ทั้งปวดหลัง ออฟฟิศซินโดรม และโรคมากมาย ขอบคุณร่างกายของฉันที่รับมือได้ขนาดนี้

Highlights

  • ในฐานะคนบ้างานที่เหนื่อยล้าจิราภรณ์ วิหวา’ เคยคิดหวังว่าวันหนึ่งคุณหมอจะสั่งให้เธอแอดมิดเพื่อนอนเฉยๆ เติมพลัง
  • แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริง แทนที่เธอจะดีใจที่ได้นอนโรงพยาบาลอย่างที่ใฝ่ฝัน ภาระ หน้าที่ และเดดไลน์กลับไม่ทำให้เธอดีใจที่ได้นอนนิ่งๆ เพราะรู้ว่าภาระ หน้าที่ และเดดไลน์ นั้นสร้างความตะกุกตะกักให้ทุกสิ่งอย่างรอบตัวแทน
  • ท้ายที่สุดเธอก็ยอมจำนนว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากหลับตาลง และต่อสู้กับร่างสำออยของตัวเอง

ฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลที่เข้าไปด้วยโรคชิคุนกุนยา–โรคจากไวรัสตัวร้ายที่มากับยุงลาย ที่หากนึกย้อนไป ฉันคงเคยได้ยินชื่อโรคแปร่งหูนี้ในโฆษณารณรงค์ของกระทรวงสาธารณสุข แล้วก็คิดว่าไกลตัว เกินความเป็นไปได้ และคิดเข้าข้างตัวเองว่านอกจากเป็นออฟฟิศซินโดรม เป็นหมอนรองกระดูกอักเสบ และเป็นโรคปวดหัวจากความเครียด ก็เพียงพอแล้วที่มนุษย์คนหนึ่งจะรับมือ โลกและโรคควรปรานีกับเราบ้าง

ใช่, โรคที่ว่าไม่ปรานีฉัน ส่งผลให้ฉันเป็นไข้สูง ปวดตัวจนลุกไม่ไหว เท้าบวมจนเดินไม่ได้ ผื่นขึ้นตัวจนคล้ายจะลุกเป็นไฟ และต้องถูกหมอสั่งให้นอนโรงพยาบาลหลังเทียวเข้าเทียวออกวันเว้นวัน

ในฐานะคนบ้างานที่เหนื่อยล้า ฉันเคยคิดหวังว่าวันหนึ่งคุณหมอจะสั่งให้ฉันแอดมิดเพื่อนอนเฉยๆ เติมพลัง แต่ทุกครั้งที่ไปหาหมอด้วยอาการหายใจไม่ทัน หมอก็เพียงแค่สั่งให้กลับบ้านไปนอน จนมาในครั้งนี้ แทนที่ฉันจะดีใจที่ได้นอนโรงพยาบาลอย่างที่ใฝ่ฝัน ภาระ หน้าที่ และเดดไลน์กลับไม่ทำให้ฉันดีใจที่ได้นอนนิ่งๆ เพราะรู้ว่าภาระ หน้าที่ และเดดไลน์ จะถูกถ่ายทอดไปให้เพื่อนร่วมงานและสร้างความตะกุกตะกักให้ทุกสิ่งอย่างรอบตัวแทน

แต่แค่เพียงถูกทิ่มสายน้ำเกลือเข้าเส้นเลือดในมือข้างที่ถนัด (เจ็บมาก) ฉันก็ยอมจำนนว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากหลับตาลง ลืมตาโดยไม่มีจออยู่ข้างหน้า และหลับตาอย่างง่ายดายอีกครั้งวนซ้ำเป็นวงจร

