เพราะความรักมิอาจเร่งร้อน : แด่ความรัก ความไม่รัก และการมีชีวิตอยู่ของผู้หญิงทุกคน

เพราะความรักมิอาจเร่งร้อน

1

บางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้หญิงจะมีสักกี่บทบาทให้ต้องเล่นในช่วงชีวิตหนึ่ง

นอกจากเป็นลูกสาว เป็นพี่สาว เป็นน้องสาว เป็นเมีย เป็นแม่ ผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถเป็นอย่างอื่นได้ด้วยไหม–ไม่ว่าจะมองด้วยสายตาของตนเองหรือด้วยสายตาของคนอื่น–และเป็นไปได้ไหมว่า ในที่สุดเธอจะมองข้ามการเล่นหรือไม่เล่นบทบาทเหล่านั้นแล้วมุ่งไปสู่การเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นได้อย่างสนิทใจ

หรือการจะเป็นสิ่งอื่นใดจำต้องเริ่มจากการปฏิเสธบทบาทข้างต้นเสียก่อน ซึ่งนั่นอาจหมายถึงเธอต้องยอมรับว่า บทบาทเหล่านั้นได้ตามติดตัวเธอมาตั้งแต่เริ่มมีลมหายใจและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งมาเกิดเอาทีหลัง

บทบาทที่ถูกบังคับให้เล่นอาจเกาะกุมจิตใจจนกลายเป็นความคาดหวังที่ผู้หญิงคนหนึ่งมีต่อตนเอง ไม่ว่าจะหวังให้ตนเล่นบทนั้นให้ดีเท่าเทียมคนอื่นหรือหวังให้ตนกล้าปฏิเสธบทนั้นตั้งแต่แรก เธออาจอยากเป็นแม่ที่ดี อยากเป็นเมียที่ดี อาจไม่อยากเป็นแม่หรือเมียของใครเลย หรือกระทั่งไม่อยากเป็นอะไรเลยแต่จำต้องเป็น

และหากเป็นอย่างสุดท้าย เธอจะเหลือตัวเลือกอะไรให้กับชีวิตบ้าง

เพราะความรักมิอาจเร่งร้อน

2

เราเริ่มอ่าน เพราะความรักมิอาจเร่งร้อน ในวันที่พยายามหนีจากการจำยอมรับบทต่างๆ มายังชายหาดส่วนตัวแห่งหนึ่ง เป็น 3 วัน 2 คืนที่เรายอมให้เสียงคลื่นที่ได้ยินแต่ไกลโอบกอดเราไว้ และพาเราเข้าไปในโลกของพวกเธอทั้งห้า พวกเธอที่ไม่ได้ต่างจากเราเสียเท่าไหร่ และไม่ได้รับมือกับอะไรๆ ที่ผ่านมาในชีวิตได้ดีกว่าเรานัก พวกเธอวิ่งหนีออกมา วิ่งกลับเข้าไป กระเสือกกระสนออกมาใหม่ และกระโดดกลับเข้าไปแบบเดียวกับที่เราทิ้งน้ำหนักลงบนเตียงหลังผ่านวันอันเหนื่อยล้า คาดหวังว่าเตียงอุ่นๆ หนาๆ จะรับเราไว้ แต่ไม่เลย มันกลับทำให้เรากระเด้งกระดอนออกมาเพื่อถามตัวเองในท้ายที่สุดว่า สิ่งที่เราต้องการจากการรับบทเหล่านั้นคือการที่เราเล่นบทนั้นได้ดีตามความคาดหวังของสังคมหรือการที่เรารู้สึกควรค่ากับความสัมพันธ์นั้นกันแน่

เพราะความรักมิอาจเร่งร้อน (Die Liebe im Ernstfall) นวนิยายเยอรมันของ ดาอีเนลา ครีน เล่าเรื่องราวชีวิตเสี้ยวหนึ่งของผู้หญิงเยอรมัน 5 คนที่ทาบทับกันไปมาในเมืองไลป์ซิก ฝั่งตะวันออกของประเทศเยอรมนี เธอบางคนพยายามสุดกำลังที่จะเป็นแม่ที่ดี เธออีกคนอยากเป็นลูกที่น่ารักและถูกรัก เธออีกคนทำทุกทางให้เป็นคนรักที่อีกฝ่ายหลงใหลเทิดทูน ส่วนเธออีกคนเพียงอยากเป็นตัวเอง 

