ทริปนี้ตั้งใจขอใช้เวลาสัก 3-4 วันในแบบ ‘ผู้ดีอังกฤษ’ ดังใจปรารถนา แต่เมื่อถึงเวลาลอนดอนกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
หากเปรียบเทียบกัน London, United Kingdom คงมีสถานะคล้ายๆ กับกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย ผู้คนมากมาย หลายเชื้อชาติ หลากภาษา ต่างหลั่งไหลเข้ามาสู่ดินแดนอันซิวิไลซ์แห่งนี้ และด้วยความที่ทั้งหัวใจมีแต่ Harry Potter การได้เดินทางไปลอนดอนในครั้งนี้ หัวใจจึงพองโตมากถึงมากที่สุด
ลอนดอนคือดินแดนที่หากมีโอกาสไปนั่งดื่ม Afternoon Tea และเขียนหนังสือสักเล่ม คงจะเป็นความสุขที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ตลอดเส้นทางตั้งแต่ก้าวแรกทำให้รู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก เข้าใจแล้วว่า Love at first sight เป็นความรู้สึกยังไง
ด้วยระยะเวลาอันน้อยนิดทำให้การเดินทางเป็นไปในรูปแบบที่ว่าพยายามไปทุกๆ ที่ที่ใจปรารถนา กลายเป็นว่าเรื่องราวระหว่างทางต่างหากที่ควรค่าแก่การจดจำ เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีแต่สถาปัตยกรรมน่ารักและดีต่อใจ ตึกราต่างๆ ล้วนบ่งบอกรสนิยม
ที่เราชอบที่สุดคือการซ่อมแซมสถาปัตยกรรมที่เริ่มชราลงแล้วนั้น พวกเขาจะเลือกเปลี่ยนแปลงเฉพาะด้านนอก กล่าวคือ ภายนอกอาจดูทันสมัยเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและสภาพความจำเป็น แต่ภายในนั้นยังคงความเป็นอังกฤษเหมือนเดิม คงไว้ซึ่งสิ่งเดิม ทำให้เรารู้สึกว่าการที่มนุษย์หลงรักและเห็นคุณค่าของเรื่องราวในอดีตย่อมทำให้คุณค่าในเรื่องราวนั้นทวีมากยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากความน่ารักในเรื่องราวระหว่างทางแล้ว คำพูดน่ารักๆ ที่ติดปากมากๆ เวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่ที่นู่นเป็นคำง่ายๆ ที่แสนจะธรรมดานั่นคือคำว่า “Sorry” หรือที่แปลเป็นไทยว่า “ขอโทษ” เพราะไม่ว่าจะทำการใดๆ ที่อาจส่งผลต่อความรู้สึกของอีกฝ่าย ผู้คนจะเอ่ยคำนี้ออกมาเสมอ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เรากล้าที่จะขอโทษทุกคนในทุกกรณี และทำให้เรากล้าที่จะ “ขอโทษ” ให้เป็นเรื่องง่ายไปโดยปริยาย
หากมีโอกาสอีกสักครั้งเราก็ปรารถนาจะกลับไป ณ ลอนดอน สถานที่ซึ่งให้ความรู้สึกว่าเป็นที่ของเรา เราอยากจดจำถนนทุกเส้น บัสแดงทุกสาย และดื่มด่ำไปกับความงาม ณ ที่นั้น และขอยกให้ลอนดอนเป็นที่หนึ่งในดวงใจตราบจนกว่าจะได้ออกเดินทางพบเจอสถานที่ใหม่และหวังว่า “เราคงได้พบกันอีกครั้ง ในวันที่บิ๊กเบนกลับมาส่งเสียง” แด่แฮร์รี่ บิ๊กเบน (ที่กำลังซ่อมแซม) และลอนดอนอาย