เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน ภายในสตูดิโอแห่งหนึ่งย่านดอนเมือง กลุ่มคนอันประกอบไปด้วยพวกเรา 9 คน และโอ๊ต มณเฑียร กำลังนั่งลงและมองชายหนุ่มนู้ดตรงหน้าพร้อมชาร์โคลแท่งในมือ
เรากำลังนั่งอยู่ในคลาสสอนวาดรูปนู้ดผู้ชายของโอ๊ต ศิลปินและนักวาดภาพประกอบชื่อดัง การพบกันของพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม See Saw Zine ในเทศกาลหนังสือทำมือ Make a Zine ครั้งที่ 3 ตอน ExtraOrdinary สมาชิกบางส่วนในกลุ่มนี้คือผู้สมัครเข้ามาร่วมกิจกรรม โดยพวกเขาจะนำประสบการณ์ที่กำลังจะเจอไปทำเป็นซีนเพื่อโชว์ในงานวันที่ 28 กรกฎาคมนี้
ต้องยอมรับว่าการเจอกันครั้งแรกในบรรยากาศสตูดิโอของโอ๊ตนั้นสร้างความไม่คุ้นชินในใจเราพอสมควร แสงเทียนและสิ่งของประดับประดาที่คั่นกลางระหว่างคนที่เพิ่งเจอกันอาจเป็นปัจจัยสำคัญของความรู้สึกนั้น พอคิดดูแล้วก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เมื่อการเจอกันครั้งแรกของพวกเรากำลังจะมีผู้ชายไร้เครื่องห่มกายเป็นสักขีพยาน
แต่เมื่อโอ๊ตปรากฎตัวเข้ามาในห้องและเชื้อเชิญนายแบบให้เดินเข้ามา ตอนนั้นเองที่บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไป
เราเริ่มสัมผัสได้ถึงหัวใจของทุกคนที่พร้อมเปิดรับ และรับรู้ได้ตั้งแต่แรกเริ่มว่าประสบการณ์ในอีกหลายชั่วโมงต่อจากนี้จะต้องวิเศษสำหรับเราแน่ๆ โอ๊ตเริ่มต้นเกริ่นกับเราด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่าในคลาสนี้ เขาไม่ได้ต้องการให้ทุกคนวาดรูปให้สวย แต่ที่เขาอยากพาเราไปถึงคือการวาดรูปเป็นโดยรูปต้องไม่ตายมากกว่า วิธีการที่โอ๊ตใช้คือการทดลองให้เราสัมผัสสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันระหว่างการวาดนายแบบ ช่วงเวลาเหล่านั้นเองที่เขาจะชี้ให้เราดูว่า ‘ความเป็น’ ที่ซ่อนอยู่ในรูปของแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร
ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมตัวตั้งสติ
เรากำลังจะดำดิ่งลงลึกเข้าไปในตัวตนเพื่อวาดความทรงจำที่มีชีวิต
สมอง / ความคิด
ในเวลาปกติ เมื่อมีอะไรมาปรากฎขึ้นตรงหน้า อย่างแรกที่เราทำคือการมองและพิจารณามันด้วยประสบการณ์ที่ตัวเองมี และเราคิดว่าคลาสของโอ๊ตเริ่มต้นด้วยหลักการนี้เอง
ในคลาสนี้เมื่อนายแบบโพสท่าให้เราวาด การทดลองของโอ๊ตจะเริ่มต้นขึ้นโดยกระตุ้นเราด้วยปัจจัยภายนอกที่ต่างกัน จุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความคิดแรกในหัวที่ต่างไปเรื่อยๆ ซึ่งความคิดเหล่านี้เองคือปัจจัยตั้งต้นของเส้นที่กำลังจะเกิดขึ้น
