Living in Your Sky : ชีวิตว่างเปล่าแค่ไหน หากมันต้องดำเนินต่อไป

ท่ามกลางข่าวการเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของนักแสดงสาว การตบหน้าอันฉาวโฉ่ที่งานออสการ์ ความเลวร้ายของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2022 ยังมีข่าวเล็กๆ ที่คนอาจไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก นั่นคือการเสียชีวิตของผู้กำกับภาพยนตร์ชาวญี่ปุ่น ชินจิ อาโอยามะ (Shinji Aoyama) โดยเขาจากโลกนี้ไปด้วยวัย 57 ปีจากมะเร็งหลอดอาหาร 

อาโอยามะเกิดเมื่อปี 1964 ที่เมืองคิตะคิวชู จังหวัดฟุกุโอกะ เดิมทีตั้งใจจะเป็นนักดนตรีร็อก แต่เมื่อได้ดูหนังเรื่อง Apocalypse Now (1979) ของฟราสซิส ฟอร์ด คอปโปลา และ Two or Three Things I Know About Her (1967, ฌ็อง-ลุก โกดาด์) เขาตัดสินใจเรียนภาพยนตร์ ด้วยเหตุผลว่าหนังทั้งสองเรื่องให้ความรู้สึกเหมือนเพลงร็อกแอนด์โรล จากนั้นอาโอยามะก็ฝึกปรือวิชาด้วยการเป็นผู้ช่วยของ คิโยชิ คุโรซาวะ (ผู้กำกับเรื่อง Cure, Kairo และ Tokyo Sonata)

อย่างไรก็ดี อาโอยามะไม่ได้ทำหนังสยองขวัญแบบคุโรซาวะ ผลงานของเขามักเป็นหนังดราม่านิ่งช้าในแบบหนังยุโรป ว่าด้วย ‘ชีวิต’ และ ‘ครอบครัว’ ที่ไม่ได้เป็นไปตามนิยามในแบบอุดมคติ อาทิ Helpless (1996) ที่ทาดาโนบุ อาซาโนะ รับบทชายหนุ่มที่ถูกแม่ทอดทิ้งและต้องดูแลพ่อผู้ป่วยไข้ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ, นักธุรกิจร่ำรวยที่ลูกเมียหนีไปและตัดสินใจสร้างครอบครัวกับชายแปลกหน้าใน Desert Moon (2001) ไปจนถึงหนังทดลองสุดขั้วอย่าง Eli, Eli, Lema Sabachthani? (2005) ว่าด้วยนักดนตรีหนุ่มที่ต่อสู้กับวันสิ้นโลกด้วยดนตรีนอยส์ร็อก (!?)

ปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อเสียงของอาโอยามะไม่ได้โด่งดังเท่าคุโรซาวะ, ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ หรือนาโอมิ คาวาเสะ หากแต่เขาก็ได้สร้างผลงานสุดยิ่งใหญ่อย่าง Eureka (2000) หนังขาวดำความยาว 4 ชั่วโมง เล่าถึงคนสามคนที่รอดตายจากเหตุการณ์จี้รถเมล์ ทว่าชีวิตหลังจากนั้นกลับพังพินาศ พวกเขาจึงตัดสินใจกลับมารวมตัวและขับรถไปด้วยกันอย่างไร้จุดหมาย ธีมหลักของหนังคือความล่มสลายของระบบครอบครัวแบบเก่าและการประกอบสร้างของความสัมพันธ์แบบใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อาโอยามะมุ่งสำรวจอยู่เสมอ 

นอกจากเป็นผู้กำกับหนัง อาโอยามะยังเป็นนักเขียนนิยาย, นักวิจารณ์ภาพยนตร์, อาจารย์มหาวิทยาลัย และผลงานภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเขาคือ Living in Your Sky (2020) ที่ทิ้งห่างจากหนังเรื่องก่อนหน้าถึง 7 ปี

ตัวเอกของ Living in Your Sky คือหญิงสาวชื่อนาโอมิ (นำแสดงโดย มิคาโกะ ทาเบะ) เธอเพิ่งสูญเสียพ่อแม่จากอุบัติเหตุรถยนต์ และด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่ไม่แน่ชัดนัก เธอได้ย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดใจกลางเมืองด้วยความช่วยเหลือของลุง ห้องของเธออยู่สูงถึงชั้นสามสิบกว่า จนรู้สึกราวกับตัวเองอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า 

