ทริป 8 วัน 5 เมือง ณ คันไซ สำหรับคนหลงทางง่าย จำทางไม่เก่ง และเน้นกินเป็นหลัก

นี่คือทริป 8 วัน กับ 5 เมือง  คันไซ ครั้งแรกของเรา

เนื่องจากจิ้มตั๋วราคาโปรโมชั่นมา เราจึงมีชะตากรรมต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่มาเก๊าเป็นเวลา 7 ชั่วโมง ก็คือต้องนอนที่สนามบินนั่นเอง แถมหลับเพลินจนลาสต์คอลเกือบตกเครื่องตั้งแต่ยังไม่เริ่มทริป แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไปถึงโอซาก้าโดยสวัสดิภาพ

ห้องพักลึกลับที่เราจองผ่าน Airbnb เป็นประตูหนึ่งบานในตรอกใจกลางย่านบันเทิงอย่างอูเมดะ เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับบันได น้ำตาไหลพรากเลยสิคะ กระเป๋าดิฉันหนักมาก แต่ต้องสู้ต่อไปแม้กล้ามน้อยๆ จะอ่อนแรงเต็มที ฝ่าฟันมาจนถึงขั้นสุดท้ายเราก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง เพราะที่พักโอเคมากๆ ถ้าให้บรรยายจะยาวเกินไป เอาเป็นว่ามีครบทุกอย่างที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งต้องการ เหนือสิ่งอื่นใดคือมีกล้วยให้กินฟรีทุกวัน ไม่อดตายแล้วจ้า

เอาล่ะ วันพรุ่งนี้ทริป 8 วัน กับ 5 เมือง คันไซ ครั้งแรกของเรากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

Osaka

ชุดพร้อม กระเป๋าพร้อม ออกเดินทางได้! เราเริ่มเที่ยวรอบๆ โอซาก้าก่อน สำหรับคนที่หลงทางง่าย จำทางไม่เก่งอย่างเรา ยังรู้สึกว่าที่นี่เดินทางง่ายเลย เพราะเน้นเดินทางด้วยรถไฟอย่างเดียว หลงก็ไม่กลัวตราบใดที่เรามีกูเกิลแมปส์เพื่อนรัก เราไปเก็บแลนด์มาร์กต่างๆ โดยไปกับพี่บ้าง แต่ส่วนมากจะแยกไปเที่ยวคนเดียวเพื่อให้พี่ได้สวีตกับแฟน

เมืองนี้แม้อาจไม่ได้มีอะไรว้าวมาก แต่กลับเติมเต็มช่วงวันหยุดของเราได้ครบ โดยเฉพาะที่ Universal Studios Japan ที่นี่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้บินจริงๆ บน Flying Dinosaur สนุกไปกับเครื่องเล่นน่ารักๆ และเมืองจำลองสุดอลังการจากเรื่อง Harry Potter ที่จัดเต็ม ครบทุกรายละเอียด จนสาวกแฮร์รี่อย่างเราขอชื่นชม

ต่อด้วยเติมเต็มความฟินจากสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด นั่นคือ ‘การกิน’ โดยเฉพาะซูชิจากร้าน Uoshin เราปักหมุดร้านนี้ไว้ตั้งแต่ที่ไทย และบังเอิญที่สุดในโลกที่ร้านอยู่ใกล้ที่พักเรา ไปสิคะรออะไร ซึ่งไม่ผิดหวังจริงๆ ซูชิคุณภาพคำโตในร้านสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ แบบพนักงานประสานเสียงต้อนรับดังไปถึงไทย แถมเรื่องเซอต้องยกให้ญี่ปุ่นเขาจริงๆ

ตลอดทริปเราชิมโน่นนี่เยอะมาก เน้นกินจุบจิบ ไม่ค่อยมีมื้อใหญ่ ตามลิสต์ที่เตรียมไว้หลายอย่าง ซึ่งเป้าหมายอย่างหนึ่งของเราคือโดนัทคริสปี้ ครีม คอลเลกชั่น Barbapapa ที่มีขายเฉพาะญี่ปุ่นในช่วงที่เราไปพอดี หลังจากตามหาจนเจอ เราจึงฉลองความสำเร็จด้วยการเอาไปถ่ายรูปบน Tempozan Ferris Wheel นี่แหละความสุขเล็กๆ ของเรา