โอ๊ตเริ่มตั้งแต่การดัดแปลงสัมผัสด้านกลิ่นด้วยการจุดกำยาน ตามมาด้วยการหาความต่างของภาพความคิดระหว่างเปิดเพลงคลาสสิกและเฮฟวี่เมทัล หรือการเล่นกับแสงที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปตั้งแต่สปอตไลต์สีชมพูไปถึงการปิดไฟพร้อมกับท่วงท่าของนายแบบ ปัจจัยเหล่านี้แปรเปลี่ยนความคิดเราไปเรื่อยๆ โดยแปรผันกับประสบกาณ์ส่วนตัวของแต่ละคน
ดังนั้นก็คงไม่แปลกเลยถ้าผู้ชายนู้ดหนึ่งคนตรงหน้าจะทำให้เราเกิดความคิดที่ไม่เหมือนกัน
หัวใจ / ความรู้สึก
เมื่อรับรู้ด้วยความคิด สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึก
ภาพที่เห็น กลิ่น อุณหภูมิในห้อง หรือแม้แต่ลักษณะภายนอกของนายแบบล้วนมีผลต่อใจระหว่างวาด เราสังเกตตัวเองได้ง่ายๆ ว่ามีความต่างอย่างมากระหว่างการวาดตอนฟังเพลงเฮฟวี่เมทัลกับเพลงคลาสสิก รวมถึงเรายังสัมผัสความต่างทางอารมณ์แม้เพียงเล็กน้อยในใจตัวเองได้ตอนที่เห็นสีหน้านายแบบกำลังเปลี่ยนไป ประหลาดใจเหมือนกันที่เราสัมผัสสิ่งที่อีกคนแสดงออกมาได้แม้เพียงแค่มองหน้าและร่างเปล่าเปลือย และแปลกดีเหมือนกันที่พอเราได้มีเวลาอยู่กับตัวเองในเวลานิ่งๆ มันทำให้เราจับความรู้สึกตัวเองได้ชัดกว่าปกติ ทั้งที่ในทุกวัน เรามีความรู้สึกเป็นร้อยเป็นพันเกิดขึ้นในใจ แต่ ณ ห้วงเวลาตรงนั้นไม่กี่นาที เรากลับเข้าไปสัมผัสหัวใจตัวเอง (และคนอื่น) ได้อย่างไม่ต้องพยายามเลยด้วยซ้ำ
มือ / การแสดงออก
หลายคนน่าจะสงสัยว่าถ้าไม่มีพื้นฐานการวาดแล้วจะมาเข้าร่วมคลาสนี้ได้หรือเปล่า ซึ่งเราได้คำตอบเมื่อคลาสนี้ดำเนินไปเพียงไม่นาน
เราสรุปได้ว่าการวาดในคลาสของโอ๊ตเป็นเหมือนการถ่ายทอดความคิดและความรู้สึก สิ่งที่โอ๊ตย้ำกับเราตั้งแต่แรกคือคลาสนี้จะไม่มีคำจำกัดความของคำว่าสวย เส้นทั้งหมดจะถูกกลั่นออกมาจากตัวเราผ่านเทคนิคที่โอ๊ตจัดสรรให้เราได้ลอง อาวุธหลักของเราคือมือที่ถือแท่งชาร์โคลเอาไว้ แต่เรายังได้ทดลองอีกหลายเทคนิค อย่างการวาดด้วยสีที่แทนความรู้สึก หรือการลองวาดในหน้ากระดาษที่ไม่ใช่สีขาว ทุกการตวัดมือในทุกๆ การทดลองปราศจากความกลัวที่จะผิดในใจเรา เหตุผลอาจเป็นเพราะคำพูดของโอ๊ตที่อยากให้เรามีคือความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง รู้สึกนึกคิดอย่างไรก็จงถ่ายทอดมันออกมา
หลังจากทำตามคำแนะนำของโอ๊ตในคลาส เมื่อสังเกตดูเราจะพบว่าเส้นเรียบเบาที่เดินไปบนหน้ากระดาษจะพอดีกันกับอารมณ์และความคิดตอนสงบนิ่งของเรา ต่างกับเส้นสะเปะสะปะที่มาพร้อมกับมวลภายนอกที่สับสนปนเป ในบางช่วงเรารู้สึกเหมือนกับว่ามือเราแค่ขยับตามสมองและหัวใจ เส้นเหล่านี้เหมือนช่องทางระบายออกของอะไรบางอย่าง ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร
แต่ที่แน่ๆ คือมันเป็นการระบายออกที่เรารู้สึกดี
จิต / การตระหนักรู้
ถ้าจะมีอะไรบางอย่างที่คลาสสอนวาดรูปของโอ๊ตสอนเราได้ดีที่สุด เราคิดว่ามันคงเป็นส่วนนี้