ภายใต้ความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวันและรับผิดชอบหน้าที่ของตนอย่างไม่มีที่ติ เธอทั้งห้ากลับประสบความยากลำบากทางจิตใจ การเติมเต็มความคาดหวังของตนเองกลายเป็นความพยายามลมๆ แล้งๆ ที่ไม่ได้นำไปสู่อะไรมากกว่าการทำลายหลากหลายความสัมพันธ์ในชีวิตให้พังครืน

เพราะความรักมิอาจเร่งร้อน

หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยห้าบทย่อย บทหนึ่งเล่าเรื่องราวของเธอคนหนึ่ง บทต่อไปเล่าเรื่องราวของเธออีกคนและอีกคนวนไปจนจบ เราถูกแนะนำให้รู้จักกับ ‘เพาลา’ หญิงสาวเจ้าของร้านหนังสือที่อยากมีชีวิตเรียบง่ายกับสามีที่เธอรักและลูกเล็กอีกสองคน หากแต่ลูกหนึ่งในนั้นพลันจากไปและอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิม เธอมีเพื่อนสนิทชื่อ ‘ยูดิท’ หมอที่หลงใหลในการขี่ม้า เล่นแอพฯ หาคู่เป็นชีวิตจิตใจ และทำแท้งมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ‘บรีดา’ เป็นแม่ลูกสองและนักเขียนนิยายที่มาขอคำปรึกษาจากยูดิทเกี่ยวกับเนื้อหาเชิงเทคนิคในงานชิ้นใหม่ ‘มาลีกา’ เป็นครูสอนไวโอลินที่ถูกบรีดาแย่งชายคนรักและความฝันที่จะมีลูกกับเขาไปจนเธอไม่เหลือใจให้ใครอีก จนกระทั่ง ‘โยรินเดอ’ นักแสดงดาวรุ่งผู้เป็นน้องสาวแท้ๆ มาขอพึ่งพา กำแพงในจินตนาการที่กั้นพี่น้องทั้งสองไว้ตลอดมาจึงค่อยๆ ทลายลง

นี่อาจไม่ใช่นิยายที่มีรูปแบบการเล่าเรื่องหรือโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่การเชื่อมโยงตัวละครทั้งห้าเข้าไว้ด้วยกันผ่านตัวละครอื่นๆ ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในระบบนิเวศเล็กๆ ที่แต่ละตัวละครหายใจได้เพราะมีกันและกัน บางคนรักใคร่และชื่นชมอีกฝ่าย บางคนทำร้ายกัน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ใดที่ถูกตัดขาดได้โดยสิ้นเชิง วันเดือนปีผ่าน ฤดูกาลผ่าน บางคนเลิกรับบทแม่แต่ก็ยังเป็นแม่ บางคนเลิกเป็นคนรักแต่ก็ยังรัก ชีวิตมนุษย์ก็แบบนี้ และนี่คือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าคนเหล่านี้มีชีวิตจิตใจเหลือเกิน

บรีดาและมาลีกาเป็นตัวละครที่เรารู้สึกเชื่อมโยงด้วยที่สุดเพราะพวกเธอหลงใหลบางสิ่งในระดับที่มากเกินกว่าตัวละครอื่นและไม่อาจเอาใจออกจากสิ่งนั้นได้ บรีดาหลงรักการเขียนและทุ่มเททั้งชีวิตให้ เธอมีสามีที่รักและมีลูกกับเขาสองคน แต่การตั้งท้องเป็นระยะเวลายาวนานและการเลี้ยงเด็กเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการทำงานของเธอ หลายช่วงเธออยากเลิกทำงานเขียนเพราะการมีลูกก็ทำให้เธอมีความสุขไปอีกแบบ เพียงเพื่อจะตระหนักในท้ายที่สุดว่ามันไม่ใช่ความสุขแบบที่เธอต้องการ และความทุกข์ที่เกิดจากความสัมพันธ์แม่-ลูกและสามี-ภรรยานั้นหนักหนากว่าที่คิด

