกคุณถึงได้ใช้เป็นคอนเซปต์ของทั้งอัลบั้ม
Mark : ทุกเพลงของเราแต่งขึ้นจากบางอย่างที่เกิดขึ้นจริงๆ อัลบั้มของเราไม่ได้พูดถึงเรื่องการเมือง แต่พูดถึงความสัมพันธ์ในชีวิต เมื่อคุณถกเถียงกับบางคน ทั้งเรื่องที่ดี เรื่องที่ไม่ดี เรามักจะหยิบสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและใส่ลงไปในเพลง ดังนั้นแต่ละเพลง ถ้าไม่ได้แต่งขึ้นจากเรื่องที่เกิดกับเรา มันก็เกิดขึ้นจากเรื่องที่กระทบชีวิตพวกเรา
เรื่องราวแบบไหนที่กระทบใจพวกคุณเป็นพิเศษ
Jason : เรามักคุยกันว่าเราต้องซื่อสัตย์ให้มากที่สุด เราเขียนจากเรื่องจริง เราแต่งเรื่องขึ้นมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นแค่เรื่องทั่วๆ ไปในชีวิต เหมือนการแชร์ไดอารีของคุณกับคนทั่วโลก บางเพลงอาจไม่ได้มีเรื่องราวเบื้องหลังที่เฉพาะเจาะจงขนาดนั้น แต่มันเกี่ยวกับเพื่อนๆ ของเรา เกี่ยวกับคนจริงๆ ประสบการณ์จริงๆ ที่พวกเราเจอมา
Mark : เพลง Brother ก็เป็นเรื่องของพวกเรานะ เราเห็นว่าสมาชิกของเราเหมือนพี่น้อง การทำวงดนตรีเป็นเรื่องที่พิเศษมาก เราได้ทำเพลง ได้เที่ยวทั่วโลก แต่สำหรับชีวิตส่วนตัวบางครั้งมันก็เต็มไปด้วยความหดหู่ มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายตลอดเวลาที่ผ่านมา Brother จึงเป็นเพลงที่ให้อารมณ์เหมือนกับเวลาที่เราวางมือบนไหล่เพื่อนแล้วบอกว่าเราอยู่ตรงนี้กับนายนะ
Head Held High ก็คล้ายกัน มันเป็นเพลงที่ค่อนข้างสนุกสนานและสดใส เราอยากให้มันเป็นเพลงที่พูดถึงพลังบวก ทำให้คุณได้มองเห็นด้านดีๆ ของชีวิต เมื่ออะไรๆ ไม่เป็นดั่งใจเราก็อยากให้คุณ keep your head held high และพยายามก้าวผ่านมันไป
เร็วๆ นี้พวกคุณออกมาพูดเรื่องโรคซึมเศร้า มันทำให้ฉันนึกถึงนักเขียนบางคนที่บอกว่าภาวะเช่นนี้ทำให้พวกเขาอ่อนไหวกับเรื่องรอบตัวมากขึ้นและใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้ กับการเขียนเพลงมันเหมือนกันไหม
Steve : จริงๆ มันก็เหมือนกันนะ เพราะถ้าคุณอยู่ในโหมดการเขียนเพลงแล้วมันก็ยากที่จะปิดสวิตช์ สมมติว่าผมกำลังอยู่ในโหมดเขียนเพลง พอผมเห็นอะไรบางอย่างผมก็จะคิดว่ามันน่าจะเอาไปแต่งเพลง ลองเขียนโน้ตขึ้นมา ได้เห็นแรงบันดาลใจอยู่เสมอๆ แต่ผมก็คิดว่ามันทำให้คุณเป็นคนเซนซิทีฟต่อผู้คน สถานที่ และประสบการณ์ที่เจอมากเกินไปได้เหมือนกัน
ที่ผ่านมา มีครั้งไหนไหมที่คุณรู้สึกเซนซิทีฟมากๆ จนอยากเขียนเพลงเกี่ยวกับมัน
Steve : ทุกๆ อย่างเลย อะไรก็ได้ เวลาที่เราเขียนเพลง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราคือเพลงของเราต้องมีความหมาย ทุกเพลงจึงเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ครอบครัว เพื่อน ความสัมพันธ์ การเลิกรา คืนดี สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตที่เศร้ามากๆ เช่น มีคนจากไปเราก็เขียนเพลงเพื่อจดจำพวกเขา มันสำคัญมากสำหรับพวกเราที่จะเขียนเพลงจากเรื่องจริง
Vincent : ผมคิดว่าคุณสามารถโดนจับได้ถ้าคุณเขียนเรื่องไม่จริง คนฟังสามารถมองเห็นได้นะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า และมันยากสำหรับเราเหมือนกันที่จะทำให้คนเชื่อในเพลงของเราถ้าเราไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับมัน เราจึงเขียนเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
