จาก Red Velvet สู่ Next in Fashion – Minju Kim ดีไซเนอร์ชาวเกาหลีใต้ผู้คว้าจับหัวใจคนทั่วโลก

หากใครเคยดู Next in Fashion รายการที่จับแฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดังมาแข่งขันในสไตล์เรียลลิตี้โชว์ทางเน็ตฟลิกซ์ ย่อมจะรู้จักชื่อของ Minju Kim แฟชั่นดีไซเนอร์ชาวเกาหลีใต้เป็นอย่างดี เพราะคิมไม่เพียงเป็นผู้ชนะในรายการนี้ แต่อาจพูดได้ว่า ด้วยคาแร็กเตอร์ที่ดูเป็นคนน่ารัก สบายๆ แถมยังถ่อมตัวเป็นที่สุด ยังส่งให้คิมกลายเป็นผู้เข้าประกวดที่ใครๆ ต่างพากันตกหลุมรัก

ในฐานะที่เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ระหว่างดู Next in Fashion ก็เอาใจช่วยคิมสุดหัวใจ แถมหลังจากที่ดูรายการนี้จบ เรายังไปคอยกดไลก์ดีไซน์เสื้อผ้าของแบรนด์ MINJUKIM เป็นประจำ คอลัมน์ Multi Brand ประจำสัปดาห์นี้เลยถือโอกาสพาไปรู้จักกับแฟชั่นดีไซเนอร์ชาวเกาหลีใต้ที่เราตกหลุมรักทั้งนิสัยใจคอและผลงานการออกแบบของเธออย่างหัวปักหัวปำ เผลอๆ หลังจากที่คุณอ่านจบก็อาจรู้สึกตกหลุมรักแบรนด์แฟชั่นแบรนด์นี้ขึ้นมาเหมือนกับเราก็ได้

Minju Kim

ความหลงใหลแฟชั่นในวัยเยาว์

“ตั้งแต่ที่เริ่มจำความได้ ฉันก็เป็นเด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างตลกและประหลาดมาโดยตลอด” ดีไซเนอร์สาวอายุ 33 เล่าย้อนถึงเรื่องราวในอดีตของเธอ ด้วยความเป็นเด็กที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ไม่แปลกเลยที่ใครๆ ต่างก็พากันตกหลุมรักคิมตั้งแต่วัยเยาว์ “ฉันคิดว่าความเป็นคนง่ายๆ เป็นสิ่งที่ติดตัวฉันมาตั้งแต่เกิดแล้วล่ะ”

นอกจากนี้คิมยังเป็นเด็กที่เติบโตมาท่ามกลางกองมังงะสูงพะเนิน ซึ่งเป็นการขลุกอยู่กับมังงะนี่เองที่ได้ผลักพาคิมไปสู่ความหลงใหลเสื้อผ้าและแฟชั่นในเวลาต่อมา

“หนึ่งในกิจกรรมสุดโปรดของฉันคือการอ่านมังงะ ฉันมักจะวาดภาพตัวละครในมังงะเรื่องต่างๆ รวมถึงเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ ฉันคิดว่าเป็นเพราะมังงะนี่แหละที่ทำให้ฉันเริ่มสนใจแฟชั่น” คิมอธิบาย

แม้ว่าคิมจะสนุกกับการวาดเสื้อผ้าของบรรดาตัวละครก็จริง นั่นก็ไม่ได้แปลว่าคิมจะรู้ตัวในทันทีว่าเธออยากเรียนต่อด้านแฟชั่น เพราะในระหว่างที่กำลังเรียนต่อระดับไฮสกูลที่นิวซีแลนด์นั้น ความฝันจริงๆ ของคิมคือการเป็นนักวาดการ์ตูนต่างหาก และเป็นพ่อกับแม่ของคิมที่โน้มน้าวให้เธอเรียนต่อด้านแฟชั่น แทนที่จะเป็นการวาดการ์ตูน

