ตามรอยแหล่งตกปลาของ ‘เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์’ ที่ริเบร่า แคว้นกาลิเซียประเทศสเปน

บวน โปรเบ๊โช (Buen Provecho) กิ้น กิ้น กิ้น

ลุงโตโน่เจ้าของบ้านชาวท้องถิ่น ออกเสียงดังลั่นกลางโต๊ะอาหารชวนรับประทานอาหารมื้อแรกของผมในจังหวัดริเบร่า แคว้นกาลิเซีย ควันโขมงพวยพุ่งจากปากหม้อต้ม ลอยตามไปเป็นเมฆหมอกแห่งความอร่อยอยู่เหนือจานของกุ้ง ซีการ์ราส’ (Cigarras) หอย เทฆิญย่อน’ (Mejillón) ปู เน้โกหระ’ (Nécora) ที่เพิ่งถูกนำมาวางบนโต๊ะ ลุงโตโน่หยิบร่างไร้วิญญาณที่ต้มจนสุกกลายร่างเป็นอาหารทะเลคุณภาพดีเข้าปากคนแรก เคี้ยวเสียงดัง สูดความเอร็ดอร่อยเข้าปากนำไปก่อน 1-0

สายตาของผมกำลังมองหาน้ำจิ้ม แต่คุณน้ามาเรีย (ชื่อเดิมคือมาลัย) ภรรยาคนไทยของคุณลุง รีบกระซิบบอกผมว่าที่นี่พวกเขาจะกินอาหารทะเลแบบสดๆ เท่านั้น ไม่จิ้มน้ำจิ้มใดๆ เด็ดขาด หากมี นั่นหมายถึงการดูถูกคุณภาพอาหารของพวกเขา ทำให้เสียรสชาติที่แท้จริงของอาหารทะเลที่ชาวเมืองริเบร่าต่างภาคภูมิใจ

ผมมีโอกาสได้มาที่กาลีเซียด้วยคำเชิญของน้ามาเรีย เขาเป็นลูกของเพื่อนแม่ ย้ายตามสามีมาอยู่ที่เมืองนี้กว่า 15 ปีแล้ว ในเดือนพฤษภาคมของแคว้นกาลิเซียนั้นอากาศดีที่สุดในรอบปี เพราะเป็นช่วงที่มีแดดแรง แต่ลมเย็นจากทะเลเข้าปะทะชายฝั่งตลอดทั้งวันทำให้มองเห็นท้องฟ้าใส ค่าอากาศตามมาตรฐาน AQI ระบุตัวเลข 30 บนพื้นสีเขียว ผมถือโอกาสหนีปัญหาฝุ่น PM2.5 จากเมืองหลวงของประเทศไทยมา พื้นที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นป่าสีเขียวสดไปทั่ว อาจจะไม่ถึงฝนแปด แต่ก็บ่อยประมาณฝนสี่แดดสี่ มากพอที่จะระบายสีเขียวให้ริเบร่าชอุ่มไปทั้งเมืองตลอดทั้งปี

เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ ระบุในหนังสือ By-Line สารคดี 29 ชิ้นแรก แบบฝึกหัดทางวรรณกรรมของนักเขียนหนุ่มว่าแหล่งตกปลาเทราต์ที่ดีที่สุดของยุโรปนั้นอยู่ที่สเปน เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนสเปนนั้นอาจกล่าวได้ว่ามีแหล่งตกปลาที่ดีที่สุดอยู่ในกาลิเซีย…” ผมถามน้ามาเรียว่าข้อความข้างต้นจริงไหม น้าตอบว่าแหล่งตก ตรูชา’ (Trucha) หรือปลาเทราต์มีอยู่เหลือบ้างในธรรมชาติ โดยเฉพาะในจังหวัดลูโก (Lugo) แต่ปัจจุบันแหล่งธรรมชาติจริงๆ ค่อนข้างหาได้ยากแล้ว บ่อเลี้ยงที่สร้างขึ้นใหม่จึงมีคนนิยมไปตกมากกว่า

