เฉลยข้อสอบการแสดงใน ฉลาดเกมส์โกง แบบไม่โกงโดยอดีตเด็กดื้อที่ชื่อ จูเน่

Highlights

  • งานแสดงในบท ลิน จาก ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์ คือผลงานการแสดงเรื่องที่สองของ จูเน่–เพลินพิชญา โกมลารชุน ซึ่งประสบการณ์ในการทำงานนี้ให้อะไรมากกว่าที่เธอคิด
  • การแสดงเป็นคนอื่นทำให้เธอค่อยๆ ตัดข้อแม้ในตัวออกไป จนสุดท้ายเธอได้ค้นพบว่าข้อดีที่สุดของการแสดงคือการที่เธอได้เข้าใจคนอื่นมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เธอเข้าใจตัวเองมากขึ้นและเป็นคนที่ดีขึ้น
  • เพราะข้อดีตรงนี้ เธอบอกกับเราว่าเธออยากยึดการแสดงเป็นงานหลักต่อไป และถ้าเป็นไปได้ เธออยากให้คนรู้จักเธอในฐานะนักแสดงฝีมือดีคนหนึ่ง

ข้อสอบกลางภาควิชา… ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์ 

หัวข้อที่สอบ…การแสดงและสิ่งที่ได้ค้นพบ… 

ระดับ…มืออาชีพ

ชื่อผู้เข้าสอบ…เพลินพิชญา โกมลารชุน… 

ชื่อเล่น…จูเน่

นักศึกษาชีวิตปีที่…20… 

ผลงานการแสดงเรื่องที่…2… 

รหัสประจำตัว…EXBNK48G2

 

คำชี้แจง

  • ข้อสอบฉบับนี้เป็นข้อสอบประเภทเติมคำตอบ มีจำนวน 4 หน้ากระดาษ คะแนนเต็ม 10 คะแนน เวลาในการทำข้อสอบ 1 ชั่วโมง เวลาในการอ่าน 5 นาที
  • ตรวจสอบชื่อ-นามสกุล และข้อมูลส่วนตัวของผู้เข้าสอบได้ที่หัวกระดาษ
  • ผู้เข้าสอบ (เธอ) คนนี้เริ่มต้นงานในวงการในฐานะไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปวง BNK48 ก่อนผันตัวมารับงานแสดงจริงจังครั้งแรกในเรื่อง ONE YEAR 365 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ เมื่อต้นปีที่แล้ว และเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ผลงานการแสดงซีรีส์เรื่องที่สองของเธออย่าง ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์ ก็ได้ปล่อยออกมาสู่สายตาผู้ชม นี่คือซีรีส์รีเมคจากภาพยนตร์ไทยชื่อเดียวกันที่ประสบความสำเร็จถล่มทลาย ดังนั้นการที่ต้องแสดงในบทนำอย่าง ‘ลิน’ ที่เต็มไปด้วยความกดดันและมีแม่แบบอยู่ก่อนแล้วนี่เองคือเหตุผลที่เรายื่นข้อสอบวิชานี้ให้เธอทำ
  • การสอบครั้งนี้ไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องมือช่วยในการคำนวณคำตอบ แต่อนุญาตให้ตอบตามประสบการณ์ ความคิดและความรู้สึกที่แท้จริง 
  • ข้อสอบนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ adaymagazine.com และ จูเน่ แต่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ แชร์ต่อเพื่อประโยชน์ของผู้เข้าสอบและประโยชน์ของผู้อ่านตามสมควร

 

เริ่มทำข้อสอบใน สาม สอง หนึ่ง

จูเน่

จูเน่

เมื่อคืนที่ ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์ ออกอากาศ คุณเฝ้าหน้าจอรอดูหรือเปล่า

(หัวเราะ) เมื่อคืนไม่ได้เฝ้าเพราะติดภารกิจ แต่อย่างเมื่อตอนอีพีแรกเราก็รอดู เพราะถึงถ่ายมาเมื่อปีก่อนแต่เราไม่รู้ว่าเขาเอาซีนไหนมาใช้ ไม่รู้ว่าจะออกมายังไง เลยลุ้นเหมือนกับทุกคนว่าตัวเราเองจะออกมาโอเคหรือเปล่า

 

