เดินทางขึ้นสู่พื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ทางหลวงหมายเลข 1 เลียบฝั่งสิ้นสุดลง ณ หมู่บ้านเล็กชื่อว่า Leggett และมาบรรจบกับทางหลวง 101 จุดนี้ทำให้นักปั่นทางไกลได้สัญจรร่วมกับพาหนะประเภทอื่นๆ ภูมิประเทศเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงอีกแล้ว
การเดินทางช่วงนี้เหมือนเรากำลังปั่นเข้าสู่ป่าสน เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ คนท้องถิ่นเรียกที่นี่ว่าป่าเร้ดวู้ดส์ เป็นไม้หลักที่ขึ้นในพื้นที่ ในหมู่บ้าน Leggett ผมมีโอกาสได้ทักทายต้นไม้ใหญ่ที่เปรียบเหมือนโคตรคุณทวดชื่อว่า Chandelier ในสวนกว้างที่ต้องจ่ายค่าเข้า 10 เหรียญ ต้องปั่นบนทางลูกรังแบบวันเวย์ ลัดเลาะผ่านป่า จนพบกับต้นไม้ยักษ์อายุปาเข้าไป 2,400 ปี! เขาเนื้อหอมและใครๆ ก็อยากถ่ายรูปด้วยเพราะความใหญ่โตมโหฬาร บริเวณตรงกลางของโคนต้นเจาะเป็นโพรงกว้างมากพอที่รถทั้งคันจะขับผ่านได้
ในป่าไม่ได้มีเฉพาะคุณทวดต้นนี้เท่านั้น แต่ยังมีต้นไม้อีกเยอะมากที่อายุอานามเกินพันปี บางต้นมีโพรง บางต้นใหญ่ขนาดสิบกว่าคนโอบ บางต้นเจ้าของที่ทำเป็นห้องข้างในให้คนเข้าชม ร้านค้าขายของที่ระลึกและร้านอาหาร รวมถึงที่พักกระจายตัวตลอดเส้นทาง ลานพักแรมของเอกชนและรัฐบาลจัดสรรไว้สำหรับคนขับรถบ้านและนักปั่นผู้หลงใหลธรรมชาติ แต่ก็ต้องระมัดระวังสัตว์ป่าบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมีดำ เวลาพักแรมเขาไม่แนะนำให้เก็บอาหารไว้ในเต็นท์ แต่ให้ใส่ไว้ในตู้เหล็กแทน
เมื่ออยู่ท่ามกลางคุณทวดเก่าแก่เหล่านี้ ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กน้อยซึ่งล้อมรอบด้วยผู้เฒ่าผมขาวแสนอ่อนโยน ในป่าแบบนี้อากาศสะอาด โอโซนบริสุทธิ์ กลิ่นป่าสูดดมเต็มปอดสดชื่น ดีต่อใจมากจริง ๆ
เท่าที่มีโอกาสได้เดินทางมา ผมคิดว่าตนเองเห็นโลกกว้างมาเยอะพอสมควรแล้ว แต่พบว่าพื้นผิวดาวเคราะห์สีน้ำเงินใบนี้ยังคงมีสิ่งน่าทึ่งให้ได้พบเจอ ยังมีสิ่งชวนตะลึงพรึงเพริดให้ได้สัมผัสใกล้ชิดอยู่เสมอ
ผมใช้เวลา 3 วันปั่นเนิบช้าไปตามถนนในป่าระยะทางเพียง 32 ไมล์ ถนนเส้นรองนี้มีชื่อเรียกว่า Avenue of the giants ตัดผ่านอุทยานรัฐ Humboldt redwoods state park ซึ่งขนานกับถนนเส้น 101 เมื่อปั่นเข้าไปในนั้นแล้วเหมือนได้อาบป่าเต็ม ๆ ได้ร่มเงาบังแดดแรงจากเจ้ายักษ์ใหญ่ทั้งหลาย มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติและจุดปิกนิกมากมาย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย พ่อแม่มักพาลูกๆ มาพักผ่อนและใช้เวลาร่วมกัน เด็กๆ วิ่งเล่นสนุกพร้อมกับได้เรียนรู้ความสำคัญของป่า
