ก่อนท้องฟ้าจะสดใส ก่อนความอบอุ่นของไอแดด ก่อนใบไม้จะเปลี่ยนสีที่ย่าติง

การได้เดินทางไปในสถานที่ใหม่ๆ เจอวิวสวยๆ ที่ทำให้หยุดจากสิ่งที่คิดกังวลอยู่ในหัวและได้มองออกไปรอบๆ เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดของเรา

ช่วงนั้นหน้าฟีดมี ‘ย่าติง’ โผล่ขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่ทุกรีวิวไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเดือนตุลาคมกันหมด แต่เราว่างแค่ช่วงนี้ล่ะ จึงตัดสินใจหาข้อมูลต่อไป ในที่สุดก็เลือกเดินทางกับทัวร์เพราะไม่มีเวลาแพลนแล้ว หากคุณเดินทางคนเดียวทัวร์อาจเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก

เดือนกรกฎาคมของประเทศจีนเป็นช่วงหลังฤดูฝน บรรยากาศช่วงนี้ที่อุทยานย่าติงไม่มีรีวิวให้เห็น ตอนแรกทำให้ลังเลว่าจะเป็นยังไง สวยคุ้มไหม แต่ก็เอาล่ะ ตัดสินใจไป

จากโปรแกรมการเดินทางคร่าวๆ นั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินเฉิงตู ต่อรถบัสผ่านเมืองที่ระดับความสูงต่างๆ เพื่อเป็นการปรับสภาพร่างกายให้ชินกับที่ราบสูง น่าจะเดินทางถึงอุทยานย่าติงในวันที่ 4 ของการเดินทางทั้งหมด 8 วัน ที่นี่มีสนามบินเต้าเฉิงเป็นจุดใกล้อุทยาน แต่นักเดินทางส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เลือกสนามบินนี้เป็นปลายทางเนื่องจากเป็นสนามบินที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากที่สุด ไปแล้วอาจไม่ได้เดินอุทยานได้ทันที

เมื่อถึงสนามบินเฉิงตูอากาศราว 23 องศาเซลเซียส กำลังเย็นสบาย การเดินทางหลักๆ ของทริปนี้คือรถบัส หลังจากพักเหนื่อย ไกด์ท้องถิ่นก็บรรยายไปเรื่อยๆ สิ่งที่ปลุกเราขึ้นมาคือพี่ไกด์บอกว่าจากนี้เราจะนั่งรถไปอีกประมาณ 5 ชั่วโมงกว่า เราได้แต่นึกในใจว่านานกว่านั่งเครื่องมาเมื่อกี้อีก

ระหว่างทางที่รถบัสแล่นผ่านตัวเมืองจนไกลออกไปนอกเมือง ต้นไม้ ภูเขา ที่หนาแน่นเริ่มปกคลุมสองข้างทางที่รถวิ่ง อากาศเริ่มหนาวขึ้นจนต้องเอาเสื้อหนาวมาใส่ เมื่อถึงจุดแวะพักจะเรียกว่าหมอกลงจัดจนไม่เห็นป้ายเลยก็ว่าได้

ในวันแรกของการมาถึงเราพักที่โรงแรมที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,000 เมตร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่สูงได้ (altitude sickness) ตอนแรกคิดว่าตัวเองฟิตแล้ว แต่ไม่รอด เราที่นั่งหลับๆ ตื่นๆ จนลืมกินยาป้องกันอาการที่เตรียมมา ก็เริ่มออกอาการเวียนหัว ปวดหัว คลื่นไส้ โดยยาที่ควรเตรียมมาเพื่อป้องกันอาการแพ้ที่สูงคือ Diamox และควรรับประทานภายใต้การดูแลของแพทย์

อาการแพ้ที่สูงเกิดได้ตั้งแต่ที่สูงประมาณ 2,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ไม่เกี่ยวกับสภาพร่างกายแต่อย่างใด ใครจะเป็นก็ได้ เช่นเราเป็นต้น เพราะสภาพร่างกายไม่ชินกับระดับออกซิเจนที่เบาบาง

อาหารมื้อแรกที่โรงแรมเป็นอาหารสไตล์จีนทิเบต อร่อยกว่าที่คิดไว้มาก เอกลักษณ์ของอาหารคือทุกสิ่งจะใส่หมาล่า ไม่ว่าจะต้ม ผัด ทอด ใส่หมดเลย มีมาทุกมื้อ

หลังจากนั้นการเดินทางแต่ละวันเหมือนนั่งรถไต่ระดับความสูง ผ่านเมืองตันปา เป็นเมืองเล็กๆ ได้ชมวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองที่นี่ ตอนเย็นๆ ออกมาเดินเล่น ลานกลางเมืองมีตลาดนัดขายผลไม้จากเกษตรกรพื้นเมือง บรรยากาศสวยงามและมีความเป็นธรรมชาติมาก เป็นเมืองที่ยังไม่ถูกปรุงแต่งใดๆ

วันถัดมาออกจากที่พักตอนเช้าเพื่อเดินทางต่อ มายังจุดน่าเที่ยวที่น่าสนใจคือ Zhonglu Village เป็นหมู่บ้านชาวทิเบตอยู่บนเขา การเดินทางนั้นแนะนำให้นั่งรถที่เป็นของทางพื้นเมืองเนื่องจากต้องขับผ่านทางคดโค้งมาก มองลงมาเห็นทะเลหมอกสวยมาก นั่งไปเสียวไป สูงมาก มองลงมาระหว่างทางจะเห็นวิวบ้านชาวทิเบตที่อยู่บนเขาสูง แค่วันที่ 2 ก็ฟินแล้ว จากนั้นเราเดินทางแวะตามเมืองเรื่อยมาจนมาถึงอุทยานแห่งชาติย่าติงอันเป็นจุดหมายของทริปนี้

