เมื่อโควิดพาโลกเครียด แบรนด์และโฆษณาจะช่วยเยียวยาจิตใจของคนรุ่นใหม่ได้ยังไง 

โฆษณา โควิด ชีวิตของเราก่อนโควิด–เครียดบ้าง สุขบ้าง เศร้าบ้าง สลับกันไป

ชีวิตของเราหลังโควิด–เครียดมากๆๆๆๆๆ เศร้า หดหู่ จิตใจไม่มั่นคง หันไปเล่นกับแมวให้แฮปปี้ขึ้นหน่อย ก่อนหล่นลงสู่วังวนความเครียดอีกครั้ง

เชื่อว่ามีใครหลายคนที่ต้องตกอยู่ในสภาวะเดียวกับเรา ทั้งกลัว เครียด จิตตก แถมยังต้องเผชิญกับความรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์และหน้าที่การงาน ซึ่งแม้ว่าเราจะอยู่กับเหตุการณ์นี้มาปีกว่าแต่การรับมือกับโควิด-19 ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี 

กระทั่งทุกวันนี้เราก็ยังต้องคอยตั้งคำถามอีกมากมายหลายข้อ ที่ล้วนแล้วแต่สืบเนื่องมาจากการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งทำให้สุขภาพใจอันง่อนแง่นของประชาชนยิ่งไหวโคลงกว่าเดิม

ในช่วงเวลาแบบนี้ การออกไปเจอโลกภายนอกคือกลไกการลดความเครียดที่มีประสิทธิภาพที่สุดอย่างหนึ่ง ขอแค่ได้ฟังเสียงเมือง เสียงธรรมชาติ เสียงหัวเราะ และสัมผัสจากเพื่อนฝูง แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกจำกัดอีกครั้งเพราะการล็อกดาวน์ (ที่ไม่ได้ประกาศล็อกดาวน์ใช่ไหมนะ? แค่ขอความร่วมมือไม่ออกจากบ้านเฉยๆ) ซึ่งไม่ว่าจะนิยามยังไงก็ถือเป็นการฝืนธรรมชาติของสัตว์สังคมอย่างมนุษย์เราอยู่ดี

และกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดในยุคโควิด-19 ก็เห็นจะเป็นชาวเจนฯ Z และมิลเลนเนียลส์ทั่วโลกที่กำลังอยู่ในวัยใช้ชีวิตและเต็มไปด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ พวกเขาจึงรู้สึกเหมือนถูกพรากโอกาสดีๆ ในช่วงวัยเยาว์ไปอย่างน่าเศร้า แถมยังไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าชีวิตจะถูกโรคระบาดนี้พัดพาไปในทิศทางใด

ในช่วงเวลาแบบนี้นี่เองที่เป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ต่างๆ

เพราะคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพใจมากขึ้นเรื่อยๆ การที่แบรนด์ก้าวเข้ามาพูดเรื่องเหล่านี้ แสดงความเข้าอกเข้าใจ และทำให้เห็นว่ากำลังหาทางช่วยเหลือพวกเขาก็ย่อมได้ใจไปแบบเต็มๆ 

จากผลสำรวจของ YPulse องค์กรที่มุ่งเน้นสำรวจและหาข้อมูลเกี่ยวกับคนเจนฯ Z และมิลเลนเนียลส์เป็นหลัก เปิดเผยว่าในช่วงเวลาของโควิด-19 นั้น มากถึง 2 ใน 5 คนของผู้บริโภคจะแสดงความชื่นชอบในแบรนด์ที่พูดหรือให้ไอเดียในการรักษาสุขภาพใจ

และไหนๆ เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็เป็น Mental Health Awareness Month ทั้งที เราเลยอยากโชว์ให้เห็นว่า ในวันที่โควิด-19 ทำให้โลกเครียดขนาดนี้ แบรนด์และงานโฆษณาจะช่วยอะไรได้บ้าง

01

Wanna Talk About It?
Netflix

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

A post shared by Netflix US (@netflix)

เริ่มด้วยแคมเปญจากสตรีมมิงแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่างเน็ตฟลิกซ์ ที่ร่วมมือกับโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มใหญ่ยักษ์อย่างอินสตาแกรม ซึ่งเปรียบเสมือนแหล่งรวมกลุ่มเป้าหมายเจนฯ Z และมิลเลนเนียลส์ เพื่อช่วยเหลือพวกเขาในวันที่ต้องเผชิญกับสภาวะความไม่มั่นคงทางใจในรูปแบบต่างๆ 

โดยทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกันจัดเซสชั่นรายสัปดาห์ชื่อว่า “Wanna Talk About It?” ที่เชิญนักแสดงดังขวัญใจกลุ่มเป้าหมายอย่าง Noah Centineo, Joey King, Ross Butler และตัวท็อปอีกมากมายมาจับคู่คุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตกันในไลฟ์ในหัวข้อต่างๆ เช่น 