จุดสุดท้ายที่โอซาก้าเติมเต็มเราคือสีสันของชีวิต แปลกไหมที่เราชอบโอซาก้าช่วงกลางคืน มันเต็มไปด้วยแสงสีและผู้คน เราเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปในย่านโดตนโบริ ร้านขาปูยักษ์ ร้านทาโกะยากิ หรือแม้กระทั่งตึก Donki ต้องไม่ลืมไปถ่ายกับ Glico Man ด้วยนะ เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง

เราเดินชมบรรยากาศเมืองยามค่ำคืนถึงเที่ยงคืนตีหนึ่งทุกวัน ย่านที่พักอย่างอูเมดะแม้ดึกคนก็ยังพลุกพล่าน เป็นบรรยากาศแฮงเอาต์กันหลังเลิกงาน มีสิ่งบันเทิงครบทุกรูปแบบ เราตัดสินใจลองเข้าไปในเกมเซนเตอร์แห่งหนึ่ง ที่ญี่ปุ่นเขาเล่นเกมกันจริงจังมาก แต่ความเศร้าคือมันเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน อยู่ในจุดที่ทำได้แค่หนีบตุ๊กตาและหมุนกาชาปองอย่างเหงาๆ

Himeji

Kansai Thru Pass ซื้อมาแล้วก็ต้องใช้ให้คุ้ม ตามแพลนคือเราจะแวะไปฮิเมจิแค่ 2-3 ชั่วโมง เพื่อชมความงดงามของปราสาทฮิเมจิ เมื่อถึงที่หมายพี่และแฟนพี่ก็ซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิวข้างบนปราสาท ส่วนโสด ใจดี สปอร์ต อย่างเรานั้นเดินสวยๆ อยู่ข้างล่าง ขอดูภาพรวมพอ เนื่องจากงบส่วนใหญ่หมดไปกับการกิน เป็นปราสาทที่สวยจริงๆ นั่นแหละ ยิ่งถ้ามาช่วงซากุระบานด้วยยิ่งวิเศษไปเลย แต่ช่วงที่เราไปซากุระได้จากไปเสียแล้ว เสียดายเบาๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมีดอกไม้สีชมพูอื่นๆ ให้ได้ชื่นชม

ระหว่างที่หันกล้องไปมาเราก็บังเอิญไปเจอกับแก๊งแมวเหมียวที่กำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่ง เราตัดสินใจเดินตามพวกมันไปจึงพบว่ามันมารวมตัวกันเพื่อหม่ำข้าวกลางวันจากชายคนหนึ่ง

แปลกดีนะ เราเฝ้าดูพวกมันอยู่นานอย่างไม่เบื่อเลย โดยเฉพาะเจ้าตัวสีขาวที่แสนจะน่ารักและปุกปุย แม้เราจะอยู่ที่เมืองนี้แค่แป๊บเดียว แต่เราชอบความสบายตา ความสะอาด ความเรียบง่าย และความไม่วุ่นวาย ของเมืองนี้ หากมีเวลาสักหนึ่งวันเต็ม เราอยากเช่าจักรยานขี่เที่ยวรอบเมือง พร้อมซื้อเบ็นโตะไปนั่งกินใต้ต้นซากุระเหมือนในหนังสักครั้งอยู่เหมือนกัน

Kobe

ที่นี่เราได้พบกับเพื่อนใหม่ชาวญี่ปุ่น 2 คน พวกเขาเป็นผู้หญิงน่ารัก คาวาอี้ตามแบบฉบับของสาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง เราใช้เวลาตั้งแต่เที่ยงจนถึงเย็นที่โกเบ เมืองที่มีความน่ารักให้เห็นตลอดทาง ตั้งแต่รูปปั้นและฝาท่อลาย Anpanman ไปจนถึงร้านค้าต่างๆ ก็ดูน่ารักไปหมด ไม่เว้นแต่ร้านของ Studio Ghibli ที่เราไปสิงสถิตอยู่นาน