จนเมื่อเหม่อมองเพดานและท้องฟ้านอกห้องผู้ป่วยอย่างหนำใจ ฉันก็เริ่มคิดถึงอาการป่วยแบบหมกมุ่นจริงจัง อยากบันทึกทุกความเจ็บปวดที่ร่างกายเรียกร้องออกมา เพลง วันที่ฉันป่วย ของอาร์มแชร์ อธิบายความรู้สึกเป็นไข้นอนซมไม่ครบถ้วนนี่นา อาการปวดหัว รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวที่เคยเขียนในใบลาครูสมัยประถม ช่างรวบรัดและดูออกน้าว่าป่วยการเมือง เราจะอธิบายความร้อนผะผ่าวในร่างกายแล้วหนาวเยือกในเวลาเดียวกันได้ชัดๆ ด้วยคำใดได้ แล้วความป่วยไข้นี้มันส่งผลต่อใจเราแค่ไหน ไฟพลุ่งพล่านที่อยากลงมือทำทุกอย่างมันถูกยาลดไข้ที่พยาบาลฉีดให้ทำลายไปแล้วหรือ เป้าหมายชีวิตที่เคยใหญ่โต แผนที่เคยวางยืดยาว เหตุใดเหลือแค่การพยายามทำนายอาการปวดฉี่ล่วงหน้า แล้วทุลักทุเลเข็นเสาน้ำเกลือไปเข้าห้องน้ำด้วยตัวเองให้ได้ หากสามารถผูกเชือกกางเกงคนป่วยเองได้ ก็นับเป็นโบนัสที่ดีใจเป็นพิเศษ

มากกว่านั้น ฉันยังพยายามอธิบายเฟสต่างๆ ของความป่วยไข้ส่วนตัว ในเฟสแรก ฉันรู้สึกรู้สมทุกอาการที่เกิด จินตนาการถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สำออยเพื่อให้คนรอบตัวดูแล เรียกร้องการเอาใจใส่ขนาดหมั่นไส้ตัวเอง ก่อนที่เฟสถัดมา แม้อาการหนักกว่าเก่า แต่กลับถูกความรับผิดชอบเอ่อท่วม คิดว่าต้องรีบหาย และฝืนทำงานก่อนจะพบว่าไม่ไหวอยู่ดี จนเฟสที่สามเมื่อยอมรับความจริงว่าเป็นคนป่วยสมบูรณ์แบบนั่นแหละ ฉันก็สิ้นไร้ความคิดต่อวันพรุ่งนี้ เหมือนไม่สนแล้วว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไร

และในเฟสสุดท้ายที่เกือบจะหาย ใกล้จะกลับมาเป็นปกติ แม้จะเป็นช่วงที่ทุเลาโรค แต่ฉันกลับคิดว่าเป็นช่วงที่อาการหนักที่สุด ด้วยแรงเฉื่อยและแรงเฉาทำให้เสพติดการเป็นคนป่วย อยากจะนอนเยอะๆ อยากจะกินของอร่อยชดเชยเมนูในชามปิดฝา ไม่อยากกลับไปทำงาน และไม่อยากรับมือกับโลกจริง หากไม่เท่าทัน ฉันคงอ่อนข้อให้ร่างกาย และยอมสำออยต่อไปอีกหน่อย แต่พอรู้เท่าทันตัวเองในเฟสต่างๆ ฉันก็ลุกขึ้นมาเขียนต้นฉบับชิ้นนี้ และพร่ำบ่นกับตัวเองอีกหนึ่งยก

ร่างสำออยเถียงกลับว่าขอมีตัวตนบ้างได้ไหม ในขณะที่ร่างแข็งขันบอกว่าเธอได้สิทธินั้นจนสาแก่ใจแล้ว ถึงเวลาหายจากโรคหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่งแล้วย่ะ ส่วนร่างรำพึงรำพันตื่นเต้นใจว่าทุกร่างได้กลับมาทบทวนร่วมกัน มีร่างไหนอยากส่งเสียงอะไรอีกบ้าง ยกมือขึ้นเลย

ก่อนจะมีอีกหลายๆ ร่างโผล่ออกมา ฉันก็ต้อนทุกร่างกลับเข้าที่ ขอบคุณร่างกายหนึ่งทีที่พยายามหายดีโดยไม่สนร่างนี้ร่างนั้น และตั้งใจว่าจะดูแลร่างกายให้ดีกว่านี้ เพื่อไม่ให้ร่างเอาแต่ใจ ร่างสำออย และร่างไร้แพสชั่น ออกมายึดครองพื้นที่ได้บ่อยๆ 

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าผู้เขียนยังเพ้อไข้อยู่หรือเปล่า พร่ำบ่นมากมายถึงอะไรกันแน่ เอาเป็นว่าฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าพอมีประโยชน์ไหม แต่หากป่วยเมื่อไหร่ ลองเรียกร่างต่างๆ มาประชุมดูนะ มันบอกอะไรเราได้หลายอย่างเลย

AUTHOR