เพิ่งลงจากภูเขาลูกหนึ่งมาหยกๆ ก็ป่ายปีนขึ้นสู่ลูกต่อไปทันที
ภูเขาไฟเซนท์เฮเลนซ์ (Mount St Helens) ซึ่งผมขึ้นไปหาและเพิ่งจะกลับลงมานั้นอยู่ในเขตป่าประเภท National forest (ป่าสงวนแห่งชาติ) ตามกฎแล้วไม่ต้องเสียค่าเข้าและสามารถเลือกพักแรมได้ตามสะดวก ตราบใดที่ไม่ผิดระเบียบที่เขาวางไว้
ภูเขาลูกที่กำลังปั่นจักรยานขึ้นไปหา คือภูเขาไฟเรเนียร์ (Mount Rainier) นั้นอยู่ในฐานะ National park (อุทยานแห่งชาติ) ซึ่งทุกคนต้องจ่ายค่าเข้าที่ด่าน (นักปั่นจ่าย 15 เหรียญสหรัฐ) มีการจัดสรรและจัดการพื้นที่มากกว่าด้วยจุดประสงค์ด้านการสันทนาการเป็นหลักนั่นเอง
ถ้าเทียบอุทยานแห่งชาติภูเขาเรเนียร์ ก็คงคล้ายเขาใหญ่บ้านเราที่อยู่ใกล้กรุงเทพ เรเนียร์อยู่ไม่ไกลจากเมืองใหญ่อย่างซีแอตเติล (Seattle) เท่าไหร่ จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อติดอันดับต้นๆ ของรัฐวอชิงตัน (Washington State) ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่ทางตอนเหนือสุดฝั่งตะวันตกของอเมริกา ชายแดนติดกับประเทศแคนาดา คนนิยมไปท่องเที่ยวพักผ่อนกัน บ้านพักและห้องพักสะดวกสบายสามารถจองและจ่ายเงินออนไลน์ หรือจะประหยัดกว่าด้วยการพักแรมตามลานกางเต็นท์ซึ่งกระจายอยู่ทั่วอุทยานก็ได้
ป่าอนุรักษ์อุดมสมบูรณ์ น้ำตกสวยหยดย้อยมากมายนับไม่ถ้วน เส้นทางเดินเทรลชมธรรมชาติงามหมดจดมากพอๆ กับปริมาณน้ำตกนั่นแหละ ธารน้ำแข็งก็มี อากาศสะอาดมาก มีกิจกรรมสำหรับครอบครัวที่พาลูกหลานมาเรียนรู้นอกห้องเรียน ทางอุทยานจัดเจ้าหน้าที่รับผิดชอบด้านนี้โดยเฉพาะ มีป้ายอธิบายเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพืชพรรณสัตว์ป่า รวมถึงระบบนิเวศภูเขาไฟด้วย โดยหวังว่านอกจากเพลิดเพลิน ได้ความรู้แล้ว ยังน่าจะสามารถปลูกฝังจิตสำนึกในการ “รักษ์” ธรรมชาติไปในตัวด้วย
กิจกรรมอีกอย่างที่นักท่องเที่ยวนิยมมาก คือการเดินเทร็กกิ้ง พวกที่แรงและเวลาเหลือเฟือก็เดินรอบเป็นวงกลม ระยะทางเบ็ดเสร็จหลายร้อยกิโลเมตร อาจใช้เวลาร่วมเดือน หรือเวลาน้อยหน่อยก็เลือกเดินแค่บางส่วน ซึ่งทุกคนต้องขอใบอนุญาติจากทางอุทยาน เหตุผลส่วนหนึ่งคือเรื่องความปลอดภัยของตัวนักท่องเที่ยวเอง เกิดอะไรขึ้นยังไงจะได้ติดตามช่วยเหลือกันถูก บางเส้นทางหรือบางช่วงมีความลาดชันมาก ถ้าไม่ทำความเข้าใจก็อาจจะเกิดอันตราย ได้รับอุบัติเหตุก็เป็นได้
อีกเหตุผลก็เพื่อดูแลธรรมชาติ สังเกตว่าเจ้าหน้าที่ใส่ใจและเคร่งครัดในเรื่องนี้ มีการพูดคุยรายละเอียดทุกอย่างกับคนที่มาขออนุญาติเดินเขาว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร แต่ละวันจะเดินได้ไกลประมาณไหน รวมถึงสามารถพักแรมตามจุดที่ทางอุทยานจัดไว้ให้ตรงไหนบ้าง