เมื่อความสัมพันธ์จบลง แม้จะทำใจได้ยากและสติแตกพอประมาณ แต่การชั่งน้ำหนักความสุขทั้งสองแบบก็ทำให้เธอกล้าวางความสุขแบบหนึ่งลง เพื่อที่จะโผเข้าหาความสุขอีกแบบที่เธอเลือกเอง ไม่มีความสุขไหนมีค่ามากกว่ากัน แต่บางครั้ง ทางเลือกเดียวที่เหลือในชีวิตคือเราอาจต้องยอมเจ็บเพื่อทิ้งบางอย่างไปบ้าง ก็เท่านั้น

ส่วนมาลีกามีความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งและหลงใหลในตัวคนรักและความคิดเกี่ยวกับการมีลูกและสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์กับเขา มันเป็นภาพที่สวยงามและเติมเต็มความต้องการของเธอได้ เธออยากมีความรักในแบบที่ไม่ได้รับตอนเด็กและอยากทำให้ดีกว่าที่พ่อแม่เคยทำ โดยหารู้ไม่ว่าในเรื่องความสัมพันธ์ บางครั้งเราควบคุมและออกแบบมันไม่ได้ เราอาจทำได้แค่ปล่อยให้มันเป็นไปแบบไม่รีบร้อน มาลีกาอาจลืมเขาไม่ได้ และอยู่กับแมว น้องสาว กับหลานทั้งสามไปตลอด หรืออาจพบเจอใครอีกคนในวันหนึ่ง เพียงแต่คนรักเก่าก็ยังอยู่ตรงนั้นในใจ และมันไม่ผิดอะไรเลยที่เป็นแบบนั้น 

ใช่–บางครั้งเราอาจต้องยอมเจ็บเพื่อทิ้งบางอย่างไปบ้าง เพื่อที่จะอยู่ต่อไป

เพราะความรักมิอาจเร่งร้อน

3

เราคิดว่า เพราะความรักมิอาจเร่งร้อน เป็นเรื่องเล่าที่เฉลิมฉลองการมีชีวิต รวมถึงความสัมพันธ์และความรักในรูปแบบต่างๆ ที่เรารู้สึกควรค่าแก่การโอบรับไว้ แม้มันจะพูดถึงบทบาททางสังคมและหน้าที่ของผู้หญิงในสังคมตะวันตกอย่างไม่อ้อมค้อม แต่เราที่อยู่ในสังคมตะวันออกกลับรู้สึกเข้าถึงได้ไม่ยาก อาจเป็นเพราะจุดร่วมของแต่ละสังคมยังคงเป็นการที่ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายอุ้มท้องและมักถูกคาดหวังให้ต้องเป็นคนที่เลี้ยงดูลูกมากกว่าผู้ชาย แม้ว่าในปัจจุบันผู้หญิงจะทำงานได้และจำเป็นต้องทำงานไปด้วย 

นอกจากนั้น แม้เป้าหมายหลักของเรื่องเล่านี้คือการพูดถึงความพยายามของผู้หญิงในการทำหน้าที่แม่ ภรรยา และลูกสาว แต่ความอบอุ่นและสายใยของคนที่มีความห่วงใยให้กันกลับอบอวลตลอดทั้งเล่ม ฤดูกาลเป็นอีกตัวละครหลักที่ช่วยเน้นย้ำความรู้สึกเหล่านั้น ความรู้สึกถึงจุดที่ฤดูกาลผันผ่านทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมีวงจรของมัน เราอาจผิดหวังในฤดูร้อนของปีหนึ่ง แต่ในฤดูใบไม้ผลิของอีกปีดอกไม้อาจผลิบาน

เสียงลมผิวปากเบาบาง เสียงคลื่นลูกเล็กกระทบฝั่ง เมฆยามเย็นที่ลอยขึ้นไป และพระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนลงมา เหล่านี้ทำให้เรารู้ว่าวันหนึ่งกำลังจะจบลง แต่ใช่หรือไม่ว่าอีกวันหนึ่งกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า ผู้หญิงคนหนึ่งอาจกำลังเจ็บปวดกับความสัมพันธ์ที่กำลังจะผ่านไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าร่องรอยนั้นจะไม่มีอะไรให้เธออยากนึกถึงเลย

บางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้หญิงจะมีสักกี่บทบาทให้ต้องเล่นในช่วงชีวิตหนึ่ง นอกจากเป็นลูกสาว เป็นพี่สาว เป็นน้องสาว เป็นเมีย เป็นแม่ ผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถเป็นอย่างอื่นได้ด้วยไหม—ไม่ว่าจะมองด้วยสายตาของตนเองหรือด้วยสายตาของคนอื่น—และเป็นไปได้ไหมว่า ในที่สุดเธอจะมองข้ามการเล่นหรือไม่เล่นบทบาทเหล่านั้นแล้วมุ่งไปสู่การเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นได้อย่างสนิทใจ
หรือการจะเป็นสิ่งอื่นใดจำต้องเริ่มจากการปฏิเสธบทบาทข้างต้นเสียก่อน ซึ่งนั่นอาจหมายถึงเธอต้องยอมรับว่า บทบาทเหล่านั้นได้ตามติดตัวเธอมาตั้งแต่เริ่มมีลมหายใจและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งมาเกิดเอาทีหลัง
บทบาทที่ถูกบังคับให้เล่นอาจเกาะกุมจิตใจจนกลายเป็นความคาดหวังที่ผู้หญิงคนหนึ่งมีต่อตนเอง ไม่ว่าจะหวังให้ตนเล่นบทนั้นให้ดีเท่าเทียมคนอื่นหรือหวังให้ตนกล้าปฏิเสธบทนั้นตั้งแต่แรก เธออาจอยากเป็นแม่ที่ดี อยากเป็นเมียที่ดี อาจไม่อยากเป็นแม่หรือเมียของใครเลย หรือกระทั่งไม่อยากเป็นอะไรเลยแต่จำต้องเป็น และหากเป็นอย่างสุดท้าย เธอจะเหลือตัวเลือกอะไรให้กับชีวิตบ้าง
เราเริ่มอ่าน เพราะความรักมิอาจเร่งร้อน ในวันที่พยายามหนีจากการจำยอมรับบทต่างๆ มายังชายหาดส่วนตัวแห่งหนึ่ง เป็น 3 วัน 2 คืนที่เรายอมให้เสียงคลื่นที่ได้ยินแต่ไกลโอบกอดเราไว้ และพาเราเข้าไปในโลกของพวกเธอทั้งห้า พวกเธอที่ไม่ได้ต่างจากเราเสียเท่าไหร่ และไม่ได้รับมือกับอะไรๆ ที่ผ่านมาในชีวิตได้ดีกว่าเรานัก
พวกเธอวิ่งหนีออกมา วิ่งกลับเข้าไป กระเสือกกระสนออกมาใหม่ และกระโดดกลับเข้าไปแบบเดียวกับที่เราทิ้งน้ำหนักลงบนเตียงหลังผ่านวันอันเหนื่อยล้า คาดหวังว่าเตียงอุ่นๆ หนาๆ จะรับเราไว้ แต่ไม่เลย มันกลับทำให้เรากระเด้งกระดอนออกมาเพื่อถามตัวเองในท้ายที่สุดว่า สิ่งที่เราต้องการจากการรับบทเหล่านั้นคือการที่เราเล่นบทนั้นได้ดีตามความคาดหวังของสังคมหรือการที่เรารู้สึกควรค่ากับความสัมพันธ์นั้นกันแน่
เพราะความรักมิอาจเร่งร้อน (Die Liebe im Ernstfall) นวนิยายเยอรมันของ ดาอีเนลา ครีน เล่าเรื่องราวชีวิตเสี้ยวหนึ่งของผู้หญิงเยอรมันห้าคนที่ทาบทับกันไปมาในเมืองไลป์ซิก ฝั่งตะวันออกของประเทศเยอรมนี เธอบางคนพยายามสุดกำลังที่จะเป็นแม่ที่ดี เธออีกคนอยากเป็นลูกที่น่ารักและถูกรัก เธออีกคนทำทุกทางให้เป็นคนรักที่อีกฝ่ายหลงใหลเทิดทูน ส่วนเธออีกคนเพียงอยากเป็นตัวเอง 
