“I’m going back to a time when we owned this town
Down Powdermill lane and the Battle grounds
We were friends and lovers and clueless clowns”
ท่อนแรกของเพลง
Sovereign Light Café ซึ่งเป็นซิงเกิลที่ 3
จากอัลบั้มที่ 4 – Strangeland ของวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกสัญชาติอังกฤษ
Keane เป็นเนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่ติดหูเรามากที่สุด
เพลงนี้ถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2012 และกลายเป็นหนึ่งในเพลงโปรดตลอดกาลของเรา
ที่มักเพราะเป็นพิเศษเมื่อเปิดฟังยามขับรถไปทะเล หรือเปิดในคืนสบายใจที่ได้นั่งพักผ่อน
เมื่อเรามีโอกาสไปเที่ยวประเทศอังกฤษในเดือนตุลาคม
2016 เป็นเวลานานถึง
2 สัปดาห์เศษ เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นกัลยาณมิตรในการฟังเพลงจึงไม่ลืมที่จะเตือนว่า
“แวะไป Sovereign Light Café ด้วยสิ มันไม่ไกลจากลอนดอนนะ” และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้รู้จักเมืองเล็กๆ
ชื่อ Bexhill-on-Sea ที่มี Sovereign Light Café ของจริง อยู่ริมทะเลตรงไหนสักแห่ง
จากการหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตพบว่า
Bexhill-on-Sea เป็นเมืองตากอากาศริมชายฝั่งทะเล เป็นส่วนหนึ่งของมณฑล East Sussex
และอยู่ห่างจากลอนดอนประมาณ 73 ไมล์ ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟราวๆ
2 ชั่วโมงเท่านั้น มีสถานที่น่าสนใจคือ De La Warr
Pavilion ซึ่งเป็นอาคารสไตล์โมเดิร์นแห่งแรกๆ ในอังกฤษ สร้างตั้งแต่ปี
1935 และปัจจุบันมีสถานะเป็น Center of Art &
Culture ของเมือง แล้วก็มี Bexhill On Sea Museum จัดแสดงงานศิลปะที่น่าสนใจ รวมถึงประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
ด้วยความที่เป็นเมืองเล็ก ทั้ง De La Warr Pavillion, Bexhill On
Sea Musuem และ Sovereign Light Café จึงอยู่ในบริเวณใกล้ๆ
กันหมดแบบเดินไม่กี่นาทีก็ถึง แถมจุดเริ่มต้นอย่าง De La Warr Pavillion ยังใช้เวลาเดินเพียงแค่ 10 นาทีจากสถานีรถไฟ พอได้ข้อมูลเพียงพอแล้ว
เราก็ตัดสินใจจองตั๋วรถไฟทันที ในใจไม่คิดอะไรมาก อยากเที่ยวแบบไม่คาดหวัง ไม่รู้อะไรเยอะ
เอาแค่ได้ไป Sovereign Light Café ของจริงและได้เห็นทะเลอังกฤษก็คิดว่าคุ้มแล้ว
ไปถึง Bexhill-on-Sea ในเช้าวันจันทร์ที่
10 ตุลาคม วันนั้นแดดจ้าฟ้าใสผิดวิสัยสหราชอาณาจักร ความรู้สึกแรกหลังเดินออกมาจากสถานีรถไฟคือที่นี่ช่างเป็นเมืองเล็กๆ
ที่สดใส และที่สำคัญคือ มีแต่คนแก่เต็มไปหมดเลย!
ทุกเมืองในสหราชอาณาจักรจะมีสถานีรถไฟอยู่ที่ศูนย์กลางเมือง
ดังนั้นการเดินทางจึงเป็นเรื่องสะดวกสบายสำหรับคนที่นี่แม้จะไม่มีรถ เมื่อเรานั่งรถไฟมา
และจะเดินต่อไปที่ชายหาด จึงได้เดินผ่านใจกลางเมืองซึ่งเป็นถนนช้อปปิ้งไปโดยปริยาย
แต่บรรยากาศมันช่างแตกต่างจากทุกแหล่งช้อปปิ้งที่เราเคยสัมผัส เพราะ 90% ของประชากรที่เห็นเป็นผู้สูงอายุ
ทุกคนเดินกันอย่างช้าๆ และมักจะมากันเป็นคู่ เมื่อจะข้ามถนน เราก็จะเจอรถที่ขับช้าๆ
และหยุดให้เราข้ามก่อนเสมอ เมื่อมองไปที่คนขับเพื่อขอบคุณก็จะเห็นคุณตาคุณยายหน้าตาใจดี
