Someone from Nowhere : เราเป็นเจ้าของ ‘ของเรา’ จริงหรือเปล่า

ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว ครั้งที่ 30 (Tokyo International Film Festival 2017) ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2560 ตามคำชักชวนของ Japan Foundation ซึ่งนอกจากจะได้ไปร่วมงานเปิดเทศกาลแล้ว เรายังโชคดีมากที่จองบัตรรอบพิเศษของ Someone from Nowhere (มา ณ ที่นี้) ภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ของปราบดา หยุ่น ที่เดินทางไปฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลนี้ด้วย

ภาพยนตร์ความยาว 88 นาที Someone from Nowhere เล่าเหตุการณ์ในเช้าวันที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่กลับแปลกประหลาดของ นภัสสร (รับบทโดย ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช) เมื่ออยู่ๆ ก็มีชายแปลกหน้ามีบาดแผลถูกแทงที่ท้อง (รับบทโดย พีรพล กิจรื่นภิรมย์สุข) นอนสลบอยู่หน้าประตูห้องของเธอ ชายหนุ่มเข้ามาในห้องพร้อมทวงคืนสิทธิ์์การเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมห้องนี้จากนภัสสร โดยไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรม ยกเว้นแต่ว่าเขาแทบจะรู้จักทุกซอกทุกมุมในห้องนี้มากกว่าตัวหญิงสาวเอง

เนื้อเรื่องหลักทั้งหมดที่เราพอจะเล่าได้มีเท่านี้ จุดสำคัญที่เป็นกรอบการเล่าเรื่องของหนังคือเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในคอนโดมิเนียม และอาศัยบทสนทนาที่หญิงชายและชายหนุ่มทวงคืนและยืนยันสิทธิ์การเป็นเจ้าของห้องเท่านั้น บรรยากาศของ Someone from Nowhere จึงเริ่มต้นจากการฉายภาพชีวิตหญิงสาวชนชั้นกลางในเมืองกรุงที่เหมือนจะไม่มีอะไร แล้วค่อยๆ เพิ่มเงื่อนงำ พิลึกพิลั่น และลุ้นระทึกขึ้นด้วยบทสนทนาที่วกวนหาข้อสรุปไม่เจอ บวกกับซาวนด์ประกอบที่เหมือนคลื่นคอยรบกวนโสตประสาทคนดูอย่างเราตลอดเวลา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ดึงให้เราติดตามเนื้อเรื่องที่แสนน้อยของ Someone from Nowhere ได้ตลอดคือการแสดงของชญานิษฐ์และพีรพลที่ไม่ได้หวือหวา แต่กลับลุ่มลึกจนทั้งคู่กลายเป็นตัวละครนั้นได้จริงๆ ทั้งการพยายามข่มอารมณ์ให้เยือกเย็นและแสดงตนให้หนือกว่าของหญิงสาวที่ไม่มีทีท่าเกรงกลัวชายแปลกหน้าผู้เข้ามาในห้อง หรือการแสดงสุดยียวนที่ไม่เกินเลยไปแตะคำว่ากวนของพีรพลในบทชายหนุ่มผู้เหมือนจะมองเห็นความเป็นไปทุกอย่างในคอนโดมิเนียมห้องนี้มานาน นักแสดงนำทั้งสองทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว และย้ำชัดว่านี่อาจจะเป็นลายเซ็นของปราบดาไปแล้วว่าเราจะได้เห็นตัวละครที่มีทัศนคติแปร่งแปลกบิดเบี้ยวเหมือนที่คุ้นกันในเรื่องสั้นและนวนิยายของเขา รวมถึงเหล่าตัวละครที่เคยปรากฏใน Motel Mist เช่นกัน

ถึงแม้ว่าเรื่องราวใน Someone from Nowhere จะค่อยๆ พัฒนาไปตามหลักฐานที่ทำให้เราเริ่มสงสัยสิทธิ์ในคอนโดมิเนียมห้องนี้ว่าเป็นของหญิงสาวหรือชายหนุ่มแปลกหน้ากันแน่ แต่ปัญหาที่ส่วนตัวเรารู้สึกตะหงิดๆ ไม่น้อยคือช่วงกลางเรื่องที่บทสนทนาของตัวละครทั้งสองวกไปวนมาและหาทางออกไม่ได้สักที บางทีอาจเป็นเพราะว่าเราคาดหวังคำตอบแน่ชัดประมาณหนึ่ง ยิ่งหนังเร้าด้วยหลักฐานสุดระทึกใจ การตัดสลับฉากที่เพิ่มความตื่นเต้นให้เรามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งอยากรู้คำตอบที่ไม่ถูกเปิดเผยให้รู้มากเท่านั้น

แต่ใช่ว่าสุดท้าย Someone from Nowhere จะไม่บอกอะไรเราเลย ช่วงท้ายที่หนังคลี่คลายปมของเรื่องทำให้เราเซอร์ไพรส์และสนุกไม่น้อย สำหรับเรา ประเด็นที่พอจะจับความได้น่าจะสรุปได้เป็นประโยคที่เคยได้ยินกันบ่อยๆ ว่า ‘เราไม่ใช่เจ้าของที่นี่ แต่เราเป็นแค่คนมาอาศัยอยู่เท่านั้น’ บทสนทนาและพฤติกรรมในหนังชวนให้เราหวนคิดถึงสิทธิ์ในการครอบครองพื้นที่หรืออะไรบางอย่างที่เคยคิดว่าเป็นเจ้าของ แต่กลับได้รับการปฏิบัติอย่างกับเราไม่ใช่และไม่เคยเป็น หนังตั้งคำถามถึงชีวิตที่เราใช้กันอยู่จนเป็นปกติว่าเรากำลังถูกจ้องมองและบงการโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า หรือพื้นที่ส่วนตัวที่เราเคยเชื่อว่ามี โลกที่เคยครอบครอง เราอาจไม่เคยเป็นเจ้าของอะไรสักอย่างเลยก็เป็นได้

Someone from Nowhere เป็นงานภาพยนตร์ของปราบดาที่เราบอกได้เต็มปากว่าดูไม่ยากแถมยังสนุกอีกด้วย เมื่อบวกกับฝีมือการแสดงของนักแสดงนำทั้งสอง งานภาพสุดเนี้ยบและการเร้าจังหวะของหนังที่ค่อยๆ เพิ่มความตื่นเต้นจนเอาคนดูได้อยู่หมัด ชวนท้าทายสมองให้ขบคิดหลังหนังจบว่า เรามีโอกาสทวงคืนสิทธิ์ในชีวิตได้มากน้อยแค่ไหน และถ้าต้องทำจริงๆ เราต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง?

ภาพ Motel Mist + Someone From Nowhere

AUTHOR