ว่ากันตามจริง กาลิเซียเป็นอีกแหล่งที่มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งในยุโรป นั่นทำให้ริเบร่ามีท่าเรือ ปอร์โต เด ริเบร่า’ (Porto de Ribeira) เป็นต้นทางของการนำเข้าสุดยอดวัตถุดิบอาหารทางทะเลที่เป็นกำลังหลักแห่งหนึ่งสำหรับประเทศสเปน ลุงโตโน่แอบกระซิบว่าอาหารทะเลที่บาร์เซโลน่านั้นส่งออกให้ชาวยุโรป แต่ไม่อร่อยเท่ากับของริเบร่าหรอก ซึ่งมีไว้แค่สำหรับคนสเปนเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือคนกาลิเซียได้กินก่อนเขาหัวเราะเสียงดังหลังจบประโยค

เสียงหวูดเรือสินค้าอาหารทะเลส่งเสียงมาจากเรือในระยะสายตาอย่างผมพอจะสังเกตได้ว่ามีฝูงนกสีขาวชาวทะเลมากมายบินตามเรือตั้งแต่เข้าเขตท่าเรือแห่งนี้ แวะเวียนเปลี่ยนกันชมอาหารทะเลอันโอชะ แม้พวกมันจะไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสอย่างจุใจอย่างคนที่นี่

คุณน้ามาเรียพาเราไปดูแหล่งตลาดปลาที่ลา ลองช่า’ (La Lonxa) การเขียนแบบนี้เป็นเฉพาะภาษากาเยโก (Gallego) หรือเรียกว่าภาษากาลิเซียที่ใช้กันเฉพาะในแคว้นตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน เป็นอีกภาษาหนึ่งไม่ใช่สำเนียงภาคต่างๆ เหมือนในไทย การสะกดและการออกเสียงจะต่างจากสเปนกลางบ้าง และหยิบยืมตัวอักษรจากภาษาโปรตุเกสด้วยเหตุผลทางภูมิศาสตร์ที่เพียงขับรถไปทางใต้แค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งก็จะข้ามสะพานแม่น้ำ มิญโย’ (Minho) เส้นแบ่งพรมแดนธรรมชาติระหว่างทั้งสองประเทศ

หากพูดถึงกาลิเซีย นักท่องเที่ยวและนักอ่านรีวิวท่องเที่ยวคงไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวที่เป็น dream destination อย่างมาดริดหรือบาร์เซโลน่า แต่ที่นี่มีสถานที่สำคัญทางศาสนาที่ชาวคริสต์ทั่วยุโรปผู้รักการแสวงบุญต้องมาที่นี่ มหาวิหาร ซานติอาโก เด กอมโปสเตลา’ (Santiago de Compostela) อันเป็นที่ฝังศพของนักบุญเจมส์ผู้เป็น 1 ใน 12 สาวกของพระเยซู ผู้เคยแสวงบุญมายังที่นี่จนวาระสุดท้ายของชีวิต

ผมนึกถึงภูมิศาสตร์ของแคว้นกาลิเซียขึ้นมาว่า หากเราได้ขึ้นไปจุดชมวิวแห่งหนึ่งของเมืองนี้ มองไปทิศตะวันออก แน่นอนเราคงจะมองไปยังแผ่นดินฝั่งภาคกลางของประเทศสเปน แต่หากมองออกไปทางทิศตะวันตก เราจะต้องได้เห็นทะเลแอตแลนติก เส้นทางที่ครั้งหนึ่งมีเรื่องราวการค้นพบทวีปใหม่ของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือชื่อดังผู้ออกเดินทางไปทางทิศตะวันตกตามการแบ่งสันปันส่วนพื้นที่ในโลกระหว่างสเปนกับโปรตุเกส สองมหาอำนาจทางเรือในสมัยก่อน สเปนจะมุ่งไปทางซ้ายของโลก นั่นคือมุ่งหน้าสู่ทวีปอเมริกา แต่เขาเข้าใจว่าเป็นอินเดีย จึงเรียกชื่อคนพื้นเมืองในพื้นที่นั้นว่าชาวอินเดียน ตรงข้ามกับโปรตุเกสที่จะไปทางขวาของโลก ทำให้เศษเสี้ยววัฒนธรรมของพวกเขายังคงเหลือไว้ในประเทศเราบ้างตามที่เราคุ้นเคยอย่างในละคร บุพเพสันนิวาส หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างหมู่บ้านโปรตุเกส ในจังหวัดอยุธยา

หลังการตื่นจากช่วงนอนกลางวันที่เรียกว่าเซียสต้า’ (siesta) ของลุงโตโน่ในบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาชวนน้า
มาเรียพาผมไปนั่งรถเล่นชมจุดชมวิวของที่นี่ ทำให้ผมได้ไปชมวิวอย่างที่ตั้งใจ จุดแรกที่พวกเขาพาไป คือโปบรา โด คารามิญยัล’ (Pobra do Caramiñal) พื้นที่เนินเขาสุดลูกหูลูกตา ยอดบนสุดของจุดนี้มีจุดชมวิวชื่อมิราดอร์ ลา กูโรตา’ (Mirador la Curota) เป็นห้องทำงานเล็กๆ ที่ทำด้วยหินก้อนใหญ่

ติดกับห้องมีเสาส่งสัญญาณสูงเป็นจุดเด่น นักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปถ่ายรูปแสดงท่ากอดจูบกันใกล้ชิด เป็นปกติของชาวสเปน โดยมีฉากหลังไม่ว่าจะมองไปทิศทางไหนก็เต็มไปด้วยเนินเขาตกแต่งด้วยพุ่มไม้หนาสีเหลืองแทรกแซมระหว่างหินก้อนใหญ่ไปตลอดทาง และกังหันลมที่ปักอยู่แนวเส้นขอบฟ้าอยู่รอบด้านที่เรามองออกไป พร้อมกับอ่าว อะราวซา’ (Arousa) ที่กำลัง สะท้อนแสงอาทิตย์เก๊กท่าอยู่ไกลๆ

อาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำฉาบให้บรรยากาศแคว้นกาลิเซียเปลี่ยนสีไปและน่าหลงใหลขึ้นไปอีก คุณลุงโตโน่พาผมขับรถไปอีกฝั่งของเมืองไปยังจุดชมวิวยอดฮิตอีกแห่งหนึ่งคือ ฟาโร เด กอร์รูเบโด (Faro de Corrubedo) ซึ่งเป็นศูนย์รับข้อมูลการเดินเรือเพื่อสื่อสารกับชาวประมง มีประภาคารตั้งอยู่ ซึ่งตอนนี้ทำเป็นร้านกาแฟและร้านอาหารที่มีคนมานั่งกินข้าว พบปะพูดคุยกันเสียงดังลั่นร้านแข่งกับเสียงลมทะเลและต่างรอเวลาให้แสงอาทิตย์ค่อยๆ หมดลงเพื่อพบภาพที่สวยงามที่สุดของวัน

นอกร้านโดยรอบเป็นบริเวณโขดหินสูง-ต่ำในระดับที่พอปีนขึ้น-ลงได้ ปูด้วยหญ้าธรรมชาติลักษณะเหมือนขนมจีนสีเขียวสูงประมาณข้อเท้า ปลิวไสวและปกคลุมบริเวณที่ไม่มีหินก้อนใหญ่ทับอยู่ ลาดลงไปมีห้องเล็กๆ ตรงปลายแหลมฝั่งหนึ่งในละแวก ก่ออิฐถือปูนแน่นหนา มีเพียงช่องหน้าต่างเล็กๆ เท่านั้นเพื่อกันลมท่ามกลางสถานที่รับลมที่ยังพัดอย่างไม่เคยลดกำลัง

