ครั้งแรกที่ได้ดูตัวอย่าง Lovecraft Country หน้าฟีดของเราเต็มไปด้วยกระแสการขับเคลื่อน Black Lives Matter ที่กำลังร้อนแรง
จังหวะดีไปกว่านี้ไม่มี–เราคิด ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจของผู้สร้างหรือไม่ การฉายซีรีส์เกี่ยวกับคนดำในเวลาที่เสียงของคนดำดังที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจ ยิ่งเป็นแนวไซ-ไฟ ระทึกขวัญของช่อง HBO ที่จัดหนักจัดเต็มเรื่องเลือดสาด แถมในตัวอย่างยังเผยให้เห็นการเดินทางเข้าไปในดินแดนลึกลับ มีสัตว์ประหลาดโผล่วับๆ แวมๆ ให้ได้ตื่นเต้น ซีรีส์เรื่องนี้ก็ถูกเพิ่มเข้าไปใน watch list ของเราได้อย่างง่ายดาย
และเมื่อเกาะขอบจอรอดูทุกสัปดาห์จนจบ เราขอมอบตำแหน่งซีรีส์ระทึกขวัญที่ทะเยอทะยานที่สุดของปีให้โดยไร้กังขา
HBO
ส่วนผสมของความไซ-ไฟและระทึกขวัญ
Lovecraft Country ดำเนินเรื่องในช่วงปี 1955 ยุคที่กฎหมาย Jim Crow ถูกบังคับใช้ในตอนใต้ของอเมริกาเพื่อแบ่งชนชั้นคนดำกับคนขาว Atticus Freeman หรือ ‘ทิค’ (รับบทโดย Jonathan Majors) ทหารผ่านศึกที่กลับบ้านมาเพราะได้จดหมายจากพ่อที่หายตัวไป เขาพบกับ Letitia Lewis (รับบทโดย Jurnee Smollett) เพื่อนสนิทในวัยเด็กผู้โดนพี่สาวผลักไสออกจากบ้าน
ประจวบเหมาะกับเวลานั้น George Freeman (รับบทโดย Courtney B. Vance) ลุงของทิควางแผนจะขับรถข้ามประเทศเพื่อเขียน The Safe Negro Travel Guide (หนังสือบันทึกเส้นทางท่องเที่ยวที่ปลอดภัยสำหรับคนดำ) ทิคและเลตี้จึงขอติดรถไปด้วยโดยมีจุดหมายคือ Ardham เมืองที่มีชื่อปรากฏในจดหมายของพ่อ แล้วทั้งสามก็ออกเดินทางโดยไม่รู้เลยว่าชีวิตของพวกเขากำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
HBO
ถ้ายกเหตุผลขึ้นมาขายได้แค่ข้อเดียว เราจะบอกว่า Lovecraft Country มีผู้กำกับหนังสยองดีกรีออสการ์เรื่อง Get Out อย่าง Jordan Peele จับมือกับ J.J. Abrams โปรดิวเซอร์เจ้าของโปรเจกต์ซีรีส์ไซ-ไฟอย่าง Lost, Fringe รวมทั้งหนัง Star Trek มาคุมงานเบื้องหลัง ถ้าถามว่าหากจับความเขย่าขวัญแบบพีลมาเขย่ารวมกับสัตว์ประหลาดของเอบรัมส์จะได้ผลลัพธ์แบบไหน คำตอบคือ Lovecraft Country นี่แหละ
ซีรีส์ยังได้ Misha Green โชว์รันเนอร์ผู้เคยผ่านงานซีรีส์เกี่ยวกับการต่อสู้ของคนดำอย่าง Underground มากุมบังเหียนใหญ่ โดยสร้างจากนิยายแนว dark fantasy-horror ชื่อเดียวกันของ Matt Ruff ซึ่งหยิบจับองค์ประกอบในนิยายของ H. P. Lovecraft นักเขียนนิยายสยองขวัญในอดีตมายำใหม่
เมื่อมีวัตถุดิบชั้นดีในมือ กรีนก็ไม่ปล่อยให้มันเสียของ
HBO
