งานเร่ง พิษเก่ง เงินเดือนใกล้หมด ‘กว่าจะถึงออฟฟิศ’ เพจที่จะบ่นแทนมนุษย์ออฟฟิศทุกคนเอง

Highlights

  • กว่าจะถึงออฟฟิศ คือเพจรวมเรื่องราวที่ต้องพบเจอในช่วงเวลากว่าจะถึงออฟฟิศ การจราจรบ้าง เพื่อนร่วมโลกบ้าง แต่ปัจจุบันถึงออฟฟิศแล้วเพจก็ยังบ่นเรื่องอื่นได้อีก
  • ด้วยความที่เป็นคนขี้บ่น อ้อม–ณัฐฐาอำพัน อินทร์พรหม เจ้าของเพจ เลยมีเรื่องให้เลือกหยิบมาบ่นเต็มไปหมด และไหนๆ ก็วาดรูปเป็น จะบ่นทั้งทีก็ให้มีศิลปะหน่อยแล้วกัน

“มนุษย์ออฟฟิศทุกคนสู้ๆ เดินหน้าทำงานไป เราจะบ่นแทนทุกคนเอง” 

นี่คือคำตอบ จาก อ้อม–ณัฐฐาอำพัน อินทร์พรหม เจ้าของเพจกว่าจะถึงออฟฟิศ เมื่อเราถามคำถามคลิเช่ๆ เป็นข้อสุดท้ายว่าอยากจะฝากอะไรถึงมนุษย์ออฟฟิศ

จาก illustrator ในบริษัทแห่งหนึ่งย่านรถติด จากพนักงานออฟฟิศขี้บ่นและชอบเล่นมุกเรี่ยราดห้าบาทสิบบาทก็เอา คิดไปคิดมา จะบ่นทั้งที เปิดเพจเลยก็แล้วกัน ตั้งแต่ 15 พฤษภาคม 2018 นับนิ้วแบบไวๆ ก็ผ่านไปแปดเดือน เพจมาไกลถึงกว่า 50,000 ไลก์ และพูดได้เต็มปากว่า เธอทำเพจนี้เพียงคนเดียว ทั้งคิดมุก วาดภาพ แคปชั่น ยันการโพสต์ และการที่เพจมาได้ไกลขนาดนี้ ก็เป็นสิ่งที่เธอหวังเอาไว้อยู่ในใจเหมือนกัน

“ถ้าจะบอกว่าไม่คิดก็จะดูไม่จริงใจเอาเสียเลย คนเล่นมุกเขาก็อยากให้คนอื่นขำกันทุกคน แป้กไม่แป้กค่อยวัดกันที่จังหวะ ไม่ก็ดวง”

แต่เมื่อได้ฟังวิธีการทำงานจากปากเธอ เราคิดว่าไม่ใช่เพราะดวงเสียแล้ว

ช่วยเล่าที่มาที่ไปและจุดเริ่มต้นของเพจให้ฟังหน่อย 

กว่าจะถึงออฟฟิศ ก็คือที่มาของเพจค่ะ คอนเทนต์ของเพจในช่วงแรกเป็นเรื่องราวที่ต้องพบเจอในช่วงเวลากว่าจะถึงออฟฟิศนั่นแหละ การจราจรบ้าง เพื่อนร่วมโลกบ้าง แต่ปัจจุบันถึงออฟฟิศแล้วก็ยังบ่นเรื่องอื่นได้อีก ด้วยความที่เราเป็นคนขี้บ่น เลยมีเรื่องให้เลือกหยิบมาบ่นเต็มไปหมด ไหนๆ ก็วาดรูปเป็น จะบ่นทั้งทีก็ให้มันมีศิลปะหน่อยแล้วกัน

 