ภายใต้ความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวันและรับผิดชอบหน้าที่ของตนอย่างไม่มีที่ติ เธอทั้งห้ากลับประสบความยากลำบากทางจิตใจ การเติมเต็มความคาดหวังของตนเองกลายเป็นความพยายามลมๆ แล้งๆ ที่ไม่ได้นำไปสู่อะไรมากกว่าการทำลายหลากหลายความสัมพันธ์ในชีวิตให้พังครืน
ประกอบด้วยห้าบทย่อย บทหนึ่งเล่าเรื่องราวของเธอคนหนึ่ง บทต่อไปเล่าเรื่องราวของเธออีกคนและอีกคนวนไปจนจบ เราถูกแนะนำให้รู้จักกับ ‘เพาลา’ หญิงสาวเจ้าของร้านหนังสือที่อยากมีชีวิตเรียบง่ายกับสามีที่เธอรักและลูกเล็กอีกสองคน หากแต่ลูกหนึ่งในนั้นพลันจากไปและอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิม เธอมีเพื่อนสนิทชื่อ ‘ยูดิท’ หมอที่หลงใหลในการขี่ม้า เล่นแอปหาคู่เป็นชีวิตจิตใจ และทำแท้งมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ‘บรีดา’ เป็นแม่ลูกสองและนักเขียนนิยายที่มาขอคำปรึกษาจากยูดิทเกี่ยวกับเนื้อหาเชิงเทคนิคในงานชิ้นใหม่ ‘มาลีกา’ เป็นครูสอนไวโอลินที่ถูกบรีดาแย่งชายคนรักและความฝันที่จะมีลูกกับเขาไปจนเธอไม่เหลือใจให้ใครอีก จนกระทั่ง ‘โยรินเดอ’ นักแสดงดาวรุ่งผู้เป็นน้องสาวแท้ๆ มาขอพึ่งพา กำแพงในจินตนาการที่กั้นพี่น้องทั้งสองไว้ตลอดมาจึงค่อยๆ ทลายลง
นี่อาจไม่ใช่นิยายที่มีรูปแบบการเล่าเรื่องหรือโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่การเชื่อมโยงตัวละครทั้งห้าเข้าไว้ด้วยกันผ่านตัวละครอื่นๆ ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในระบบนิเวศเล็กๆ ที่แต่ละตัวละครหายใจได้เพราะมีกันและกัน บางคนรักใคร่และชื่นชมอีกฝ่าย บางคนทำร้ายกัน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ใดที่ถูกตัดขาดได้โดยสิ้นเชิง วันเดือนปีผ่าน ฤดูกาลผ่าน บางคนเลิกรับบทแม่แต่ก็ยังเป็นแม่ บางคนเลิกเป็นคนรักแต่ก็ยังรัก ชีวิตมนุษย์ก็แบบนี้ และนี่คือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าคนเหล่านี้มีชีวิตจิตใจเหลือเกิน
บรีดาและมาลีกาเป็นตัวละครที่เรารู้สึกเชื่อมโยงด้วยที่สุดเพราะพวกเธอหลงใหลบางสิ่งในระดับที่มากเกินกว่าตัวละครอื่นและไม่อาจเอาใจออกจากสิ่งนั้นได้ บรีดาหลงรักการเขียนและทุ่มเททั้งชีวิตให้ เธอมีสามีที่รักและมีลูกกับเขาสองคน แต่การตั้งท้องเป็นระยะเวลายาวนานและการเลี้ยงเด็กเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการทำงานของเธอ หลายช่วงเธออยากเลิกทำงานเขียนเพราะการมีลูกก็ทำให้เธอมีความสุขไปอีกแบบ เพียงเพื่อจะตระหนักในท้ายที่สุดว่ามันไม่ใช่ความสุขแบบที่เธอต้องการ และความทุกข์ที่เกิดจากความสัมพันธ์แม่-ลูกและสามี-ภรรยานั้นหนักหนากว่าที่คิด