ผมเดินลงไปรับลมปะทะหน้าที่แรงขึ้นบริเวณหินก้อนที่เคยใหญ่ แปรสภาพกลายเป็นก้อนเล็กกระจัดกระจายปูทางไปยังชายหาดหินลาดเอียงลงทะเล บังเอิญสบตากับทุ่งดอกไม้สีขาวเล็กๆ น่ารักสะดุดตากระซิบให้ผมมาเก็บภาพ หยิบมือถือออกมาและกดถ่ายแบบเงียบๆ เหมือนมันกลัวว่าใครจะรู้ว่าเราเคยมีประสบการณ์ร่วมกัน จนเมื่อภายหลังผมเปิดภาพย้อนหลังให้น้ามาเรียดู เธอบอกว่านี่มันดอกนาโมราเดร่า’ (Namoradeira) ซึ่งคำว่า namora ในภาษากาเยโกมีความหมายเชิงความรัก ความมีเสน่ห์ เลยคิดเอาเองว่ามันน่าจะเป็นดอกหญ้าเจ้าชู้ เสียดายไม่ได้เดินผ่านเลยไม่แน่ใจว่ามันจะเกาะขากางเกงตามกลับบ้านมาด้วยหรือเปล่า เหมาะแล้วแหละที่พวกมันอยู่กันที่นี่ ในสถานที่สวยงามและบรรยากาศโรแมนติกแบบนี้

เป็นไปได้ไหมว่าจุดชมวิว หอประภาคาร คือการถ่ายทอดลักษณะนิสัยความเป็นคนช่างสังเกตอันเป็นเบื้องหลังของคุณสมบัติของการต่อสู้เพื่อความยิ่งใหญ่ของชนชาติสเปน การมองโลกออกไปในมุมมองไกลๆ ฝากความหวังไว้ในดินแดนที่ไม่รู้จัก วันนี้ผมได้อยู่ในมุมมองและระดับสายตาเดียวกันกับที่เขายืนอยู่ตรงนี้เพื่อสังเกตการณ์

แม้วันนี้ผมจะห่างไกลกับเรื่องราวเหล่านั้นมากมายหลายร้อยปี ไม่เข้าใจระบบภาษาการเดินเรือ หรือแผนที่ทางทะเลอันเป็นความรู้อันยิ่งใหญ่ของยุคสมัยก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่ผมสังเกตได้เสมอและมั่นใจมากๆ คือ ชาวสเปนที่ผมได้เจอในช่วงเวลานี้ ความสุขของพวกเขาอยู่กับการพบเจอกัน พูดคุยกัน และที่สำคัญคือการกิน

เตงโก อัมเบร (Tengo Hambre) ฮิวว แลววลุงโตโน่บอกภรรยาของเขาว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว พวกเรามุ่งหน้ากลับบ้านพร้อมแผนการอาหารเย็นที่เขาเลือกแล้วว่าจะให้น้ามาเรียทำอะไรเป็นอาหารเย็น เพราะเรายังมีปลาอีกมากมายที่ได้ซื้อมาไว้ในวันที่ผมได้ไปตลาดปลาที่ท่าเรือวันก่อน และเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ผมก็อยู่บนโต๊ะอาหาร ที่เต็มไปด้วยอาหารทะเลอีกครั้ง แน่นอนว่าไม่มีน้ำจิ้มซีฟู้ด

มื้อส่งท้ายก่อนอำลาผมได้เจอกับเมนูเปสกาดิญยา อะ ลา กาเยกา’ (Pescadilla a la Gallega) เป็นอาหารท้องถิ่นของชาวกาลิเซีย ทำมาจากปลาเมร์ลูซา’ (Merluza) ที่หั่นเป็นท่อนๆ ต้มกับมันฝรั่งและหอมหัวใหญ่ราดผงปาปริก้าหรือพริกปิเมนตอน’ (Pimenton) ที่แช่ในน้ำมันมะกอกไว้สองชั่วโมง ข้างๆ กันมีขนมปังก้อนใหญ่พร้อมมีดหั่นด้ามยาวในตะกร้าที่มากับเนยและไวน์ขาวในแก้วไวน์ทรงสูง แหล่งกำเนิดเสียงกระทบ กิ๊ง! เป็นสัญญาณว่าเราเริ่มกินมื้อนี้กันเถอะ

AUTHOR