“เราจะจัดการกับ anxiety (อาการวิตกกังวล) ได้ยังไง” 

“นอนไม่หลับทำยังไงดี” 

“เราจะ stay connected กันได้ยังไงในสถานการณ์แบบนี้” 

และอีกหลากหลายปัญหายอดนิยมของเหล่าวัยรุ่น เป็นการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มที่มี ร่วมกับความดังของแบรนด์และความดังของดาราได้อย่างดีและได้ใจมากๆ สำหรับเรา


02

#LightenTheLoad
JanSport

JanSport คือแบรนด์กระเป๋าที่ชื่ออาจไม่กระดิกหู แต่ถ้าเสิร์ชรูปกระเป๋าดูแล้วต้องร้องอ๋ออย่างแน่นอน กระเป๋าหน้าตาคลาสสิกแบรนด์นี้ครองใจวัยรุ่นมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อกลุ่มเป้าหมายของพวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายทางจิตใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกเขาจะทำยังไง?

ถึงโลกจะก้าวหน้าไปไกล แต่บางครั้งการพูดถึงปัญหาสุขภาพจิตก็ยังเป็นเรื่องน่าอาย ทำให้หลายคนยังไม่กล้าที่จะพูดถึงมัน และปัญหาใหญ่ของเหล่าวัยรุ่นคือพวกเขาควรพูดเรื่องนี้กับใคร

JanSport อยากแสดงให้วัยรุ่นเห็นว่าแบรนด์เข้าใจและพร้อมช่วยเหลือ ให้พวกเขาสามารถพูดคุยเรื่องนี้ได้อย่างไม่ต้องอาย พวกเขาจึงจัด live session ในคอนเซปต์ #LightenTheLoad ชวนมาระบายสิ่งที่ทำให้ใจหนักอึ้งกับนักบำบัดที่ทางแบรนด์เชิญมาพูดคุยในหลายหัวข้อ ทั้งความโดดเดี่ยว ความไม่แน่นอนของชีวิต เรื่องครอบครัว รวมไปถึงการตามข่าวสารของโลกโดยไม่ทำให้ใจของเราหนักเกินไป

หลากหลายคำถามและคำปรึกษามากมายถูกแลกเปลี่ยนกันผ่านเซสชั่นเหล่านี้ ซึ่งผลลัพธ์นั้นทำให้คนที่ขอคำปรึกษาก็เบาใจ ส่วนแบรนด์เองก็ได้ใจจากคนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน


03

#MentalHealthAwareness
TikTok

เรื่องสนุกมากมายเกิดขึ้นได้บน TikTok แม้แต่เรื่องสุขภาพจิตใจเราก็ทำให้สนุกได้

โฆษณา โควิด งานนี้ TikTok และเหล่า TikToker ทั้งหลายไม่ได้เอาเรื่องสุขภาพจิตมาทำให้เป็นเรื่องตลกเหมือนที่หลายคนคุ้นเคย แต่ TikTok ตัดสินใจสร้างแฮชแท็ก #MentalHealthAwareness ที่เอาไว้พูดคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยเหล่าครีเอเตอร์ทั้งหลายก็ใช้ความครีเอทีฟส่วนตัวสร้างสรรค์วิดีโอที่มีเนื้อหาทั้งให้ความรู้ แชร์ประสบการณ์ส่วนตัว ให้กำลังใจ และอีกหลากหลายรูปแบบ 

แน่นอนว่าด้วยเสน่ห์ส่วนตัวของ TikTok ก็ทำให้เรื่องหนักๆ นั้นง่ายต่อการทำความเข้าใจ และง่ายต่อการเปิดอกพูดคุยกันมากขึ้นด้วย


04

Whatever Gets You Talking
Ad Council

สถานการณ์โรคระบาดทำให้เราต้องเป็นห่วงทั้งสุขภาพของตัวเอง เป็นห่วงคนในครอบครัว รวมไปถึงคนรอบตัวที่เรารักเหมือนครอบครัวด้วยเช่นกัน

และทุกอย่างก็ยิ่งยุ่งยากซับซ้อนเมื่อนึกเป็นห่วงแต่ก็ออกไปเจอไม่ได้ จะส่งข้อความไปก็ออกจะขัดเขิน ไม่รู้จะขึ้นต้นบทสนทนานั้นยังไง จนสุดท้ายเราอาจทำความสัมพันธ์หล่นหายไปในช่วงโควิด-19 ได้

ด้วยอินไซต์เหล่านี้ Ad Council องค์กรที่คอยพูดถึงประเด็นสังคมต่างๆ ในอเมริกามาตลอดจึงขอมีส่วนร่วมด้วย โดยการจับมือกับเอเจนซี Droga5 ครีเอต “Whatever Gets You Talking” วิดีโอสีสันสดใสกับเพลงแรปสบายๆ โดยแรปเปอร์หนุ่ม Akinyemi ที่พูดว่ามีอีกหลากหลายวิธีเหลือเกินที่เราจะพูดกับเพื่อนเรื่องสุขภาพใจได้