เมื่อความสัมพันธ์จบลง แม้จะทำใจได้ยากและสติแตกพอประมาณ แต่การชั่งน้ำหนักความสุขทั้งสองแบบก็ทำให้เธอกล้าวางความสุขแบบหนึ่งลง เพื่อที่จะโผเข้าหาความสุขอีกแบบที่เธอเลือกเอง ไม่มีความสุขไหนมีค่ามากกว่ากัน แต่บางครั้ง ทางเลือกเดียวที่เหลือในชีวิตคือเราอาจต้องยอมเจ็บเพื่อทิ้งบางอย่างไปบ้าง ก็เท่านั้น
ส่วนมาลีกามีความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งและหลงใหลในตัวคนรักและความคิดเกี่ยวกับการมีลูกและสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์กับเขา มันเป็นภาพที่สวยงามและเติมเต็มความต้องการของเธอได้ เธออยากมีความรักในแบบที่ไม่ได้รับตอนเด็กและอยากทำให้ดีกว่าที่พ่อแม่เคยทำ โดยหารู้ไม่ว่าในเรื่องความสัมพันธ์ บางครั้งเราควบคุมและออกแบบมันไม่ได้ เราอาจทำได้แค่ปล่อยให้มันเป็นไปแบบไม่รีบร้อน มาลีกาอาจลืมเขาไม่ได้ และอยู่กับแมว น้องสาว กับหลานทั้งสามไปตลอด หรืออาจพบเจอใครอีกคนในวันหนึ่ง เพียงแต่คนรักเก่าก็ยังอยู่ตรงนั้นในใจ และมันไม่ผิดอะไรเลยที่เป็นแบบนั้น 
ใช่—บางครั้งเราอาจต้องยอมเจ็บเพื่อทิ้งบางอย่างไปบ้าง เพื่อที่จะอยู่ต่อไป
เราคิดว่า เพราะความรักมิอาจเร่งร้อน เป็นเรื่องเล่าที่เฉลิมฉลองการมีชีวิต รวมถึงความสัมพันธ์และความรักในรูปแบบต่างๆ ที่เรารู้สึกควรค่าแก่การโอบรับไว้ แม้มันจะพูดถึงบทบาททางสังคมและหน้าที่ของผู้หญิงในสังคมตะวันตกอย่างไม่อ้อมค้อม แต่เราที่อยู่ในสังคมตะวันออกกลับรู้สึกเข้าถึงได้ไม่ยาก อาจเป็นเพราะจุดร่วมของแต่ละสังคมยังคงเป็นการที่ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายอุ้มท้องและมักถูกคาดหวังให้ต้องเป็นคนที่เลี้ยงดูลูกมากกว่าผู้ชาย แม้ว่าในปัจจุบันผู้หญิงจะทำงานได้และจำเป็นต้องทำงานไปด้วย 
นอกจากนั้น แม้เป้าหมายหลักของเรื่องเล่านี้คือการพูดถึงความพยายามของผู้หญิงในการทำหน้าที่แม่ ภรรยา และลูกสาว แต่ความอบอุ่นและสายใยของคนที่มีความห่วงใยให้กันกลับอบอวลตลอดทั้งเล่ม ฤดูกาลเป็นอีกตัวละครหลักที่ช่วยเน้นย้ำความรู้สึกเหล่านั้น ความรู้สึกถึงจุดที่ฤดูกาลผันผ่านทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมีวงจรของมัน เราอาจผิดหวังในฤดูร้อนของปีหนึ่ง แต่ในฤดูใบไม้ผลิของอีกปีดอกไม้อาจผลิบาน
เสียงลมผิวปากเบาบาง เสียงคลื่นลูกเล็กกระทบฝั่ง เมฆยามเย็นที่ลอยขึ้นไป และพระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนลงมา เหล่านี้ทำให้เรารู้ว่าวันหนึ่งกำลังจะจบลง แต่ใช่หรือไม่ว่าอีกวันหนึ่งกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า ผู้หญิงคนหนึ่งอาจกำลังเจ็บปวดกับความสัมพันธ์ที่กำลังจะผ่านไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าร่องรอยนั้นจะไม่มีอะไรให้เธออยากนึกถึงเลย

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย