ก้าวเดินไปแสวงหาความสงบในโรงภาพยนตร์กับ Walk with Me : ก้าวเดินกับฉัน

Director: Marc Francis, Max Pugh
Genre: Documentary
Region: UK

ภายใน / สถานีรถไฟฟ้า /
เย็นหลังเลิกงาน

ภาพแทนสายตามองไปยังผู้คนบนรถไฟฟ้าที่แออัด
ดวงตาหลายคู่แสดงความอ่อนล้าจากการทำงาน บ้างเหม่อลอย เก็บซ่อนความกังวล แทบทุกคนห่างไกลจากคำว่ามีชีวิตชีวา
พอๆ กับข้าพเจ้า เด็กหนุ่มที่เดินดุ่มลงจากรถไฟฟ้าด้วยฝีเท้าเร่งรีบเพื่อไปถึงโรงหนังให้ทันเวลา
โดยที่เสียงคำรามของเครื่องยนต์ กลิ่นของควันจากพาหนะต่างๆ
ที่จอดเรียงแน่นยาวเหยียดบนท้องถนนใจกลางกรุงเทพมหานครได้สนิทสนมกับโสตประสาทไปแล้ว
ข้าพเจ้าอาจจะชินชากับเมือง แต่บางเสี้ยวความคิดระหว่างที่เดินอยู่
ภาพบ้านหลังหนึ่งในชนบทพร้อมกับชีวิตที่เงียบสงบและอบอุ่นของเด็กน้อยคนนั้นก็ผุดขึ้นมาในความนึกคิด
วัยเด็กที่ยามเช้าของเราสดใหม่ รู้สึกถึงความตื่นเต้นในทุกวันของชีวิต

“อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง
มีเพียงปัจจุบัน”


Walk with Me
คือ
ภาพยนตร์สารคดีที่ข้าพเจ้าเป็นกังวลว่าจะไปถึงทันเวลาหรือไม่

ตัดไป

Walk with Me หรือในชื่อไทยว่า ก้าวเดินกับฉัน เป็นผลงานกำกับร่วมกันระหว่าง Marc
Francis และ Max Pugh ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการที่น้องชายแท้ๆ
ของเขาที่กำลังจะบวช หนังดำเนินเรื่องไปพร้อมกับเหตุการณ์ต่างๆ ของเหล่านักบวชและ
หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ พระภิกษุชาวเวียดนาม (ผู้ได้รับการเสนอชื่อ
สำหรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดย มาร์ติน ลูเธอร์ คิง) ใช้เวลาในการถ่ายทำ 3 ปี เพื่อบันทึกและเรียนรู้วิถีของนักบวชในศาสนาพุทธนิกายเซ็น
รวมไปถึงความเป็นไปอันเรียบง่ายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านพลัม
ประเทศฝรั่งเศส

เหตุการณ์ บรรยากาศ อุณหภูมิ แสง ธรรมชาติ ความสงบ
ถูกถ่ายทอดออกมางดงามอย่างสามัญ ด้วยกระบวนการเล่าเรื่องแบบสารคดีสังเกตการณ์ (observational documentary) สลับกับเสียงอ่านบรรยายบทกวีของ
Benedict Cumberbatch คล้ายกับว่าหนังสารคดีเรื่องนี้จะพาเรากลับไปชิมสัมผัสปัจจุบันขณะในลมหายใจ และลองก้าวเท้าเดินในจังหวะเดียวกันกับพวกเขาดูสักครั้ง

“เธอปรารถนาที่จะพบสัจธรรม
แต่เมื่อได้พบแล้ว

ก็อย่าหลีกหนีจากความทุกข์

มิเช่นนั้น ก็เท่ากับว่า

เธอยังไม่ได้พบอะไรเลย”

ตัดไป

ภายใน / โรงภาพยนตร์ / กลางเรื่อง

ฉับพลัน…

ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่น
เพราะเสียงระฆังแห่งสติที่อยู่ในหนังดังขึ้นอย่างกังวาน