สารพัดปีศาจเอาใจคนดูซีรีส์สยอง
หลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับชื่อ เอช. พี. เลิฟคราฟต์ คงสงสัยว่าเขาเป็นใคร คำตอบคือผู้ให้กำเนิดงานเขียนแนวสยองขวัญและอสุรกายหลายตัวซึ่งกลายเป็นต้นแบบให้นักเขียนยุคใหม่ ยกตัวอย่าง Cthulhu อสุรกายหน้าตาคล้ายปลาหมึกที่นับว่าโด่งดังที่สุดนั้นเป็นต้นแบบให้ Stephen King ไปสร้างตัวละคร ‘เทพโบราณ’ (หรือก็คือ Pennywise) ในหนังเรื่อง It, Dark รวมถึงหนังเรื่อง Evil Dead และ The Thing งานของเลิฟคราฟต์ยังทำให้เกิดประเภทของเรื่องสยองที่เรียกว่า Lovecraftian ซึ่งมักมีอสุรกายที่เป็นดั่งเทพเจ้าแบบ Cthulhu ปรากฏในเรื่อง
แน่นอนว่าในเรื่องนี้ เหล่าสัตว์ประหลาดของเลิฟคราฟต์ต้องมาปรากฏตัวไม่มากก็น้อย แต่สิ่งที่ผู้สร้างเพิ่มเข้าไปต่างหากที่ทำให้คอหนังสยองได้ร้องวี้ดว้ายกันอย่างจุใจ เพราะนอกจากอสุรกาย คนดูยังได้เห็นเวทมนตร์ที่ไม่ใช่การร่ายอาบราคาดาบราไก่กา แต่สามารถทำให้คนเจ็บปวดหรือเป็นอมตะได้เลย
ถ้าใครชอบเรื่องผี เรื่องนี้ก็มีฉากการไล่ผีแบบอเมริกันชน ไหนจะมีคำสาปวิญญาณตามติด เทพเจ้าฝั่งตะวันออก มนุษย์ต่างดาว ไปจนถึงน้ำยาแปลงร่าง สารพัดเรื่องน่าขนลุกรวมอยู่ในซีรีส์เรื่องนี้จนเราตั้งรับไม่ทัน
HBO
การเดินเรื่องแสนทะเยอทะยาน
“มันคือซีรีส์สเกลใหญ่ ฉัน pitch ซีรีส์สเกลใหญ่มา เราอยากให้มีทุกรสชาติในเรื่อง อยากไปทุกที่ ท้องฟ้า ดวงจันทร์ จักรวาลคือลิมิตของเรา” กรีนผู้กุมบังเหียนเปรียบเปรยความทะเยอทะยานอันไม่มีที่สิ้นสุดของเธอ
นับว่ากรีนเป็นคนพูดจริงทำจริง เพราะจุดเด่นของ Lovecraft Country คือสไตล์การดำเนินเรื่องที่เปลี่ยนไปในทุกตอนตามเหตุการณ์ที่เกิดกับตัวละคร ซีรีส์เปิดด้วยการเล่าเรื่องการเดินทางข้ามรัฐสุดระทึก ตัวละครต้องวิ่งหนีสัตว์ประหลาดกันหัวซุกหัวซุน ก่อนที่ตอนต่อมาเมื่อตัวละครย้ายเข้าบ้านผีสิง ซีรีส์ก็ปรับการเดินเรื่องให้เหมือนหนังสยองขวัญ พอตัวละครต้องออกเดินทางตามหาของมีค่า ซีรีส์ก็กลายเป็นหนัง Indiana Jones ไปเสียอย่างนั้น บางตอนออกจักรวาลไปไกลจนเราต้องตบอกแล้วอุทานว่า ‘เดี๋ยวนะ แป๊บนึง มันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง’ พูดง่ายๆ คือเหมือนได้ดูหนังหลายๆ เรื่องในซีรีส์หนึ่งซีซั่น
บางคนอาจมองว่าสไตล์การเดินเรื่องสุดทะเยอทะยานนี้ขาดเอกภาพและทำให้ไม่ต่อเนื่อง แต่สำหรับเรา ความสนุกของเรื่องนี้คือการเดาไม่ได้ว่าตอนต่อไปจะมาในสไตล์ไหนนี่แหละ
HBO
วัฒนธรรมอันรุ่มรวยและเรื่องจริงที่เจ็บปวด