ยิ้มตอบให้เราจากหลังพวงมาลัย
ร้านรวงต่างๆ ล้วนเต็มไปด้วยรายละเอียดที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ
ไม่ว่าจะเป็นป้ายราคาที่เขียนตัวใหญ่ชัดเจน ร้านเสื้อผ้าที่มีหุ่นโชว์สวมเสื้อผ้าอุ่นสบาย
มากกว่าเสื้อผ้าที่ดูเปรี้ยวเก๋ล้ำสมัย หรือฟุตปาทที่ขอบเตี้ยแต่กว้างขวาง สะดวกต่อการเข็นรถเข็นขึ้นลงและเดินสวนกันได้โดยไม่แออัด
พร้อมม้านั่งสำหรับพักที่มีอยู่ทั่วไป ที่นี่ยังมีร้านรับจัดงานศพและบริการต่างๆ สำหรับผู้วางแผนจะลาจากโลกนี้อยู่แทบทุกมุมเมือง
เหมือนเป็นไลฟ์สไตล์อย่างหนึ่งซึ่งแสนจะธรรมดา นี่คือเมืองที่ออกแบบมาให้ผู้สูงอายุได้พักอาศัยในบั้นปลายอย่างแท้จริง
เมื่อเดินถึง De La Waar Pavilion เรายิ่งตื่นเต้นกับบรรยากาศที่ดูเหมือนหอศิลป์สำหรับหนุ่มสาววัย 50
อัพ ที่นี่เป็นอาคารหน้าตาโมเดิร์นริมทะเล ที่มีร้านรวงน่ารัก มีร้านกาแฟเอาต์ดอร์
มีแกลเลอรี่ศิลปะ มีโดมและดาดฟ้าให้ขึ้นไปชมวิว แต่สิ่งที่ทำให้บรรยากาศของที่นี่ไม่เหมือนที่ไหนที่เคยเจอ
คือทุกมุมเต็มไปด้วยคุณป้า คุณลุง คุณตา คุณยายที่จูงมือ เกาะแขนกันมาเดินตากอากาศ ใส่แว่นกันแดดนั่งจิบกาแฟชมทะเล
ชมงานศิลป์ด้วยกัน ไม่ต่างจากหนุ่มสาวฮิปๆ ใจกลางเมือง
อีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบมากๆ ของที่นี่
คือทางเดินเลียบชายหาดที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ระหว่างทางจะมีช่องให้สามารถเดินลงไปริมทะเลได้เป็นระยะ
แต่เป็นหาดหินนะไม่ใช่หาดทราย และอีกฝั่งของทางเดินเป็นสวนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ที่แข่งกันบาน
สลับกับม้านั่ง และสิ่งที่เป็นเหมือนกล่องนั่งพักหน้าตาโมเดิร์นสำหรับคนที่ต้องการหลบแดด
เราเจอคนทุกรูปแบบที่นี่ ทั้งคู่รักคุณปู่คุณย่า ครอบครัวที่เข็นลูกเล็กๆ มาเดินเล่น
คนจูงสุนัขที่ยืนทักทายกัน และคนที่มาจ็อกกิ้งออกกำลังกาย เราเดินเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศแสนผ่อนคลาย
และก่อนจะรู้ตัว Sovereign Light Café
ของจริงก็อยู่ตรงหน้าเรา ข้างทางเดินริมทะเลนี่เอง
ความรู้สึกขณะเดินใกล้ Sovereign Light Café เข้าไปเรื่อย ๆ คล้ายกันกับความรู้สึกตอนมองแผ่นดินเคลื่อนผ่านขณะที่เราใกล้ถึง
UK ใจมันเต้นแรงแปลกๆ รู้สึกกึ่งฝันกึ่งจริง เพราะเป็นที่ๆ เราใฝ่ฝันมานานว่าจะได้มา
แต่คงเพราะนี่คือการเดินเท้า และเห็นจุดหมายอยู่ในที่โล่งตรงหน้า ความรู้สึกนั้นจึงชัดเจนกว่าตอนอยู่บนเครื่องบิน
ในสมองมีภาพย้อนไปตลอดเวลาหลายเดือนที่เราเคยเปิดดูรูปถ่ายของคนอื่น เคยอ่านบันทึกการเดินทางของคนอื่น
เคยคิดฝันถึงการมาด้วยตัวเอง จนถึงนาทีที่มันอยู่ตรงหน้าเราแล้วจริงๆ มันช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกและทำให้ใจแกว่งอย่างตื่นเต้นปนไม่เชื่อว่านี่คือความจริง
ทั้งที่มันก็แค่คาเฟ่ริมทะเลแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีไฮไลต์อะไรมากไปกว่าการถูกพูดถึงในเพลงของวงดนตรีที่เราชื่นชอบ
เราเข้าร้านไปสั่ง Fish & Chips และกาแฟ
1 แก้ว พร้อมซื้อโปสการ์ดรูปวาดของร้านมา 2 ใบ
