แง่งามตามจริงของแลนด์มาร์กใน ‘เกียวโต’ เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น

เกียวโต

เราเตร็ดเตร่อยู่ในแสงสีของโอซาก้ามา 3 วัน ต่อให้เป็นเมืองที่ใฝ่ฝันจะมาแค่ไหนก็มีเบื่อกันบ้าง เรารู้ใจตัวเองตั้งแต่ก่อนมาแล้ว เลยวางแผนไว้ว่าการมาญี่ปุ่นครั้งนี้ต้องมีวันหนึ่งที่เราจะเดินทางออกต่างจังหวัดอย่างเกียวโตแบบไปเช้าเย็นกลับเพื่อตัดเลี่ยน

วันที่ 4 ของการเดินทาง เราและแฟนนั่งรถไฟออกจากโอซาก้ามุ่งสู่เกียวโตแต่เช้า ในใจเห็นภาพตัวเองอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสีเขียวร่มรื่น ลมเย็นพัดโชยลูบไล้ใบหน้า บรรยากาศน่ารักของต่างจังหวัดปลอดผู้คน พักสายตาจากแสงสีของตัวเมืองโอซาก้า โดยลืมนึกไปว่าเรากำลังหนีจากที่เที่ยวที่แมสที่สุดของโอซาก้าไปยังที่เที่ยวที่แมสที่สุดของเกียวโต…

ยิ่งไกลออกจากโอซาก้า ความเป็นต่างจังหวัดในอุดมคติ (ของเราเอง) ยิ่งยึดครองทิวทัศน์ที่นอกหน้าต่าง เราเห็นบ้านเรือนหลังเล็กหลังน้อยท่ามกลางทุ่งนากว้าง ดูน่ารักน่าชังเหมือนในหนังญี่ปุ่นที่เราคุ้นเคย ความตื่นเต้นมากขึ้นทุกขณะที่รถไฟวิ่งไปข้างหน้า จนกระทั่งเกียวโตใกล้เข้ามา ค่อยๆ แทนที่ด้วยตึกรามและความเจริญ แล้วความคิดหนึ่งก็เข้ามาในหัว

เกียวโตมันจะเป็นต่างจังหวัดในอุดมคติได้ยังไงในเมื่อมันเคยเป็นเมืองหลวง

สำหรับเรา เกียวโตคือความลงตัวระหว่างความเจริญสมัยใหม่กับบ้านเมืองดั้งเดิม การคมนาคมในเกียวโตสะดวกสบายเช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่นๆ ของญี่ปุ่น ในขณะที่ยังอนุรักษ์บ้านเรือนเก่าแก่ไว้มากมาย และที่ดีที่สุดคือเมืองหลวงเก่านี้ยังเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวจำนวนมาก เพราะทั้งเมืองอยู่ท่ามกลางหุบเขา

เมื่อมาถึงสถานีเกียวโต เราเปลี่ยนรถไปยังสถานี Umahori และเดินต่ออีกเล็กน้อยไปสถานี Kameoka Torokko เพื่อนั่งรถไฟสายโรแมนติก เส้นทางรถไฟชมวิวธรรมชาติยอดฮิตที่วิ่งจากสถานี Kameoka Torokko ถึงสถานี Arashiyama Torokko

สถานี Kameoka Torokko เป็นทุ่งนาโล่งกว้างใกล้หุบเขาและแม่น้ำ อากาศช่วงสิงหาคมใบไม้ยังไม่แดงทำให้สีเขียวสดชื่นแผ่กว้างไปทุกที่ วันที่เราไปถึงเมฆหนาครึ้มแต่ฟ้าก็เป็นใจทำให้ฝนไม่ตกเลยจนเรากลับถึงโอซาก้า หลังจากกลับมาแล้ว เราคิดว่าเราชอบทุ่งนาและคูน้ำรอบสถานี Kameoka Torokko ไม่แพ้วิวบนรถไฟสายโรแมนติกเลย

รถไฟรอบ 10 โมงกำลังจะออก แต่บรรยากาศสงบเงียบรอบสถานีทำให้เราไม่อยากรีบจากไป เราจองรถไฟรอบถัดไปเป็นคู่แรก ทำให้ได้ที่นั่งติดหน้าต่างในตู้หน้าสุดซึ่งเป็นตู้กึ่งเอาต์ดอร์ พนักงานขายตั๋วแนะนำว่าเป็นที่นั่งที่ดีที่สุดในขบวน ก่อนขึ้นรถไฟเราจึงมีเวลาเดินเล่นรอบสถานีพักใหญ่ และกินราเม็งในร้านของสถานีที่ถ้าพูดอย่างจริงใจคือไม่ได้อร่อยมากมายอะไร