เมื่อเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งแล้วก็ถึงเวลามื้อเย็น ของขึ้นชื่อที่ห้ามพลาดของโกเบก็ต้องเป็นเนื้อสิคะ แต่ไฉนพวกเราถึงมาจบที่ร้าน The Oyster Bar ได้คะคุณ

คำตอบคือพวกเราไม่ใช่สายเนื้อนั่นเอง

เมื่อได้ชิมเมนูหอยนางรมซิกเนเจอร์ของร้าน เราก็มองหน้ากันแล้วร้องว่า โออิชิเพราะมันอร่อยมาก เพิ่งกระจ่างตอนนี้เองว่าโกเบป็นเมืองท่าที่ติดทะเลนี่นา อาหารทะเลเขาระดับพรีเมียมจริงๆ

และเมื่อฟ้ามืด จุดหมายต่อไปคือนั่งกระเช้าขึ้นไปชมวิวเมืองยามค่ำคืน ด้านบนนอกจากเป็นจุดชมวิวแล้วยังเป็นสวนสมุนไพรที่มีสินค้าสมุนไพรวางจำหน่าย ถือได้ว่าจบวันอย่างสวยๆ หอมๆ กันไป

Nara

เราตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้าเพื่อวันนี้ วันที่จะได้เจอน้องกวาง สถานที่หนึ่งที่คนรักสัตว์อย่างเราตั้งตารอมาตลอด ว่าแล้วก็พุ่งตรงไปยังนารากันเลยค่ะ

โชคไม่ค่อยเข้าข้างนัก เมื่อเหยียบแผ่นดินนาราปุ๊บ ฝนตกต้อนรับเลยจ้า แต่เราไม่หวั่น Nara Park อยู่ใกล้แค่เอื้อม ระหว่างทางเราจะพบเห็นเหล่าน้องกวางได้ตลอด และแม้ฝนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะต้องให้อาหารน้องให้ได้

ตอนนั้นมือหนึ่งถือร่ม อีกมือถืออาหารที่เป็นแผ่นคล้ายขนม ยังไม่ทันที่จะแกะกระดาษห่อเสร็จ เหล่าน้องกวางก็พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง มารุมหน้า-หลัง กัดกินเสื้อผ้ากระเป๋าเพื่อแย่งชิงอาหารจนต้องวางอาหารทั้งหมดลงกับพื้นแล้ววิ่งหนีออกมา อะไรกันนี่ ไม่เหมือนที่จินตนาการไว้เลย กวางหรือซอมบี้คะ แต่หลังจากสำรวจจนทั่วสิ่งที่พบคือไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นแบบนี้นะ บางตัวเรียบร้อย โค้งหัวให้เพื่อขออาหาร แต่บางตัวก็หน้ามืดตามัวจนถึงขั้นกินแผนที่นักท่องเที่ยว

เอาเข้าจริงแล้วนาราเป็นเมืองที่อากาศดีมากนะ ภูเขา ต้นไม้เขียวขจี ร่มรื่น วัดเก่าแก่สวยๆ ก็มีเยอะ แต่ด้วยเวลาที่จำกัดเราเลยไปได้แค่วัด Todaiji ถึงจะเสียขวัญกับเหล่ากวาง (ไม่เรียกน้องแล้ว) ไปบ้าง แต่โดยรวมเราชอบเมืองนี้

อีกสิ่งที่ไม่ควรพลาดคือ พุดดิ้งขึ้นชื่อของเมืองนารา ที่เรียกว่า Mahoroba Daibutsu ซึ่งเรามาชิมตามคำแนะนำของพี่ ปรากฏว่าดีมากๆ คุณภาพที่คุณคู่ควร

Kyoto

ตำแหน่ง most favorite ของเราขอมอบให้เมืองนี้ เมืองหลวงเก่าแก่ของญี่ปุ่น เราชอบความคลาสสิกของเกียวโต ตึกเอย ถนนเอย ทุกอย่างดูแมตช์กันไปหมด ถ่ายรูปเพลินมาก