ด้วยเหตุนี้เมื่อถึงวัยมหา’ลัย คิมจึงได้เรียนต่อด้านแฟชั่นดีไซน์ที่ Samsung Art and Design Institute (SADI) ก่อนจะไปลับฝีมือต่อที่ Royal Academy of Fine Arts Antwerp ประเทศเบลเยียม (หนึ่งในมหาวิทยาลัยแฟชั่นที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และมีศิษย์เก่าอย่าง Martin Margiela แห่ง Maison Margiela และ Dries Van Noten) โดยที่ระหว่างเรียนที่นั่นคิมก็อยู่ภายใต้การดูแลของ Walter Van Beirendonck แฟชั่นดีไซเนอร์ชาวเบลเยียมผู้โด่งดัง ซึ่งช่วยให้คิมค้นพบสไตล์แฟชั่นของตัวเอง

“ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีที่เบลเยียม มันยากแล้วก็เหงามากๆ เลยนะสำหรับนักเรียนต่างชาติอย่างฉัน แต่ฉันก็เชื่อว่าขวบปีเหล่านั้นได้ทำให้ฉันค้นพบตัวเอง อีกอย่างคือฉันโชคดีมากๆ ที่ได้พบกับวอลเตอร์ เพราะเขาแสดงให้เห็นว่าการคว้าจับความฟุ้งฝันแฟนตาซีที่ล่องลอยอยู่ในหัวให้อยู่หมัด จนเปลี่ยนมันออกมาเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นนั้นสามารถทำได้จริงๆ

“วอลเตอร์ทำให้ฉันกล้าที่จะขยายโลกแฟนตาซีฟุ้งฝันของตัวเอง กล้าที่จะท้าทายกรอบคิดที่คอยกักขังฉันไว้ และกล้าที่จะเปล่งเสียงร้องของตัวเองผ่านแฟชั่นดีไซน์” 

จาก Dear My Friend สู่ Be Cover

ในระหว่างที่กำลังเรียนอยู่ที่แอนต์เวิร์ฟ คิมก็ได้คว้ารางวัลชนะเลิศจากเวที H&M Design Award ในปี 2013 ขณะที่มีอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะได้รับเงินรางวัลกว่า 50,000 ยูโรแล้ว คิมยังมีโอกาสได้สร้างสรรค์คอลเลกชั่น H&M เป็นของตัวเอง จนออกมาเป็นคอลเลกชั่น “Dear My Friend” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่นอย่าง Junji Ito จนออกมาเป็นเสื้อผ้าที่มีลายเซ็นเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อโค้ตสีเหลืองไร้ปก หรือเสื้อคลุมสีดำดีไซน์ล้ำที่ห่มคลุมไหล่ทั้งสองข้างจนมิดชิด

“การได้มีโอกาสออกแบบคอลเลกชั่นนี้กับ H&M ถือเป็นประสบการณ์ที่แสนวิเศษสำหรับฉันมาก ดีไซน์ของฉันคือการเปลี่ยนตัวละครต่างๆ เป็นเสื้อผ้า เพียงแค่ได้ลองจินตนาการว่าเสื้อผ้าเหล่านี้จะถูกสวมใส่โดยผู้คนต่างๆ ทั่วโลก ฉันก็ดีใจสุดๆ แล้ว” คิมเล่าอย่างตื่นเต้น

คิมเรียนจบจากแอนต์เวิร์ปในปี 2015 ซึ่ง Be Cover คอลเลกชั่นจบการศึกษาของเธอก็กลายเป็นที่พูดถึงอยู่ไม่น้อย โดยคิมได้หยิบเรื่องราวของ Elphaba แม่มดจากละครเพลงเรื่อง Wicked: The Untold Story of the Witches of Oz มาบอกเล่าใหม่ผ่านแฟชั่นดีไซน์

“เอลฟาบาเป็นหนึ่งในตัวละครที่ฉันชื่นชอบมากๆ ฉันจึงเลือกหยิบชีวิตของเธอมาบอกเล่าใหม่ผ่านคอลเลกชั่น Be Cover สำหรับฉัน เอลฟาบาคือตัวละครที่แม้จะมีพลังมหาศาลก็จริง แต่หัวใจของเธอกลับเปราะบางเสียเหลือเกิน แค่เพราะผิวพรรณของเธอมีสีสันที่แตกต่างไปจากคนอื่น ข้อเท็จจริงนี้จึงมักจะถูกมองข้ามอยู่เรื่อยๆ ฉันเลยอยากจะดีไซน์เสื้อผ้าให้กับเอลฟาบา และถ่ายทอดมันออกมาอย่างซื่อตรงโดยปราศจากอคติใดๆ”