แถมยังต่อยอดไปยังเว็บไซต์ seizetheawkward.com ที่พูดเรื่องนี้โดยเฉพาะด้วยนะ


05

Be Kind to Your Mind
Snapchat and Headspace

ท่ามกลางกิจกรรมยอดฮิตที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงล็อกดาวน์ ทั้งการสวมบทมาสเตอร์เชฟ เป็นดาว TikTok และปลูกต้นไม้ อีกกิจกรรมที่เป็นกระแสมาแรงโดยเฉพาะในต่างประเทศคือการ “ทำสมาธิ” ซึ่งจัดว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยกำจัดความเครียดได้อย่างชะงัด

แอพพลิเคชั่น Snapchat มองเห็นโอกาสและช่องว่างในจุดนี้ เมื่อลงมือสำรวจจนพบว่าผู้ใช้งาน Snapchat กว่า 73 เปอร์เซ็นต์รู้สึกเครียดกว่าเดิมหลังการระบาดของโควิด-19 พวกเขาจึงจับมือกับ Headspace แอพพลิเคชั่นทำสมาธิที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก และสร้างเซกชั่น “Headspace Mini” พื้นที่พิเศษใน Snapchat ที่ให้คนฝึกทำสมาธิได้ง่ายๆ 

ความพิเศษอีกอย่างที่ไม่ทิ้งลายเซ็นความเป็นแอพฯ โซเชียลมีเดียนั่นคือเราสามารถชวนเพื่อนมาทำสมาธิร่วมกันได้ ทำให้การทำกิจกรรมใหม่เป็นเรื่องง่ายและไม่เหงาจนเกินไป


06

Sound The Excuse
TBWA

“ฮัลโหลๆ ทีมได้ยินไหม”

“เห็นหน้าจอที่แชร์หรือยัง”

“ปิด / เปิดไมค์หรือยังนะเรา”

หลังจากล็อกดาวน์ สิ่งที่ตามมาก็คือการเวิร์กฟรอมโฮม ซึ่งพฤติกรรมใหม่นี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิดความเครียดและความวิตกกังวลให้เราแบบไม่รู้ตัว ทั้งการพูดคุยผ่านหน้าจอที่ทำให้ยากต่อการอ่านภาษากาย หรือการรับ-ส่งจังหวะก็ขาดๆ หายๆ ไปตามสัญญาณ wi-fi และที่สำคัญคือสมาธิของเราก็ดูเหมือนจะหลุดง่ายกว่าเดิมหลายเท่าตัว

กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของคนอังกฤษบอกว่าการเวิร์กฟรอมโฮมส่งผลเป็นลบต่อสภาพจิตใจของพวกเขา เอเจนซี TBWA ที่นั่นจึงคิดแคมเปญ “Sound The Excuse” ครีเอตคลิปเสียงพร้อมเหตุผลประกอบสำหรับใช้หลบหนีจากการประชุมผ่าน Zoom ตั้งแต่แมวป่วย คอมฯ ระเบิด ไปจนถึงรูมเมตติดอยู่ในส้วม! แต่เบื้องหลังเหตุผลบ้าๆ บอๆ เหล่านี้ สิ่งที่ TBWA อยากจะบอกก็คือ ไม่มีใครต้องหาข้ออ้างเพื่อหยุดพักแล้วรักษาสุขภาพใจหรอก 

แต่ถ้าคุณกำลังเผชิญกับสภาวะอย่างนั้นอยู่ ขอเชิญที่เว็บไซต์ soundtheexcuse.com

แน่นอนว่าเอเจนซีที่ใส่ใจสุขภาพใจของพนักงานแห่งนี้คือบริษัทที่ใครๆ ก็อยากร่วมงานด้วย ส่วนในแวดวงโฆษณาที่ไทยนั้นเป็นยังไงกันบ้างน้อ (ชะเง้อ)

โฆษณา โควิด
เครดิตภาพจาก thedrum.com

ในสภาวะแห่งความยากลำบากและไม่มั่นคงทางใจ สิ่งที่แบรนด์ต้องทำไม่ใช่แค่การสร้างเทรนด์สนุกๆ ฮิตๆ จับความสนใจในระดับเปลือกผิวอีกต่อไป หากอยาก “ได้ใจ” ก็ต้องแสดงให้คนเห็นว่าคุณ “สนใจ” สิ่งที่อยู่ในใจพวกเขาและ “เข้าใจ” พวกเขาจริงๆ


อ้างอิง

prweek.com

sea.mashable.com

techcrunch.com

thedrum.com

ypulse.com

AUTHOR