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ กระบวนการของเราดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอน เราประมวลผลความคิดระหว่างมองเรือนร่างของนายแบบ ตามมาด้วยการรับรู้ปัจจัยภายนอก จนกลั่นออกมากลายเป็นความรู้สึกที่พร้อมจะถ่ายทอด
ในชีวิตปกติ การทำงานของหลายคนรวมถึงเราเองมักจะมาจบที่ขั้นตอนนี้ แต่ที่โอ๊ตพยายามบอกเราก็คืองานทั้งหมดทั้งมวลที่ทำมาจะไม่มีทางมีชีวิตได้เลยถ้าขาดขั้นตอนสุดท้ายที่เรียกว่าการตระหนักรู้
ในวันนี้สภาพแวดล้อมที่โอ๊ตสร้าง ความเงียบที่คั่นกลางและห้วงเวลาทั้งหมดที่ไหลไปนั้นเอื้อให้เราสามารถลงลึกเข้าไปในตัวตนอีกขั้น ยิ่งดำดิ่ง เรายิ่งพบว่าสุดท้ายก็มีแค่ตัวเรากับตัวเราที่กำลังสนทนากัน การสำรวจตัวเองระหว่างวาดทำให้เราถามหลายคำถามหลายข้อตั้งแต่เรื่องภายนอกไปจนถึงเรื่องตัวตนภายใน
เรากำลังทำอะไรอยู่?
เรากำลังคิดอะไร?
ตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร?
มีอะไรเกิดขึ้นในตัวเราบ้าง?
และจริงๆ แล้วตัวเราเป็นใครกันแน่?
คำตอบของทุกคำถามค่อยๆ ปรากฏขึ้นในห้วงเวลานั้นเอง ระหว่างที่เส้นสีดำจากแท่งชาร์โคลกำลังเก็บภาพความทรงจำจากผู้ชายนู้ดตรงหน้า คำตอบของเราเหมือนจะแฝงตัวอยู่ในเส้นเหล่านั้น โอ๊ตเสริมความคิดนี้กับเราเช่นกันว่าในงานวาดของเขา มันมักจะประกอบไปด้วยตัวแบบ 50 เปอร์เซ็นต์ และตัวเราอีก 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง 50 เปอร์เซ็นต์จากตัวเราจะมีลมหายใจเสมอถ้ามันมาจากการตระหนักรู้จากภายใน
เหลือบดูนาฬิกา ตัวเลขบอกเราว่าคลาสนี้กำลังเดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย กว่าสิบการทดลองที่พวกเราได้ทำร่วมกันเกิดเป็นภาพวาดที่บ่งบอกตัวตนเกือบร้อยรูป ในช่วงท้าย โอ๊ตให้เราอวดผลงานที่ชอบให้กันและกันดูพร้อมสนทนาถึงงานเหล่านั้น น่าแปลกที่พอเราเห็นรูปของแต่ละคน เรารู้สึกว่ารู้จักเขามากขึ้นโดยที่ในความเป็นจริงเราแทบไม่ได้พูดกันสักคำ
เราร่ำลากันหลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนเดินออกจากสตูดิโอแห่งนี้โดยรู้สึกเหมือนได้ยกอะไรบางอย่างออกมาจากใจ อะไรที่ยุ่งเหยิงกลับกลายเป็นชัดเจนเพียงไม่กี่ชั่วโมง เหมือนกับว่าการวาดรูปนู้ดผู้ชายในครั้งนี้ได้เยียวยาพวกเราทั้งกระบวนการคิด ความรู้สึก การกระทำ และการตระหนักรู้ เรากลายเป็นอีกกลุ่มคนที่มีความทรงจำร่วมกัน
วินาทีนั้นเองที่เราตระหนักถึงสิ่งสุดท้ายอันเป็นการปิดคลาสนี้อย่างสมบูรณ์
‘ศิลปะได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว และช่วงเวลานี้จะประกอบร่างเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้เรามีชีวิต’
ภาพ พชรธร อุบลจิตต์