รถไฟสายโรแมนติกคือหนึ่งในที่เที่ยวที่แมสที่สุดของเกียวโต ถึงแม้สิงหาคมจะไม่ใช่จุดพีคของฤดูท่องเที่ยว แต่จำนวนคนมาใช้บริการก็ทำให้ความโรแมนติกของรถไฟลดลงไปโข โชคดีที่เราได้ที่นั่งดี ทำให้การมองออกไปเห็นวิวสองข้างทางแบ่งเบาความแออัดในขบวนรถได้บ้าง เมื่อรถไฟวิ่งออกจากสถานี ผู้โดยสารเริ่มลุกขึ้นหามุมถ่ายรูปสลับข้างกันไปมา และถ้าจะแนะนำ เราว่าควรนั่งทางซ้ายของขบวน (ถ้าเริ่มสถานีแรกที่สถานี Kameoka Torokko) เราคิดว่าเห็นวิวเยอะกว่าฝั่งขวาประมาณหนึ่ง

รถไฟลัดเลาะไปตามหุบเขาเคียงคู่ไปกับชาวล่องแก่งในแม่น้ำด้านล่าง (ซึ่งน่าสนใจทีเดียวถ้าเราได้มาอีกรอบ) รถไฟวิ่งแหวกอากาศอย่างไม่รีบร้อนทำให้ทั้งตู้โดยสารปะทะลมเย็นสบาย ไม่นานนักเมื่อใกล้ถึงสถานีปลายทาง เจ้าหน้าที่บนรถไฟคว้าไมค์ประกาศบางอย่างกับผู้โดยสารและจบลงด้วยการร้องเพลง เราไม่เคยฟังคนญี่ปุ่นร้องเพลงญี่ปุ่นสดมาก่อนจึงเซอร์ไพรส์ทีเดียว เพลงจบพอดีกับที่รถไฟจอด รถไฟสายโรแมนติกของเราจึงโรแมนติกที่สุดตอนมันถึงสถานีปลายทางนี่เอง

เราลงจากรถไฟที่สถานี Arashiyama Torokko แล้วตั้งต้นเดินเท้าเที่ยวไปยังวัดโจยักโกแบบไม่ได้วางแผนไว้ หลังจากเสียค่าเข้าเล็กน้อยที่ทางเข้า เราพบว่าในวัดเงียบสงบมากและเต็มไปด้วยต้นเมเปิล มอส และต้นไม้อื่นๆ ขึ้นหนาแน่นปกคลุมทั่วบริเวณ ในวัดยังมีทางเดินหินคดเคี้ยวที่สามารถเดินขึ้นไปบนเนินเขาเพื่อเห็นวิวเกียวโตมุมกว้างได้

และราวกับไม่มีบุญ สิ่งเดียวที่เราไม่เจอในวัดโจยักโกคือพระสงฆ์หรือพระพุทธรูปสักองค์ เพราะทุกอาคารในวัดปิดประตูไว้และเราไม่กล้าเปิดเข้าไป (ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะเป็นปกติของวัดอยู่แล้วก็ได้)

เกียวโต

เราเดินออกจากวัดโจยักโกเพื่อไปสะพานโทเง็ตสึเคียว โดยเดินผ่านเส้นทางป่าไผ่ (อีกหนึ่งความแมส) ทางเดินป่าไผ่ไม่ยาวมาก ทำให้การหามุมถ่ายรูปต้องเร็วและอาศัยการหลบหลีกคนประมาณหนึ่ง ตอนนี้เวลาบ่ายแล้ว เราและแฟนเริ่มหิวทำให้ไม่ได้แวะถ่ายรูปนานนัก

เกียวโต

เกียวโต

เราเดินออกจากป่าไผ่ผ่านย่านการค้ามาถึงสะพานโทเง็ตสึเคียว วิวแม่น้ำและภูเขารอบสะพานเหมือนหนังคนละม้วนกับทางเดินที่เราผ่านมา ขณะที่ทางเดินผ่านป่าไผ่โอบล้อมด้วยร่มเงาต้นไม้ สะพานโทเง็ตสึเคียวตัดข้ามแม่น้ำโอบล้อมด้วยท้องฟ้าและหุบเขา เราเดินชมวิวสบายๆ สักพักแล้วเดินกลับไปสุ่มหาร้านอาหารในย่านการค้าที่อยู่ติดกัน

เกียวโต

เราเจอร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ที่หน้าร้านสวยกว่าด้านในมาก จบลงด้วยการที่เราได้กินข้าวไก่คาราเกะที่อร่อยที่สุดในชีวิต และแฟนเราได้กินซุปอูด้งหวานเจี๊ยบ ไม่อร่อยเลย 