วันที่มาถึงฝนยังปรอยๆ เล็กน้อย ความลุ้นของทริปคือถ้าฝนตกเราจะไม่เห็นยอดย่าติง วิวจะถูกบดบังด้วยเมฆทันที ถ้าไม่เห็นที่นั่งรถมา 4 วัน ก็… โชคเข้าข้าง พอเดินทางไปถึงอุทยานฝนเริ่มซา มีแดดสาดส่องลงมาทำให้เราเห็นวิวแนวเขาได้ชัดเจน วิวยิ่งใหญ่อลังการซึ่งทำให้อยากนั่งแช่ตรงนี้ไปนานๆ

ระยะทางเดินนั้นไม่ไกล แต่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 4,600 เมตรของอุทยานแห่งนี้ทำให้คนที่มาจากที่ราบอย่างเราๆ ไม่ชินกับอากาศที่เบาบาง (ออกซิเจนประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์) และตอนแรกไกด์บอกว่าอย่ากระโดดถ่ายรูป

การเที่ยวอุทยานเราควรแบ่งการเทร็กกิ้งในอุทยานเป็น 2 วันตามระดับความสูง วันแรกเราเลือกไปชมวัด Chonggu และทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake) ซึ่งมีความสูงโดยเฉลี่ย 3,800 เมตร เส้นทางนี้เป็นทางเดินที่ทำขึ้นให้เดินตลอดทาง ไม่ต้องใช้ไม้โพล

ระหว่างทางเดินมีดอกไม้ป่าสวยงามสีแปลกตา มีแนวป่าเขียวตลอดทาง ข้างทางผ่านลำธาร ได้ยินเสียงน้ำตกกระทบหินตลอดทางเดินที่เป็นทางราบสลับบันได ทำให้การเดินทางในวันแรกไม่ยากลำบากนัก

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงทะเลสาบไข่มุก ผิวน้ำในหน้าฝนเหมือนสีเขียวหยก ไกด์บอกว่าในแต่ละฤดูสีของทะเลสาบจะเปลี่ยนแปลงไป ย่าติงเที่ยวได้ทุกฤดู หากมาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะเป็นอีกอารมณ์เลย เราถ่ายรูปจนหมดไปเป็นร้อยๆ ใบ แนะนำเลยว่าใครที่ชอบถ่ายแลนด์สเคปมาเที่ยวที่นี่เหมาะมากๆ ทะเลสาบไข่มุกเป็นมีพื้นหลังเป็นเขาสูงใหญ่ วิวกว้างไกลสุดสายตา บรรยากาศดูสงบ สามารถหาที่นั่งชิลล์ได้ เพราะคนจอแจก็แค่บริเวณจุดถ่ายรูปเท่านั้น

วันที่สองเส้นทางเดินโหดขึ้นกว่าวันแรก คือเป็นพื้นดินสลับหิน ไม้โพลช่วยเราได้ดีมาก ถ้าไม่มีไม้นี่อาจไปไม่ถึงทะเลสาบห้าสี

เราเตรียมออกซิเจนกระป๋องมาสำหรับระยะความสูง 4,600 เมตร เตรียมขนมติดมาด้วย เพราะต้องเดินประมาณ 6 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย เส้นทางวันนี้ไม่ง่ายเหมือนวันแรก และหากใครไม่ไหวมีตัวเลือกเป็นม้าแคระแบกคุณขึ้นไปด้วยเหมือนกัน

เดินไปได้แค่ครึ่งทางขนมก็หมด เหลือแต่พลังขาและน้ำเปล่าแล้ว แต่ตอนนั้นได้พลังจากรอบข้าง มีเด็กตัวเล็กๆ มาเดินด้วยนะ

12 ชั่วโมง ณ อุทยานแห่งนี้เรารู้สึกเต็มอิ่มมาก ไม่เคยรู้สึกประทับใจพร้อมๆ ไปกับความโล่งใจแบบนี้มาก่อน อุทยานย่าติงเป็นสถานที่ที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความสวยงามของธรรมชาติและความสงบภายในจิตใจ

ระหว่างที่เดินลงรู้สึกเลยว่าทริปนี้เป็นทริปที่สร้างพลังให้กับชีวิตมาก ไม่เคยคิดว่าการเดินเขา การมาพบกับวิวสวยๆ แบบนี้ จะมีคุณค่ากับจิตใจเราขนาดนี้

ทุกคนสามารถพาตัวเองไปในที่ที่ใจเราต้องการเพราะเรารู้จักตัวเองดีที่สุด ให้รางวัลตัวเองบ้าง เราเป็นพลังในชีวิตของตัวเราเอง สิ่งที่พบระหว่างการเดินทางคือสีสันในภาพวาดที่จะเป็นภาพความทรงจำในใจเราต่อไป

และต่อไปนี้คือภาพที่เราได้เห็นในวันนั้น และได้แต่บอกกับตัวเองว่าต้องมาอีกครั้งเมื่อถึงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

AUTHOR