Steve : เราอยากให้คนฟังเก็บเกี่ยวอะไรไปจากเพลงของเราได้ ถ้าเราไม่เชื่อในมัน ใครล่ะที่จะเชื่อในเพลงของเรา
ฉันเข้าใจว่ากับเพลงที่แฮปปี้คุณคงอยากถ่ายทอดความสุขออกไป แต่กับ Kodaline ที่มีเพลงเศร้าเยอะเหมือนกัน คุณอยากให้คนฟังฟังแล้วได้อะไร
Steve : มันคือเรื่องราวในเพลง อารมณ์และความรู้สึกตอนที่ผมแต่งเพลง ถ้าคนฟังกำลังผ่านประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันกับผม อย่างเช่นการเลิกรา ผมก็อยากให้เขารู้สึกแบบเดียวกับที่ผมรู้สึก ให้เขารู้ว่าเพลงของเราอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยพวกเขา แต่เอาจริงๆ เมื่อเราเขียนเพลงเสร็จและปล่อยมันออกไป มันก็ไม่ใช่เพลงของเราแล้ว มันอยู่ที่คนฟังว่าจะเลือกเก็บอะไรกลับไปจากเพลงของเรา อะไรที่มีความหมายกับพวกเขา
Vincent : ผมว่าดนตรีเป็นสิ่งที่เปิดกว้างสำหรับการตีความ เช่น บางเพลงที่เราเขียนมีความหมายพิเศษสำหรับพวกเรา แต่มันก็สามารถมีความหมายที่แตกต่างออกไปมากๆ ในมุมของคนฟังได้เหมือนกัน และพวกเขาก็ใช้เพลงของเราเยียวยาในช่วงที่กำลังต้องเผชิญกับอะไรบางอย่าง
Steve : เราได้รับข้อความจากแฟนๆ เยอะมาก พูดว่าเพลงของเราช่วยให้พวกเขาผ่านช่วงเวลายากๆ มาได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความหมายมาก และอย่างที่คุณพูด เรามีเพลงแฮปปี้ๆ เหมือนกัน และเราก็อยากให้คนฟังแฮปปี้ตอนที่ฟังนั่นแหละ (หัวเราะ) ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่มีความสุขหรือเพลงเศร้าก็มีจังหวะเวลาที่เหมาะสมของมัน
คนมักจะพูดถึงการที่คุณเอาความเศร้ามาแต่งเพลง มีโมเมนต์แห่งความสุขที่ผ่านมาที่อยู่ในเพลงบ้างไหม
Jason : ผมคิดว่าอัลบั้มนี้มีเพลงที่มีความสุขเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนนะเพราะว่าเราเติบโตขึ้น เอนจอยชีวิตมากขึ้น และได้รับรู้ว่าเราเติบโตมาไกลแค่ไหนแล้ว ก่อนหน้านี้เราก้มหน้าก้มตาเล่นดนตรี คิดว่าตัวเองยังเป็นวัยรุ่นอยู่ และค่อยๆ พยายามเติบโตขึ้น จนเมื่อเราหยุดพักและหันหลังกลับไปมองเราถึงรู้สึกว่ามันเป็นการเดินทางที่ดี
Mark : แม้กระทั่งเพลงอย่าง Love Like This ในอัลบั้มแรก มันเป็นเพลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่กำลังง่อนแง่นแต่เราก็พยายามทำให้มันฟังดูแฮปปี้ มีพลังบวกอยู่ในเนื้อเพลงและมู้ดของเพลง หรือ Head Held High ที่สนุกและมีความสุข
ผมคิดว่าเวลาที่คุณกำลังข้ามผ่านช่วงเวลายากๆ หรือความเศร้า บางครั้งเพลงเพลงเดียวก็สามารถช่วยคุณออกจากช่วงเวลาเหล่านั้นได้ เวลาคุณเขียนเพลง คุณเขียนมันลงไปบนกระดาษ คุณอ่านมัน ร้องมันออกมา มันก็เหมือนกับได้เห็นชีวิตของตัวเองที่ผ่านมา เหมือนการบำบัดตัวเองเหมือนกัน นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเพลงของพวกเราถึงออกมาเศร้า
อย่างนี้เวลาที่คุณเล่นเพลงเศร้า คุณเศร้าบ้างไหม