ตั้งต้นว่าเป็นซีรีส์พีเรียดที่ดำเนินเรื่องในช่วงทศวรรษ 1950s สิ่งที่คนดูคาดหวังได้เลยคือการเห็นวัฒนธรรมของคนดำอันรุ่มรวยถูกถ่ายทอดอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งงานสร้างที่มีต้นแบบมาจากภาพถ่ายเก่าแก่ของคนดำราวกับได้ย้อนเวลากลับไปถ่ายในยุคนั้น หรือด้านเพลงประกอบที่แม้จะเซตเวลาว่าอยู่ในยุคเก่า แต่ซาวนด์แทร็กประกอบซีรีส์ก็มีทั้งเพลงเก่าของ Little Richard, Nina Simone และเพลงของศิลปินรุ่นใหม่อย่าง Rihanna หรือ Cardi B บรรเลงเร้าอารมณ์ สร้างความเพลิดเพลินให้เราไม่น้อย
HBO
การถ่ายทอดความจริงไม่ได้โชว์แค่ด้านดี แต่ผู้สร้างเลือกช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวดในประวัติศาสตร์คนดำมาเล่าอย่างตรงไปตรงมา อย่างการแบ่งโซนที่นั่งของคนดำบนรถบัส หนังสือ The Safe Negro Travel Guide ของจอร์จ ฟรีแมน ที่ไม่ต่างจาก Green Book คู่มือท่องเที่ยวของคนดำซึ่งเคยมีอยู่จริง เช่นเดียวกับ ‘Sundown Towns’ เมืองที่คนขาวจะสามารถไล่ฆ่าคนดำได้อย่างเสรีหลังอาทิตย์ตกดินที่ปรากฏในตอนแรกของซีรีส์ ก็ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ของอเมริกา รวมถึงคดีฆาตกรรม Emmett Till ชายผิวดำผู้โดนคนผิวขาวรุมยิงก่อนจะจับถ่วงน้ำเพียงเพราะไปจีบผู้หญิงผิวขาวคนหนึ่ง ก็ถูกหยิบมาเป็นหนึ่งในฉากสำคัญของเรื่อง
HBO
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือภาพความจริงที่ถูกถ่ายทอดในซีรีส์ แม้ว่ามันจะเป็นอดีต แต่ฉันยังรู้สึกว่ามันเชื่อมโยงกับฉัน และยังเป็นเรื่องใหญ่ คล้ายว่ามันสั่นสะเทือนในใจฉัน” Wunmi Mosaku ผู้รับบท Ruby Baptiste กล่าว “นั่นคือความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘น่ากลัว’ และ ‘สยองขวัญ’ ที่ผู้คนเหล่านี้เคยรู้สึก”
แน่นอนว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแรกที่มีตัวละครหลักเป็นคนดำ หรือเป็นเรื่องแรกที่พูดถึงความโกรธเกรี้ยวของคนดำต่อระบบอยุติธรรมทั้งหลายในสังคม แต่สิ่งที่ทำให้ Lovecraft Country โดดเด่น คือการทำให้คนดูเห็นว่าสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวที่สุดในเรื่องไม่ใช่สิ่งมีชีวิตรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว แต่คือคนธรรมดาผู้มองคนอื่นต่ำกว่าตน และพยายามจะกำจัดพวกเขาทิ้ง
สิ่งที่ตัวละครในเรื่องทำได้คือลุกขึ้นสู้ สู้แค่ตาย สู้ให้ได้ชัยชนะเพื่อจะได้ประกาศว่าต่อจากนี้ พวกเราจะเป็นคนเขียนกฎหมายและประวัติศาสตร์ที่คนทุกคนเท่ากัน
HBO
credit
Jim Crow Laws
The Death of Emmett Till
The Matter
Bustle
Crafting Lovecraft
UnderTheSunlessSkies
oprahmag