ทุกวันนี้อธิบายเพจกว่าจะถึงออฟฟิศว่ายังไง 

เป็นเพจที่ทำให้เรื่องหยุมหยิมเป็นเรื่องหยุมหยิมชุบแป้งทอด หลายๆ โพสต์เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของมันอยู่ดีๆ แต่พอหยิบขึ้นมาพูดก็มีคนที่เห็นหรือมีประสบการณ์ร่วมกัน ส่วนใหญ่เป็นการบ่น พอเนื้อหามันลบอยู่แล้วเราเลยเลือกนำเสนอให้ออกมาตลก แชร์ไปให้คนอื่นดูแล้วยิ้มได้ จะเป็นยิ้มแห้งๆ ไหมก็อีกเรื่องนึง

 

 

อยากบ่นก็บ่นเลย หรือมีการวางตารางไว้บ้างไหมว่าในหนึ่งสัปดาห์จะมีกี่โพสต์

ไม่เลย เราไม่มีแพลนเรื่องจำนวนในแต่ละสัปดาห์ค่ะ ตกลงกับตัวเองว่าอย่าต่ำกว่า 2 โพสต์ ให้คนรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่นะ ถ้าจะกำหนดคงเป็นเวลาโพสต์มากกว่า ส่วนใหญ่จะเลือกแถวๆ 8 โมงเช้าหรือ 5 โมงเย็นตามคอนเซปต์พนักงานออฟฟิศ และแน่นอน หยุด เสาร์-อาทิตย์ นะทุกคน

 

มีวิธีการคิดยังไงในการบ่นแต่ละที เพราะภาพดี มุกได้ แคปชั่นก็โดนใจ ไปด้วยกันทั้งหมด

เราเป็นประชากรในสังคมที่ชอบปล่อยมุกเรี่ยราด เก็บทุกเม็ด ในหัวจะมีกระบวนการกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาว่าจังหวะนี้แหละ ง่ายๆ คือต้องรู้ว่ามุกแต่ละมุกเราจะเล่นกับใคร กลุ่มเป้าหมายเราชัดอยู่แล้วว่าเป็นพนักงานออฟฟิศ ไม่ยากเลยที่จะคลิกกันเพราะเหมือนคุยกับเพื่อน 

 

เพจนี้ดูจะพูดทุกอย่างแทนใจมนุษย์ออฟฟิศไปหมดแล้ว อะไรทำให้คอนเทนต์ถึงใจคนอ่านได้ขนาดนี้

ง่ายๆ คือเริ่มมาจากตัวเราก่อน เราอยากจะบ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ เจอกับตัวบ้าง เพื่อนๆ มาบ่นให้ฟังบ้าง ถึงได้ไอเดียในการคิดคอนเทนต์ บวกกับการที่อ่านความคิดเห็นของหลายๆ คน ทำให้รู้ว่าพนักงานออฟฟิศส่วนใหญ่ก็มีสิ่งแวดล้อมที่ไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก ประเด็นที่หยิบมาจึงทัชเขา

อ่านอะไร ดูอะไร มุกในเพจถึงโดนใจคนมากมายเหลือเกิน

ยอมรับว่าไม่ใช่คนรักการอ่านแต่เราชอบดูหนัง โพสต์ส่วนใหญ่จะเห็นว่าเราหยิบคาแร็กเตอร์มาจากซีนดังหลายๆ เรื่อง ตรงนี้ช่วยเรื่องอิมแพกต์คนมากนะ เหมือนเราจ้างเขามาเป็นพรีเซนเตอร์ทำให้เรื่องในสำนักงานดูแฟนซีขึ้นมาเฉย

 

โพสต์ไหนที่คนแชร์เยอะสุด คิดว่าเพราะอะไร

เดินฝ่าดงคนหยุดไปทำงาน ก่อนอื่นเลยคาแร็กเตอร์ค่อนข้างชัด ตีลังกาดูก็รู้ว่าเป็นใคร โพสต์นี้ลงช่วงสัปดาห์สิ้นปี ถนนโล่งมาก ไม่ต้องลงข่าวก็รู้ว่าคนอื่นหยุดกันหมดแล้ว จึงจี้ใจคนที่ยังต้องไปทำงานพอสมควร แชร์ไปตัดพ้อก็มี แชร์ไปล้อเพื่อนก็มาก