Mark : (ตอบทันที) ไม่เลย มันทำให้ผมรู้สึกดีมาก โดยเฉพาะเวลาเราเล่นบางเพลง เราจะรู้ได้ทันทีตั้งแต่เพลงขึ้นว่าคนรักมัน มีคนกรี๊ด มีคนที่ร้องไห้หนักมาก แน่นอนว่าเพลงเหล่านั้นมีความหมายกับเรา เพราะมันเขียนจากช่วงเวลาบางช่วงในชีวิต มันจึงเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมมากเวลาได้เห็นว่าบทเพลงของเรามีความหมายบางอย่างกับพวกเขา มันเหมือนเราแอบหวังเล็กๆ ว่าเขาจะเข้าใจเราว่าโมเมนต์ที่เราเขียนเพลง มันเกิดอะไรขึ้น
Jason : ผมคิดว่าเพลงของเรามีความหมายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ยิ่งเราร้องและเพอร์ฟอร์มมันมากเท่าไหร่ คุณจะสามารถจำได้แค่โมเมนต์ดีๆ ผมคิดว่าตอนนี้ All I Want ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพลงเลิกกันเท่าไหร่แล้ว แต่เหมือนเป็นความทรงจำจากช่วงเวลานั้นๆ มากกว่า แฟนๆ ของเราหลายคนบอกว่ามันเป็นเพลงที่ทำให้พวกเขาข้ามผ่านเรื่องเศร้ามาได้จนผมคิดว่าเพลงมันเติบโตไปจนกลายเป็นเพลงเชิงบวกแล้วด้วยซ้ำ
Jason : มันเหมือนที่เขาพูดกันเรื่องการเล่าความทุกข์ คือการแบ่งความทุกข์ลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นทุกครั้งที่เราได้ร้องเพลงเศร้า มันก็เหมือนเราได้แบ่งครึ่งความทุกข์กับคนเป็นล้านๆ คน ดังนั้นเราถึงไม่มีปัญหากับเพลงเศร้า ยิ่งเราแชร์กับคนมากเท่าไหร่ เรายิ่งได้รับพลังบวกกลับมา
Mark : มันเหมือนการเลิกกับแฟนทำให้เกิดบางเพลงในอัลบั้มแรก และตอนนี้ 7 ปีให้หลัง เพลงพวกนั้นก็พาเรามาถึงเมืองไทย มีคนร้องเพลงของเรา เรื่องร้ายเล็กๆ บางอย่างในชีวิตก็สามารถเปลี่ยนเป็นเรื่องบวกตลอดชีวิตที่เหลือของคุณได้เลย
พูดถึงการเดินทาง สุดท้ายแล้วหลังจากเดินทางบนเส้นทางดนตรีมาหลายปี ประสบความสำเร็จอย่างมาก คุณยังอยากทำอะไรอีกไหม
Steve : มันเป็นเรื่องที่อะเมซิ่งมาก ผมจำได้ตอนที่เราอัดเพลง Brand New Day เราเขียนเพลงอยู่ในสตูดิโอและยังไม่ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง ตอนนั้นเราแค่ล้อเลียนไอเดียการเขียนเพลง เล่นดนตรี และได้ท่องโลก แต่ไม่ได้คิดจริงๆ ว่าเราจะทำให้มันเกิดขึ้นได้ หลังจากนั้นหลายปีที่เราทำมันได้จริงๆ มันก็วิเศษมาก อย่างที่คุณเห็น ตอนนี้เราอยู่ที่กรุงเทพฯ เราไม่เคยคิดว่าเราจะได้มาเล่นที่นี่ มันเจ๋งมากๆ
มีหลายที่ที่เราเคยไป คนรู้จักเพลงของเราแต่เขาไม่รู้จักพวกเรา สองสามปีที่แล้วผมไปเที่ยวกัมพูชา ผมไปเที่ยวที่เกาะแห่งหนึ่งและสิ่งแรกที่ผมได้ยินเมื่อถึงเกาะคือรีมิกซ์เพลง High Hopes ผมแบบ “อะไรวะ” (หัวเราะ) มันน่าทึ่งเหมือนกันนะ และผมก็ยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่มีใครรู้จักผม มีเพลงของเราเล่นอยู่ตรงนั้น มันเจ๋งที่เพลงของเราเดินทางไปไกลกว่าพวกเราเสียอีก
Mark : ผมเพิ่งนั่งนึกเรื่องนี้ตอนอยู่ที่โรงแรม เพราะโรงแรมที่พวกเราพักมันดีกว่าสิ่งที่เราควรจะได้รับมากๆ ผมนั่งคิดว่านี่คือครั้งแรกที่ผมได้มาประเทศไทย เรากำลังจะได้เล่นดนตรีในที่เทศกาลดนตรีขนาดใหญ่เลยนะ โมเมนต์แบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ถ้าผมอยากจะทำอะไรสักอย่าง ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นการซึมซับโมเมนต์ต่างๆ มากขึ้น เห็นคุณค่าของแต่ละช่วงเวลา และมีความสุขกับสิ่งดีๆ ณ โมเมนต์ที่มันเกิดขึ้น
บทสัมภาษณ์นี้มาจากการสัมภาษณ์แบบกลุ่มร่วมกับ a day Bulletin ที่ Mangosteen Music Festival 2019 และเรียบเรียงโดย a day magazine