เกียวโต

หลังจากอิ่มหนำ เรานั่งรถไฟมาถึงศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ หรือศาลเจ้าแดง ศาลเจ้าจิ้งจอก (แล้วแต่จะเรียก) อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่มีภาพจำคือประตูโทริอิสีแดงเรียงรายเป็นซุ้มประตูทางเดินวนขึ้นไปบนเขา แน่นอน ที่ตีนเขาคนมาเที่ยวกราบไหว้เทพเจ้าอินาริกันคับคั่ง แต่ยิ่งเดินขึ้นเขาสูงเท่าไหร่คนกลับยิ่งบางตาลงเท่านั้น เราและแฟนเดินมาถึงศาลเจ้าที่อยู่กลางทางก่อนจะตัดสินใจแยกกันเดินเพราะความเหนื่อยจู่โจม สุดท้ายเราตัดสินใจเดินขึ้นเขาต่อไปคนเดียวเพราะอยากขึ้นให้ถึงยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล

ไม่ไกลก็แย่แล้ว

เกียวโต

ยิ่งเดินสูงขึ้นไปคนยิ่งน้อยลงจาก 20 เหลือ 15 10 จนเหลือไม่ถึง 5 คน คือเราและนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ อีกกลุ่ม ฟ้าเริ่มมืดเร็วกว่าปกติเพราะรอบๆ มีแต่ป่า สมาชิกที่เหลือบนทางเดินล้อมวงอยู่รอบป้ายบอกทางและพบว่า (อย่างน้อยก็เราเองที่พบว่า) เราเพิ่งเดินมาได้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่ได้ใกล้คำว่ากลางทาง ถ้าจะขึ้นให้ถึงยอดคงอีก 1-2 ชั่วโมงและคงมืดแล้ว โอเค ลงเถอะ

ยอมรับว่าผิดหวังไม่น้อยเพราะเราตั้งใจมากว่าจะขึ้นให้ถึงยอด (ดรามาติกขนาดน้ำตาซึมเล็กน้อย) เราเดินลงมาที่ตีนเขาแข่งกับความมืด ผ่านป่า ศาลเจ้า และสุสาน ก่อนจะพบว่าศาลเจ้าจิ้งจอกมีอะไรรอเซอร์ไพรส์เราอยู่ข้างทาง

หายเหนื่อยแล้วล่ะ เจอเทพเจ้าจิ๋ว

เกียวโต

พอออกมาจากป่า ฟ้ากลับสว่างขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ใกล้จะมืดแล้วอยู่ดี แลนด์มาร์กสุดท้ายของเราคือย่านกิออน แหล่งเกอิชาของเกียวโต แต่วันที่เราไปถึงกิออนกลับไม่ได้คึกคักอย่างที่คิด เวลาและความเหนื่อยทำให้เราเดินเล่นไม่นาน สิ่งที่เราได้จากกิออนจริงๆ คือได้เรียนรู้ว่าวัฒนธรรมและมารยาทการกินอาหารในคาเฟ่รวมถึงร้านอาหารอื่นๆ ของญี่ปุ่น คือมากี่คนต้องสั่งเท่านั้น ไม่มีการสั่งบิงซูชาเขียวถ้วยใหญ่มาแบ่งกันกิน มาสองคนต้องสั่งสองอย่างล่ะ จะมาทำแบบที่ไทยไม่ได้นะ

เกียวโต

เรากลับมาถึงโอซาก้าตอนฟ้ามืดแล้ว ในที่สุดฟ้าที่อึมครึมตลอดทั้งวันก็ปล่อยฝนตกลงมาจนได้ เราวิ่งตากฝนเข้าร้านเนื้อย่างแห่งหนึ่งที่ต้อนรับเราอย่างอบอุ่นแบบคนญี่ปุ่น แถมเนื้อย่างยังอร่อยชนิดแสงพุ่งออกจากปาก

การเดินทางไปแลนด์มาร์กที่ไม่อินดี้ที่สุดของเกียวโตจบลงด้วยดี แม้จะเป็นสถานที่ยอดนิยม ไม่มีบาร์หลืบ ไม่มีคาเฟ่ลับ ไม่มีอะไรที่ผู้คนไม่เคยไป แต่มันยังมีแง่งามบางอย่างให้เราเก็บเกี่ยวกลับไปได้ แม้ในสถานที่ที่โด่งดังที่สุดก็ยังมีมุมเล็กๆ ที่เงียบพอให้เราได้ซึมซับเสน่ห์แปลกประหลาดของมัน เสน่ห์ที่ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ไกลจากบ้านและโลกนี้ยังมีอีกหลายที่ให้ไปก่อนตาย สำหรับเรา เกียวโตจะเป็นความทรงจำที่ดีเสมอทั้งเส้นทางที่ไปและคนที่ไปด้วย การเดินทางไปพักสายตาของเราทำงานถูกต้อง เพราะเรากลับมามองแสงสีของโอซาก้าสวยงามอีกครั้ง

เกียวโต

เกียวโต

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

มณิสร สุดประเสริฐ

เด็กสาวคณะอักษรศาสตร์ พูดไม่ค่อยรู้เรื่องเลยชอบเขียนมากกว่าพูด มักจะง่วนอยู่กับการกินเป็นพิเศษ