ที่นี่เราจะเห็นคนใส่กิโมโนกันเป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะย่านกิออน หนึ่งในนั้นก็คือเราเอง เกิดมาก็เพิ่งเคยใส่ครั้งแรก มันไม่ง่ายเลย หลายชั้นมากค่ะแม่ ยังดีนะอากาศเย็น

ส่วนสถานที่อื่นๆ ที่เราไปก็คือแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตทั้งหลาย ไล่ตั้งแต่ Fushimi Inari, Arashiyama, สะพาน Togetsu-kyo และอื่นๆ แม้คนจะเยอะไปบ้าง แต่พอมีแม่น้ำ ต้นไม้ และภูเขา ความวุ่นวายก็กลายเป็นสุดยอด combination บรรยากาศดูสบายไปหมด

ที่ที่เราชอบที่สุดจนต้องแวะไปถึงสองครั้งคือตรงแม่น้ำ Kamo บรรยากาศดีมากจริงๆ โดยเฉพาะช่วงเย็นมองไปเราจะเห็นเหล่าผู้คนมานั่งพักผ่อนริมแม่น้ำ ทั้งเดินเล่น นั่งเล่น จับกลุ่มเล่นเบสบอล หรือเล่นดนตรีเปิดหมวกก็มี เหมือนได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวญี่ปุ่นจริงๆ แถมอากาศก็ดีมาก ไม่รู้มีใครอินเหมือนเราไหมนะ แต่สำหรับเรานี่แหละคือการเดินทางมาถึงสถานที่นั้นๆ อย่างแท้จริง

ส่วนเรื่องอาหารไม่ต้องห่วง เราไม่เคยปล่อยตัวเองให้หิวอยู่แล้ว เราเดินชิมนู่นนิดนี่หน่อยที่ Nishiki Market ซึ่งมีของกินขายเยอะอยู่ ต่อด้วย Yojiya Café ชื่อคุ้นๆ ไหม มันคือแบรนด์กระดาษซับหน้ามันชื่อดังของเกียวโตนั่นเอง ส่วนมื้อค่ำเราใช้เวลาไปกับตรอกเล็กๆ ข้างแม่น้ำที่มีชื่อว่า Pontocho มีร้านอาหารมากมายจนเลือกไม่ถูก บรรยากาศดี แถมเห็นวิวแม่น้ำ แทบไม่อยากลุกไปไหนเลย แต่เราก็ต้องตัดใจเพราะที่พักเราอยู่โอซาก้านี่แหละ ข้อเสียของการพักที่เดียวตลอดทริป แต่ไม่เป็นไร ยังไงเกียวโตก็จะเป็นเมืองที่เรากลับมาอีกครั้งแน่นอน ครั้งหน้าจะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานๆ ขอพักที่พักแบบเรียวกังด้วย เอาให้ครบสูตรกันไปเลย

สุดท้ายแล้วเราว่าเสน่ห์ของคันไซคือความลงตัวของเมืองและธรรมชาติ อาจจะไม่หวือหวาแต่ก็ไม่จืดจาง สำหรับทริปครั้งนี้เป็นการเที่ยวที่ยิ่งกว่าเที่ยว เราได้อะไรจากทริปนี้มากจริงๆ ได้คิด ได้หยุดคิด ได้พลาด ได้สมหวัง เป็นประสบการณ์ที่อยู่ในใจ ทุกวันนี้เรายังจำทางเดินจากที่พักไปรถไฟใต้ดินได้อยู่เลย

การเที่ยวคนเดียวแม้จะเหงาไปบ้าง แต่เราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เดินทางตามใจตัวเอง รวมถึงท้าทายตัวเองไปอีกแบบ พอผ่านจุดนั้นมาแล้วเรารู้สึกโตขึ้นนิดหน่อย

ที่สำคัญเราสนุกกับการพากล้องของเราท่องไปตามที่ต่างๆ ทุกครั้งที่เรากลับมาดูรูป มีหลายรูปที่เราจำไม่ได้ว่ามันคือที่ไหน แต่เราจำความรู้สึกและเรื่องราว เวลานั้นได้เสมอ อย่างที่เขาว่านั่นแหละ ทุกภาพถ่ายมีเรื่องราวของมัน

AUTHOR