ให้เพื่อนและตัวเอง แล้วเลือกออกมานั่งที่เก้าอี้นอกร้าน ในใจยังคิดว่ามันคือเก้าอี้อะลูมิเนียมชุดเดียวกับที่เห็นในมิวสิกวิดีโอนั่นแหละ
ระหว่างที่นั่งรออาหารที่เสิร์ฟช้าเกินควร แต่กลับไม่ทำให้เราอารมณ์เสีย-ระหว่างที่จิบกาแฟที่ไม่อร่อยเลยแต่กลับไม่ทำให้เราอารมณ์เสีย-ระหว่างที่กิน Fish & Chips ที่รสชาติงั้นๆ แต่กลับไม่ทำให้เราอารมณ์เสีย-ความคิดหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในใจเรา
“มันสำคัญตรงที่เราได้มาอย่างที่ตั้งใจแล้ว”
เรายิ้มให้กับทุกอย่างในตอนนั้น และที่สำคัญคือไม่ลืมยิ้มให้กับตัวเอง
ที่ได้พาตัวเองไปนั่งอยู่ตรงนั้น ทานอาหารอยู่หน้า Sovereign Light Café ที่เราอยากไปมาตั้งนาน
🙂
เหตุผลติ่ง ๆ ที่ทำให้เราอยากมาคาเฟ่แห่งนี้
นำพาเรามาพบเมืองหนึ่งที่ไม่ป๊อปเอาซะเลยในหมู่นักท่องเที่ยวและแม้แต่กับคนอังกฤษเอง
แต่กลับเป็นเมืองที่มีบรรยากาศน่ารักเกินคาดคิด มีความโรแมนติกอยู่ในทุกอณู เพราะหนุ่มสาวที่จูงมือกันเดินอยู่ที่นี่ไม่ได้เพิ่งพบรักกันเมื่อเร็วๆ
นี้ แต่เป็นคุณปู่ย่าตายายที่ผ่านชีวิตร่วมกันมาจนถึงบั้นปลาย เป็นความอุ่นใจชวนให้ยิ้มอย่างประหลาด
เมื่อเราได้เดินสำรวจเมืองที่ดูไม่มีอะไรพิเศษ แต่ปลอดภัย เนิบช้า และเต็มไปด้วยผู้คนที่อยู่เคียงข้างกันและกันในช่วงสุดท้ายของชีวิต
ผู้คนที่แม้จะเดินไม่ค่อยไหว แต่ก็ยังมีคนจูงมือออกมาเดินเล่นในวันที่อากาศดี ชวนกันชมความสวยงามของชายหาด
และยังดื่มด่ำกับงานศิลปะและกาแฟแก้วโปรดด้วยกัน แม้ในวัยที่สายตาเริ่มฝ้าฟาง
สิ่งที่ได้จากทริปนี้ นอกจากประสบการณ์สัมผัสทะเลอังกฤษ (น้ำเย็นเฉียบเลย เอานิ้วไปจิ้มมา)
และได้ไปนั่งทำเก๋หน้า Sovereign Light Café ให้เพื่อนติ่งได้อิจฉาแล้ว
เรายังได้รู้ว่า บางทีมันก็ไม่สำคัญเลยว่าปลายทางจะมีอะไรรออยู่ แต่มันสำคัญที่เราได้ตัดสินใจ
และลงมือทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำมานานจนสำเร็จต่างหาก ที่ให้ความรู้สึกที่ดีที่สุดกับเราแบบที่อย่างอื่นไม่สามารถทดแทนได้
เราหลงรัก Bexhill-on-Sea ไปโดยไม่รู้ตัว
และกลับมาพร้อมพลังใจบางอย่างในการใช้ชีวิตที่เราไม่คาดคิดว่าจะได้รับจากเมืองคนแก่แห่งนี้
และสัญญากับตัวเองว่าจะยังคงตามหา Sovereign Light Café แห่งต่อไปในชีวิตอีกเรื่อย
ๆ 🙂
Sovereign Light Café
address: W Parade, Bexhill-on-Sea TN39 3DX, UK
phone number: 01424222136
หมายเหตุ:
1. หากเดินทางด้วยรถไฟ ตั้งใจฟังประกาศให้ดีๆ
เพราะปลายทางเป็นเมืองเล็ก รถทั้งขบวนจึงไม่ได้มุ่งตรงมาที่นี่อย่างเดียว จะมีการแบ่งโบกี้แยกเส้นทางกันเป็นระยะจากลอนดอน
เลือกนั่งให้ถูกโบกี้ ไม่อย่างนั้นอาจหลงไปเมืองอื่นได้ หากไม่แน่ใจ รีบถามเจ้าหน้าที่บนรถไฟเพื่อความชัวร์นะ
2. เราพลาดที่ไม่ได้เข้าไป
Bexhill Museum เพราะเวลาไม่พอ แต่แนะนำให้ทุกคนแวะไป คงยิ่งประทับใจกับเมืองน่ารักแห่งนี้ได้มากขึ้น
3. สถานที่อื่นๆ ในเพลง Sovereign
Light Café ก็มีอยู่จริงหมด ใน East Sussex นี่แหละ
แต่มิวสิกวิดีโอทั้งหมดถ่ายที่ Bexhill รวมถึงภาพประกอบอัลบั้ม
Strangeland ด้วย ดูได้ข้างล่างเลย
Maps:
ใครอยากส่งเรื่องที่น่าเที่ยวมาลงเว็บไซต์ a day online คลิกที่นี่เลย