คิดว่าสิ่งที่มนุษย์ออฟฟิศต้องเจอทุกวันมันเฮลตี้หรือเปล่า

ส่วนตัวคิดว่าไม่เฮลตี้และหลีกเลี่ยงได้ยากมาก ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ออฟฟิศซินโดรมคือเพื่อนรัก ส่วนใหญ่พักผ่อนกันน้อย ออกกำลังกายไม่ต้องพูดถึง แต่ก็อยู่ที่ตัวบุคคลล้วนๆ เหมารวมคงไม่ได้ ช่วงนี้เทรนด์สุขภาพมาแรงมาก ก็เลือกนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุด

 

บรรยากาศออฟฟิศแบบไหนช่วยส่งเสริมให้คนอยากทำงาน

เป็นกันเอง บรรยากาศไม่อึมครึมจนต้องเดินเกร็งตอนไปเติมน้ำ เพื่อนร่วมงานดีมีชัยไปกว่าครึ่งค่ะ ทำงานที่ไหนแล้วสบายใจ ก็เหมือนออกจากบ้านมาอยู่บ้านอีกหลังแบบนั้นแหละ คืออยากไปทำงานทุกวัน 

อะไรคือข้อดีและความสนุกของการเป็นมนุษย์ออฟฟิศ

เย็น…ก็ส่วนหนึ่ง แต่การเป็นมนุษย์ออฟฟิศเราคิดว่าคือการได้มีโอกาสร่วมงานกับกลุ่มคนที่หลากหลายมากๆ เกิดการแชร์ การประสานงาน สังคมกว้างขึ้น เป็นรสชาติชีวิตรูปแบบหนึ่งในช่วงวัยหนุ่มสาวและวัยกลางคน เพื่อเลเวลอัพไปสู่วัยชราอย่างกล้าแกร่ง

แต่ข้อเสียคือการที่ได้พบเจอกับกลุ่มคนที่หลากหลายนี่ล่ะ เราไม่รู้เลยว่าเขาจะดีจะร้ายยังไง ในออฟฟิศเราอาจเจอทั้งคนดี คนเก่ง คนขี้โม้ คนหัวร้อน คนตลกหรือคนบ้า ก็ต้องรับมือให้ได้

 

ถ้าเลือกได้ อยากเป็นมนุษย์ออฟฟิศไหม

ไม่อยาก เพราะค่อนข้างเปลืองเวลาชีวิต เวลาในแต่ละวันใช้ไปกับการเดินทาง เหนื่อยกว่าทำงานมาทั้งวัน เสียสุขภาพกับการนั่งท่าเดิมๆ แต่ในเมื่อบริษัทที่เรารักไม่ได้เสนอให้เราทำงานที่บ้านได้ เราก็ต้องเคารพกติกาของเขาด้วย 

จะเป็นมนุษย์ออฟฟิศไปจนถึงเมื่อไหร่

คำถามนี้ตอบยากมาก ชั่วโมงบินของเรายังน้อย อาจจะเลิกเป็นถ้าพบลู่ทางอื่นที่น่าสนใจกว่า แต่ปัจจุบันยังสนุกกับงานที่ทำอยู่เลย

 

ในฐานะแอดมินเพจกว่าจะถึงออฟฟิศ กลัว AI จะมาแทนที่คนทำงานไหมในอนาคต แล้วหน้าตาคอนเทนต์ในเพจตอนนั้นจะเป็นแบบไหน

ยังไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แต่การแทนที่ก็มีให้เห็นบ้างแล้ว หรือเพราะเราทำงานด้านศิลปะ เลยคิดว่าตราบใดที่ยังมีความคิดสร้างสรรค์ ก็ยังจะดิ้นกันไปได้เรื่อยๆ  ส่วนคอนเทนต์ของเพจในอนาคต ก็คงจะบ่น AI อยู่แน่ๆ

AUTHOR