ก่อนได้มีส่วนร่วมกับซีรีส์นี้ คุณรู้จักเวอร์ชั่นภาพยนตร์มาก่อนไหม

เราติดตามอยู่แล้ว ต้องเล่าก่อนว่าเราเป็นแฟนคลับ GDH มาตั้งแต่เด็กๆ พ่อมักพาไปดูหนัง GDH ตลอด อย่างเรื่องแรกๆ คือ บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้) พูดง่ายๆ ว่าเราดูหนัง GDH มาแทบทุกเรื่องยกเว้นหนังผี ที่นี่เลยเป็นบริษัทที่เราอยากทำงานด้วย แต่สำหรับ ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์ เราได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรกในงานที่เขาประกาศว่าโปรเจกต์ในอนาคตของ GDH มีอะไรบ้าง ตอนนั้นยังเข้าใจว่าเขาคงเอานักแสดงชุดเดิมมาเล่นด้วยซ้ำ ดังนั้นพอรู้ว่ามีโอกาสได้แคสติ้งเราดีใจมาก ตื่นเต้นมาก แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้

 

ทำไมไม่คาดหวัง

ณ ตอนนั้นเราประสบการณ์น้อย เป็นเรื่องของความสามารถล้วนๆ และด้วยความที่ตอนนั้นเรายังไม่ได้แสดงใน 365 เราเลยยังไม่เข้าใจคำว่าการแสดงจริงๆ คือเราคิดกับตัวเองเสมอนะ ว่าถ้าที่ไหนคือที่ของเรา สุดท้ายเราจะไปอยู่ตรงนั้นเอง เพียงแต่ตอนนั้นเราก็รู้ว่าตัวเองยังไม่ได้ขนาดนั้น

จูเน่

แล้วตอนแคสติ้งเป็นยังไงบ้าง

จำได้ว่าเขาให้เราลองเล่นซีนที่ลินนั่งคุยกับพ่อเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการเข้าโรงเรียน ซีนนั้นบทยาวมากและเราแสดงไปเหมือนกับละครที่เคยดูๆ มา พี่ผู้กำกับและแอ็กติ้งโค้ชต้องอธิบายให้ฟังหน้ากล้องว่าจริงๆ แล้วเราต้องทำความเข้าใจตัวละครนะ สิ่งที่แสดงออกมาต้องมาจากอินเนอร์ กลายเป็นว่าสิ่งที่ได้มาจากวันนั้นคือ first impression ที่ดีมากๆ ต่อการแสดง เราคิดกับตัวเองตั้งแต่วันนั้นแล้วด้วยซ้ำว่าอยากลองงานแสดงให้มากขึ้น 

 

แต่สุดท้ายก็ได้บท ลิน

ตอนนั้นอยู่บนรถตู้ ทาง GDH โทรมาบอกผู้จัดการที่อยู่ด้วยกันว่าเราได้เล่น โห ดีใจมาก เหมือนอยู่ในความฝัน ยังถามเขาเลยว่าใช่เราจริงๆ เหรอ เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่ได้คาดหวัง เรารู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม

 

แล้วจำช่วงแรกที่ต้องแสดงเป็นลินได้ไหม

(หัวเราะแห้ง) เครียดมาก เอาแต่คิดว่าต้องทำยังไงให้มันออกมาดี และความคิดนี้แหละที่ทำร้ายเรา เรากดดันตัวเองมากๆ ว่าต้องแสดงแบบไหนคนอื่นถึงชมว่าดี คิดอะไรมั่วซั่วไปหมดจนกลายเป็นว่าเราไม่ได้โฟกัสกับตัวละคร อาจเพราะประสบการณ์ด้วย ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าพอได้บทมาเราต้องเริ่มต้นจากอะไร เข้าใจตัวละครยังไง และพื้นฐานของการแสดงคืออะไร เหมือนเราต้องเรียนรู้ทั้งหมดนี้ควบคู่ไปด้วยกัน

จูเน่

การมีคนที่แสดงบทนี้มาก่อนแล้ว (บท ลิน ในภาพยนตร์ นำแสดงโดย ออกแบบ–ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) ส่งผลอะไรกับคุณไหม

ไม่ได้มีผลเชิงกดดันขนาดนั้น แต่เราว่าที่มีผลคือการแสดงมากกว่า การได้แสดงในบทที่มีคนเล่นไว้ก่อนแล้วและกระแสดีมากแบบนี้ ช่วงแรกของการแสดงเราติดภาพพี่ออกแบบเยอะเหมือนกัน ถึงพยายามเล่นให้ไม่เหมือนแต่ก็ติดมา อาจเพราะตอนนั้นเรายังไม่เคลียร์กับตัวเองด้วยว่า ‘ลินของเรา’ จะออกมาเป็นยังไง เรายังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ได้ไหม ผู้กำกับต้องการอะไร สรุปคือใช้เวลาเหมือนกันกว่าจะลบภาพพี่ออกแบบได้ 