พวกฮาร์ดคอร์สุดเห็นจะเป็นนักปีนเขาซึ่งต้องมีทักษะและความกล้าพอสมควร นอกจากต้องขออนุญาติเป็นกรณีพิเศษแล้ว อาจจะต้องเข้าเรียนหลักสูตรการปีนเขา บริเวณตีนเขานอกอุทยานมีโรงเรียนที่สามารถเทคคอร์สได้ หน้าโรงเรียนเหล่านี้มีธงมนต์แขวนอยู่ ให้ความรู้สึกคล้ายทิเบตเนปาลประมาณหนึ่ง แม้ยอดเขาเรเนียร์ซึ่งสูง 4,392 เมตรนั้นจะเทียบชั้นกับยอดอันนาปูรนะหรือเอเวอเรสต์ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสามารถปีนขึ้นสู่ยอดได้อย่างง่ายดาย นักปีนเขาเชิงเทคนิคน่าจะรู้ดีว่าภูเขาทั้งมวลนั้นยิ่งใหญ่และการพยายามพิชิตยอดเขานั้นหมายถึงการสุ่มเสี่ยงพาตัวเองสู่อันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิตได้
ส่วนผมผู้เป็นเพียงนักปั่น (โลโซ) ต้องการชื่นชมความงามของภูเขาลูกนี้จากข้างทาง ปั่นเลาะขึ้นทางด่านฝั่งทิศใต้ ต้วมเตี้ยมเพลิดเพลินต้านแรงโน้มถ่วง แวะเดินเทรลสั้นๆ ไปหาน้ำตกบ้าง แวะคุยกับต้นไม้ที่มีไลเคนและมอสขึ้นเกาะเหมือนคุณปู่เครารก ทักทายต้นไม้ซึ่งมีเปลือกแปลกๆ เก็บผลไม้ป่ากิน ถ่ายรูปใบไม้ดอกไม้ริมทาง ส่วนยอดเขานั้นมองไม่เห็นเลย เพราะคุณม่านหมอกกับคุณก้อนเมฆพากันปิดเสียมิด ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะความงามไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้อแม้ว่าฟ้าจะต้องเปิดเท่านั้นสักหน่อย ความงามซุกซ่อนอยู่ทั่วไป ขึ้นอยู่กับว่าเรามองหาและเห็นมันหรือเปล่าต่างหาก
ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของเส้นทางที่ราว 1,700 กว่าเมตร เขาเรียกมันว่าพาราไดซ์ (Paradise) มีจุดบริการนักท่องเที่ยว ร้านขายของที่ระลึก และบ้านพักรองรับนักท่องเที่ยว คนเยอะดี รถราก็เยอะ มีนักปั่นหลงขึ้นมาอีก 2 คน ทักทายกันและหัวเราะที่ไม่เห็นยอดเขา แถมยังเจอลมแรงหอบความหนาวจัดพัดใส่อีก อุณหภูมิน่าจะลดเหลือเลขตัวเดียว นิ้วมือนิ้วเท้าชาและร่างกายสั่นงันงกขณะปล่อยลงเขาเพื่อเลาะไปยังด้านทิศตะวันออกของภูเขา ถนนซิกแซกลดระดับลงเรื่อยๆ เลาะไปตามหน้าผาชวนหวาดเสียว บางช่วงต้องลอดอุโมงค์สั้นๆ
มนุษย์ตัวเล็กนิดเดียว ธรรมชาติ(ยิ่ง)ใหญ่มาก
ถึงจุดต่ำสุดของเส้นทางที่ราว 400 เมตรจากระดับน้ำทะเล แล้วก็ปั่นขึ้นสู่อีกจุดสูงสุดที่พันสี่ร้อยกว่าเมตรเพื่ออ้อมเขาด้านทิศเหนือ ณ จุดนี้ฟ้าเปิดกว้างมากขึ้น คุณเรเนียร์เผยโฉมให้เห็นยอดคลุกเคล้าเมฆให้ได้ว้าวกันอีกแล้ว
การเดินทางสอนให้เราว้าวกับสิ่งรอบตัว ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ด้วย
ถ้าปั่นอ้อมไปทางด้านตะวันตกก็จะเป็นการปั่นรอบภูเขาลูกนี้โดยสมบูรณ์ แต่ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น ผมไม่ได้จาริกเหมือนนักแสวงบุญที่เดินรอบเขาไกรลาสสักหน่อย
ลาก่อนคุณเรเนียร์ หวังว่าจะได้พบกันอีกนะ