ข้าพเจ้ายิ้ม

คงเป็นเพราะร่างกายที่เหนื่อยล้า
อุณหภูมิเย็นเฉียบในโรงหนัง ประกอบกับจังหวะการเล่าเรื่องของสารคดีที่นิ่งและเรียบง่าย
ละเอียดละออกับปัจจุบัน ถ่ายทอดเพียงความธรรมดา(แต่ว่างดงาม) น่าจะเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าหลับไปช่วงองค์แรกของหนัง
เมื่อก่อนข้าพเจ้าเองก็มีความเชื่อที่ว่า ถ้าดูหนังเรื่องไหนแล้วหลับ แปลว่าหนังเรื่องนั้นไม่สนุก
แต่ก็เปลี่ยนความคิดไปเมื่อพบว่าอยู่ที่จุดประสงค์ในการตัดสินใจดูหนังแต่ละเรื่องมากกว่า
เพราะไม่ใช่หนังทุกเรื่องบนโลกที่ตั้งใจทำออกมาให้คนดูได้รับความบันเทิงเพียงอย่างเดียว
และในเมื่อหนังเรื่องนี้ต้องการให้เราตื่น เพื่อสัมผัสปัจจุบันขณะ แต่ถ้าหากไม่หลับ
แล้วเราจะตื่นได้อย่างไร (ฮา)

ความประทับใจในหนังสารคดีเรื่องประกอบด้วย
ภาพการปลงผม การภาวนา การเดิน ทำอาหาร แววตา เสียงหัวเราะ
การเล่นม้าหมุนในสวนสนุก การกลับไปดูแผนที่ชีวิตของพระนักบวชหนุ่ม การเล่นดนตรี
การปฏิบัติธรรม และรอยยิ้มที่มีชีวิตชีวาของเหล่านักบวช
ที่ฉายให้เห็นภาพที่ทำให้รู้สึกว่านักบวชก็คือมนุษย์ธรรมาดาสามัญ ได้เห็นความพยายามในการปฏิบัติที่เป็นไปอย่างอ่อนน้อมหาใช่เพื่อความสูงส่ง
แต่เป็นการก้าวเดินอย่างมั่นคงเพื่อจะดำรงอยู่อย่างกลมกลืนเช่นเดียวกับสรรพสิ่ง
ทำให้เรารู้สึกเคารพในความสามัญนี้ได้อย่างง่ายดาย

หนังสารคดีเรื่องนี้
เหมาะกับคนที่ต้องการแสวงหาความสงบ รักที่จะได้เห็น magic moment ที่เกิดขึ้นจากความธรรมดาในการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง
ที่จะทำให้คนดูอย่างเราแอบอมยิ้มตามไปตลอดทั้งเรื่อง
และคุณสามารถก้าวเดินเพื่อเข้าไปแสวงหาความสงบในโรงภาพยนตร์ได้จากหนังสารคดีเรื่องนี้

ภาพกว้างทิวทัศน์บนภูเขาสูงมีเมฆโอบคลุม

เบื้องหน้าปรากฏความงามของแสงที่ไม่รู้แน่ว่าเป็นแสงแรกหรือแสงสุดท้าย

ตัดไป

ภายนอก
/ โรงภาพยนตร์ / กลางคืนระหว่างทางเดินกลับบ้าน

ภาพเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ก้าวเท้าเดินออกจากโรงหนังด้วยความมั่นคงเชื่องช้า
และรู้สึกถึงการมีอยู่ของเท้าทั้งสองข้างแบบที่ไม่ได้รู้สึกมานาน ลมหายในที่ละเอียดขึ้น แววตาที่จากอ่อนล้ากลับกลายเป็นอ่อนโยนสดใสขึ้น เขาเดินไปพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ค่อยๆ กลืนหายไปในฝูงชน…

AUTHOR