จาก Red Velvet สู่ BTS และ It’s Okay to Not Be Okay

หลังจากที่คิมเรียนจบ เธอก็เดินทางกลับมายังเกาหลีใต้และเริ่มต้นแบรนด์ MINJUKIM นับจากวันแรกที่ก่อตั้งแบรนด์จนกระทั่งปัจจุบัน ชื่อของ MINJUKIM โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่การไปคว้ารางวัลชนะเลิศจาก Next in Fashion เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโอกาสที่หลั่งไหลเข้ามาไม่รู้จบ

อย่างในปี 2018 คิมก็ได้มีโอกาสออกแบบเสื้อผ้าให้กับวง BTS ในเพลง DNA และ I NEED U นอกจากนี้คิมยังเป็นดีไซเนอร์ที่ออกแบบเสื้อผ้าให้กับวง Red Velvet นับตั้งแต่เพลง One Of These Nights และในมิวสิกวิดีโอเพลง Rookie ซึ่งแฟนๆ ของวงเองก็ชื่นชอบและมองว่าสไตล์ของคิมสอดรับกับคาแร็กเตอร์ของ Red Velvet เป็นอย่างดี

Minju Kim
Minju Kim

นอกจากนี้ เสื้อผ้าของ MINJUKIM ยังเคยไปปรากฏอยู่ในซีรีส์เรื่องดังอย่าง It’s Okay to Not Be Okay อยู่หลายครั้ง ซึ่งนางเอกของเรื่องอย่าง Seo Yea-ji ก็ชื่นชอบแบรนด์ MINJUKIM ไม่แพ้กัน

Minju Kim

เมื่อถามว่าอะไรคือเอกลักษณ์ของ MINJUKIM หากว่ากันตามเสียงของนักวิจารณ์ เสื้อผ้าของคิมมักจะถูกนิยามทำนองว่า ‘เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้หญิงที่ทะลักล้นออกมาและสง่างาม’ หรือบ้างก็พูดถึงเสื้อผ้าของคิมว่า ‘เป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงที่สวมใส่เพื่อตัวเองและผู้หญิงคนอื่นๆ ไม่ใช่เพื่อความอภิรมย์ของสายตาผู้ชายคนใด’

ความเป็นผู้หญิงดูจะเป็นนิยามของคิมที่ชัดเจนและสัมผัสได้ อย่างที่คิมเองก็เคยกล่าวในบทสัมภาษณ์หนึ่งว่า 

“ดีไซเนอร์มักจะมี ‘muse’ (เทพธิดาที่เป็นแรงบันดาลใจของศิลปิน) เป็นของตัวเอง แต่สำหรับฉันไม่มีหรอก ฉันมักจะได้รับแรงบันดาลใจจากผู้หญิงในชีวิตประจำวันนี่แหละ เหล่าผู้หญิงที่ไม่เคยกลัวใคร และกล้าหาญที่จะเปิดเผยตัวตนของตัวเอง ฉันอยากเชิญชวนผู้หญิงเหล่านี้มาสู่โลกของ MINJUKIM และปรารถนาจะได้พบเห็นเสื้อผ้าของฉันตามท้องถนนทั่วไป

Minju Kim

“แต่นั่นแหละ ถึงที่สุดแล้วฉันก็แค่หวังว่าผู้คนที่สวมใส่เสื้อผ้าของฉันจะรับรู้ได้ถึงความสุขของฉัน การแบ่งปันความรู้สึกผ่านแฟชั่นคือความฝันของฉันเลย” คิมทิ้งท้ายถึงแรงบันดาลใจสำคัญที่ช่วยให้เธอยังคงสนุกอยู่กับการดีไซน์เสื้อผ้าในทุกๆ วัน

AUTHOR