เรารู้ว่ามีคนตั้งคำถามกับเราเยอะตั้งแต่ประกาศออกมาแล้วว่าเราจะมารับบทเป็นลิน คนเปรียบเทียบเราเยอะ แต่เป็นพี่ๆ ที่ GDH นี่แหละที่อธิบายว่าเรื่องเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว เขาให้กำลังใจและบอกว่าสุดท้ายเขาไม่ได้สร้างสิ่งนี้ให้เป็นเหมือนหนัง เขาสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นสิ่งใหม่กับคนดู ดังนั้นเราทำอะไรได้เยอะมากนะ จากตรงนั้นเราจึงค่อยๆ เรียนรู้ทิศทางในการทำให้บทที่อยู่ในหน้ากระดาษออกมามีชีวิตชีวาในแบบของเรา 

 

คุณเจอลินที่ตามหาไหม หรือคุณเจอตัวเองที่มีความเป็นลิน

เราว่าเราเจอลินในตัวเอง เพราะตอนนี้ที่ซีรีส์ฉาย กลับไปดูตัวเองก็ยังรู้สึกว่าเอ๊ะ จริงๆ แล้วนี่ก็คือเรานะ มันมาจากการตีโจทย์ลินในมุมของเรา และลินก็เหมือนเราในบางมุม

 

พัฒน์ (พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ผู้กำกับ ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์) ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าจุดร่วมที่ตัวละครลินและคุณมีเหมือนกันคือความขบถ คุณเห็นด้วยไหม 

เราไม่เคยใช้คำว่าขบถกับตัวเอง แต่คนอื่นมักเรียกสิ่งเหล่านี้ของเราว่า ‘ความดื้อ’ มากกว่า สำหรับเราคำว่าดื้อดูเป็นเด็ก แต่คำว่าขบถดูมีความเป็นผู้นำ หัวรั้น และมีความคิดเป็นของตัวเอง ดังนั้นเราว่าตรงนี้คือความต่างระหว่างสองคำ แต่ถ้าดูรวมๆ คงใช่อย่างที่พี่พัฒน์บอก เรามีสิ่งนี้ตั้งแต่เด็ก ความเป็นเราก่อตัวจากความดื้อนั่นแหละ เราเป็นลูกคนกลางที่ไม่ค่อยยอมใคร รู้สึกว่าโดนเอาไปเปรียบเทียบและปราศจากความรัก เราเลยกลายเป็นแบบนี้ กดดันตัวเองและไม่ง้อใครมาโดยตลอด ซึ่งพี่พัฒน์คงเห็น

จูเน่

เพราะเหตุนี้หรือเปล่า ช่วงแรกๆ ที่ต้องแสดงคุณถึงเครียด

(พยักหน้า) และด้วยความมั่นใจในตัวเราที่ไม่ค่อยมากอยู่แล้ว ช่วงแรกที่ไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างเลยเครียดไปใหญ่ กังวลไปหมดว่าคนจะมาด่า หนักมากสำหรับเด็กคนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามา ล้มลุกคลุกคลานสุดๆ

 

มีช่วง ‘ไม่ไหวแล้ว’ บ้างไหม

มีตลอด (ตอบทันที) ยิ่งซีนที่ต้องท่องบทยาวๆ เรารู้สึกตลอดว่ามันดีกว่านั้นได้ แต่ด้วยพื้นฐานที่ยังไม่แข็งแรงเราก็ต้องยอมรับ ซึ่งพอผ่านไปได้ เราว่าตัวเองโตขึ้นอีกสเต็ปนะ งานต่อไปต้องทำได้ดีกว่านี้

 

เรื่องหลักๆ ที่ทำให้คุณโตขึ้นจากประสบการณ์ครั้งนี้คืออะไร

(นิ่งคิด) เราว่ามันคือการปลดล็อกและเปิดใจต่อการแสดงมากขึ้น ก่อนหน้านี้เราเป็นเด็กที่ใช้ชีวิตธรรมดา อยู่ในคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง เรียกได้ว่าเป็นคนบ้าๆ บอๆ คนนึง แต่การแสดงทำให้เราได้เข้าใจคำว่า ‘ตัดความเป็นตัวเองออกไป’ เพื่อเข้าไปสวมบทบาทเป็นคนอื่น เราต้องตัดความไม่กล้า ความดื้อ ความไม่เข้าใจออกไปทั้งหมดเพื่อเบิกเนตรและเป็นคนอื่นด้วยใจที่กว้างที่สุด เข้าใจตัวละครให้ได้มากที่สุด และฟังตัวละครให้ได้มากที่สุด นั่นทำให้จากเมื่อก่อนที่เราเป็นคนระบายออกมาตลอด เราได้เรียนรู้การเป็นฝ่ายรับบ้าง ลองฟังคนอื่นบ้างเพื่อจะได้ทำความเข้าใจคนอื่นมากขึ้น