นอกจากพืชพันธุ์ดอกไม้แล้ว ที่นี่ยังมีโอกาสได้เจอสัตว์ท้องถิ่นขนาดใหญ่ เสมือนเป็น Amazing America คือเจ้ากวางเอลค์เขางาม ลำตัวยาวสองเมตรกว่า พวกมันชอบอยู่ริมทาง พากันเคี้ยวกินหญ้าเดินนวยนาดสบายใจ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องกระโดดหนีผู้คนส่วนหมีดำสายพันธุ์แคลิฟอร์เนียนั้นปกติไม่ได้ดุร้ายตัวใหญ่ทำร้ายคนเหมือนหมีกริซลี่ เพียงแต่ต้องคอยระวังสำรับอาหารที่เก็บขณะพักแรมบ้างเท่านั้น
จะว่าไป ทริปนี้เป็นทริปที่เหมาะกับผมมาก เพราะสามารถปั่นโง่ๆ ไปวันๆ มีเวลาที่ไม่ต้องเอาอะไรมาสุมให้รกสมอง แต่ก็มีเวลาที่พยายามใช้ความคิดด้วย สลับกันไป พอเริ่มเครียดจากการขบคิดเรื่องต่างๆ ก็หันมาโอบกอดธรรมชาติและตัวเอง เหนื่อยก็พัก ง่วงก็นอน ได้กินอิ่ม หลับสบาย ถ่ายคล่อง
แค่นี้ก็ดีมากพอแล้ว
ได้ทำงานไปด้วยขณะเดินทาง (รอบนี้ผมท่องเที่ยวนาน 4 เดือน) โน้ตบุ๊คไม่ได้เป็นส่วนเกิน แต่นับว่าเป็นเครื่องมือช่วยทำมาหากิน งานเอกสารขององค์กรเอกชนส่งมาให้ทางอีเมล์ แปลเสร็จก็ส่งกลับ ออฟฟิศอาจไม่ใช่ห้องหับในตัวอาคารเสมอไป แต่อาจจะเป็นใต้ต้นไม้ที่ไหนสักแห่ง ได้ทำงานหาเลี้ยงชีพ ไม่รวย แต่ไม่เป็นภาระสังคม ได้เดินทาง ทำในสิ่งที่รัก
แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
การเดินทางด้วยจักรยานโดนบังคับโดยปริยายไม่ให้แบกของเยอะและหนักเกินจำเป็น หนึ่งในสามของน้ำหนักในกระเป๋าคืออาหาร เครื่องดื่ม ที่เหลือคือเต็นท์ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านเคลื่อนที่ ย้ายไปปักตามสถานที่ต่างๆ แล้วก็มีเครื่องนอน เสื้อผ้าไม่กี่ชุด เตา หม้อ ชามช้อน สมุดบันทึก โน้ตบุ๊ค กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ เงินสดบ้าง เกินกว่านั้นนับว่าเป็น “ภาระ” หนักเปล่าเปลี้ย
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
บ้านผมหลังเล็กเท่าโลงศพ แต่สนามหญ้าหน้าบ้านหลังบ้านผมกว้างดีนะ
คุณโครตต้นไม้ยักษ์ทั้งหลายเฝ้ามองดูมนุษย์ซึ่งแวะเข้ามาเยี่ยมเยือนทักทายด้วยคนแล้วคนเล่า
ต้นไม้พันปีต่างอาศัยอยู่ หยั่งรากที่นี่มานานแล้ว นานจนผ่านไปไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นที่ได้พบเจอ รับรู้ความเป็นไปต่างๆอย่างเงียบงัน ไม่ได้แม้แต่จะปริปากบอก ว่าเหล่ามนุษย์เอ๋ย เจ้าเกิดมาตัวเปล่า มีเวลาบนโลกใบนี้แค่เหมือนลมพัดผ่านวูบเดียว แต่สะสมอะไรต่อมิอะไรขณะมีชีวิตอยู่เสียเยอะแยะ เมื่อพวกเจ้าล่วงหลับไป ก็หาได้สามารถเอาไปด้วยได้แม้แต่อย่างเดียว
แม้กระทั่งความทรงจำอันแสนงดงามนั้นก็ด้วยเถอะ