นาโอมิทำงานในสำนักพิมพ์เล็กๆ แห่งหนึ่ง เธอไม่เปิดเผยเรื่องการเข้าไปอยู่ในคอนโดหรูให้คนอื่นทราบ แทนที่จะร่าเริงไปกับห้องสุดเก๋ หนังกลับเต็มไปด้วยฉากนางเอกมองไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาเลื่อนลอย ปัญหาของนาโอมิคือเธอยัง ‘เรียบเรียง’ ความรู้สึกต่อการจากไปของพ่อแม่ไม่ได้ ในงานศพเธอไม่ร้องไห้เลยสักครั้ง เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองเสียใจมากพอหรือยัง แต่ที่แน่นอนคือมันทำให้เกิดรูโหว่ในใจเธอ

ตรงข้ามกับหน้าต่างห้องนาโอมินั้นเป็นบิลบอร์ดโฆษณาของนักแสดงหนุ่มคนดัง โมริโนริ โทคิโตะ (รับบทโดย ทาคาโนริ อิวาตะ แห่งวง Sandaime J Soul Brothers) และวันถัดมาเธอก็ได้เจอกับโทคิโตะในลิฟต์คอนโด หากเป็นหนังรอมคอม เรื่องคงพัฒนาเป็นแนว ‘ดาราหนุ่มตัวร้ายกับยัยธรรมดา’ หากแต่การสานสัมพันธ์กับโทคิโตะไม่ได้ช่วยเติมเต็มนาโอมิเลย เธอไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไรจากเธอ และไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขาด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นที่พักไฮโซและเซเลบชื่อดังล้วนทำให้เธอยิ่งรู้สึกว่างเปล่ากว่าเดิม

ถึงกระนั้นโทคิโตะได้พูดประโยคสำคัญกับนาโอมิ เขาบอกว่าการแสดงคือ ‘การสร้างความจริงท่ามกลางการโกหก’ (หรือการแอ็กติ้ง) หากแต่นาโอมิกำลังทำสิ่งที่ตรงข้ามกัน แปลความได้ว่านาโอมิใช้ชีวิตตามแบบแผนของสังคม และเชื่อว่าการกระทำทุกอย่างคือตัวตนแท้จริงของเธอ หากแต่ที่จริงแล้วเธอกำลังโกหกอยู่ ทั้งต่อคนรอบข้างและตัวเอง

จากนั้นหนังก็ทำให้เราเห็นว่าทุกตัวละครล้วนใช้ชีวิตแบบสองหน้า โทคิโตะสร้างภาพหน้ากล้องว่าเป็นนักแสดงแสนดี แต่แท้จริงชิงชังผู้คนอย่างที่สุด, ไอโกะ เพื่อนสนิทของนาโอมิกำลังตั้งครรภ์ ทว่าเด็กในท้องกลับเป็นลูกของชู้รัก ส่วนอาสึโกะ ป้าของนาโอมิที่ทำตัวเป็นหญิงวัยกลางคนผู้ร่าเริง ลึกๆ แล้วเธอเหงาจับใจแม้ว่าจะมีสามีผู้แสนดี

เช่นนั้นแล้วนาโอมิจึงเริ่มปฏิวัติตัวเองใหม่ เธอผลักไสลุงป้าที่เอาใจใส่จนน่าอึดอัดออกจากชีวิต เธอขอสัมภาษณ์โทคิโตะและตีพิมพ์เป็นหนังสือเพื่อให้ตัวเองได้อะไรบ้างจากความสัมพันธ์อันคลุมเครือ นาโอมิเริ่มหัดใช้ประโยชน์และทำร้ายคนอื่น แต่มันอาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอทำอะไรตามใจตัวเอง นอกจากนั้นเธอยังพูดด้วยว่า “การเป็นคนเลวร้ายบางครั้งมันก็เป็นเรื่องโอเค”

ถ้าให้พูดตามตรง Living in Your Sky ถือเป็นผลงานระดับปานกลางของอาโอยามะ ประเด็นของมันไม่ได้แปลกใหม่น่าตื่นเต้น สารของหนังไม่ได้แหลมคม รวมถึงการต้องประนีประนอมใส่เพลงป๊อปของวง Sandaime J Soul Brothers (ที่ไม่เข้ากับหนังเอาเสียเลย) เพื่อผลทางการตลาด ทว่าหนังก็สามารถนำเสนอความรู้สึกส่วนลึกของมนุษย์ยุคสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ตรงกับที่อาโอยามะเคยให้สัมภาษณ์ถึงนิยามของภาพยนตร์ว่า “หนังคือชีวิตครับ แต่ที่จริงหนังอาจเป็นมากกว่าชีวิตอีก มันคือสิ่งที่บันทึกบางอย่างที่เราไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้”

AUTHOR