จูเน่

แสดงเป็นคนอื่น เพื่อเข้าใจมุมมองคนอื่น

ใช่ๆ (ตอบทันที) ยิ่งในชีวิตจริง เราหาคนที่ต่างจากเรามากๆ ยากเหมือนกัน เราเองก็เป็นตัวเองมาทั้งชีวิต ดังนั้นศาสตร์การแสดงเลยช่วยให้เราได้ไปสัมผัสประสบการณ์ของคนอื่นเพื่อเอามาใช้ในชีวิตจริง รู้สึกดีมากๆ นะที่ค่อยๆ ได้เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ 

 

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่างานแสดงคือสิ่งที่คุณอยากทำ ประสบการณ์ครั้งนี้ช่วยตอกย้ำให้ชัดเจนมากขึ้นไปอีกไหม

ถ้าพูดไปจะดูเวอร์มาก แต่เรารู้สึกตั้งแต่เด็กแล้วว่าสิ่งนี้คือตัวเรา เราอยากสวย อยากเป็นดารา อยากดัง เพียงแต่สมัยเด็กเราอาจเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าการแสดงคือแพตเทิร์น เช่น ตัวร้ายต้องปากแดงๆ พูดร้ายๆ จีบปากจีบคอ แต่ตอนนี้พอเราได้เข้ามามีโอกาสตรงนี้จริงๆ ถึงได้เข้าใจความหมายของมันใหม่ การแสดงคือ inner to outer เราต้องเข้าใจความคิดและความรู้สึกของตัวละคร ไม่ใช่แค่ภาพที่แสดงออกมา ซึ่งฉลาดเกมส์โกงทำให้เรามีพื้นฐานตรงนี้แน่นขึ้นเพื่อนำไปต่อยอดสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ได้ ดังนั้นตอนนี้การแสดงจึงเป็นเหมือนความฝันที่เราอยากยึดไว้ อยากให้คนรู้จักเราในฐานะนักแสดงมากขึ้นต่อจากนี้

จูเน่

สุดท้าย ถ้าให้สรุปข้อดีที่สุดของการแสดง สำหรับคุณคืออะไร

(นิ่งคิด) แต่ละคนคงได้อะไรจากการแสดงต่างกัน แต่สำหรับเรา เราว่าตัวเองได้เป็นคนที่ดีขึ้น

แม้ลินมีบางอย่างที่คล้ายเรา แต่อย่างหนึ่งที่เราและลินเหมือนกันมากๆ คือแบ็กกราวนด์ครอบครัว อย่างที่บอกว่าการแสดงทำให้เราเป็นมากกว่าตัวเอง เราได้เป็นและเข้าใจคนอื่นทั้งเรื่องดีและไม่ดี เราได้เข้าใจความรู้สึกของคนในแต่ละสถานการณ์ ดังนั้นกับเรื่องนี้ การแสดงทำให้เราเข้าใจพ่อแม่มากขึ้น เราได้เข้าใจว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่ที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้ว

จากคนที่ไม่ค่อยแคร์ใคร อยากใช้ชีวิตคนเดียว ไม่เข้าใจว่าการได้รับความรักรู้สึกยังไง และไม่ค่อยเห็นคุณค่าของสถาบันครอบครัว แต่การกระโจนลงไปทุ่มสุดตัวให้กับการแสดงทำให้เราค่อยๆ ปล่อยวางเรื่องเหล่านี้ได้ ยิ่งตอนถ่ายทำเรามีปัญหากับที่บ้านพอดี ซีนบางซีนเลยเหมือนฉากที่เล่นซ้ำชีวิตจริงของเรา ทั้งหมดนี้มันค่อยๆ สอนและปรับให้เราอยากกลับไปดีกับที่บ้าน เราอยากไปขอโทษเขากับสิ่งที่เราเคยทำผิด เพราะสุดท้ายเราก็ได้รู้ว่าครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของเราจริงๆ

 

กลับไปขอโทษเขาอย่างที่ตั้งใจหรือยัง

เรียบร้อยแล้วค่ะ (ยิ้ม)

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!

Video Creator

นวภัทร์ นาวาเจริญ

วีดีโอครีเอเตอร์คนที่ชอบเดินจ่ายตลาด

อภิวัฒน์ ทองเภ้า

เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่, เป็นศิษย์เก่านิเทศศาสตร์ ม.มหาสารคาม แต่เป็นคนอุดรธานี, เป็นวิดีโอครีเอเตอร์ ประสบการณ์ 2 ปี, เป็นคนเบื้องหลังงานวิดีโอของ a day และเป็นคนปลุกปั้นสารคดี a doc, เป็นคนนอนไม่เคยพอ, เป็นหนึ่ง คือ เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง สรรพสิ่ง คือ ไม่เป็นอะไรเลย, ตอนนี้เป็นหนี้ กยศ. และรับจ้างทั่วไป [email protected]