เมื่อ Walter Mitty บอกฉันให้หนีจากไทยไปผจญภัยที่ไอซ์แลนด์

ความรู้สึกของฉันสั่นไหวระริก ความเหงาและโหยหาการเดินทางทำใจเต้นรวนไปหมด

ฉันนั่งทบทวนตัวเองในห้องเงียบๆ เสียงนกกระจอกตอนเช้าร้องจิ๊บๆ เหมือนจะบอกว่า ไปเถอะ จงเดินออกไป เดินทางตามหัวใ …

ผัวะ !!

เสียงไม้หน้าสามที่ฟาดมาตรงหัวของฉันนั่นเอง แฟนฉันเป็นคนฟาด ก่อนจะตะโกนด่าว่า “โอ้ย พร่ำเพ้อพรรณนาอะไรของมึง เหงามากมั้ง กูก็อยู่ข้างมึงเนี่ย”

แต่แหม ด้วยความที่ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือบันทึกการเดินทางเยอะ หนังสือก็มักจะมีประโยคเด็ดๆ ในการเปิดเรื่อง เหมือนแบบทุกคนต้องมีสตอรี่ในการออกเดินทาง เพื่อที่จะไปตามหาตัวเอง ออกไปลืมความทรงจำบางอย่าง ทบทวนความฝันของชีวิต ฉันเลยอยากเกริ่นนำเท่ๆ แบบนั้นบ้าง

แต่ตัดภาพมาที่ความเป็นจริง…

ฉัน! ทำงาน! เหนื่อย! มาก! ฉัน! อยาก! เที่ยว! ก็แค่นี้เอง และฉันก็มีเงิน แล้วฉันก็อยากไป (ถึงจุดนี้ชาวนักอ่าน a day อาจจะเริ่มหมั่นไส้ มึงเอาอะไรมาลงให้อ่าน นี่มึงถึงขาลงจนต้องเชิญคนแบบนี้มาลงแล้วเหรอ ใจเย็นๆ จ้ะ ฉันจะบอกอะไรให้อีกอย่าง)

ฉัน! ไป! กับ! แฟน! 2 คน! จ้า แบบสวีตๆ เลย ไม่มีหรอกแบบว่าไปนั่งเหงา คุยกับคนแปลกหน้าแล้วออกเดินทางด้วยกัน ตกหลุมรักกัน พ่นคำคมเหมือนในหนังสือคำคมใส่กัน หรือเหมือนใน กวน มึน โฮ ไม่มี ฉันกับแฟนคือหวานๆ และเราสองคนจะไปไอซ์แลนด์ (จุดนี้นักอ่านก็เริ่มมองหา เอ๊ะ ปุ่มกดปิดอยู่ตรงไหนนะ ใจเย็นๆ อีกครั้งนะ ขอโอกาสให้ฉันนิดหนึ่ง)

Iceland

Iceland

หลายคนถามฉันว่า ทำไมต้องไอซ์แลนด์ เท้าความว่าเมื่อปีที่แล้ว เราสองคนได้ไปเที่ยวฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี ด้วยความที่ตอนนั้นเราคิดว่าตัวเองชอบการดูศิลปะ ติสท์ๆ อย่างฉันจะต้องแฮปปี้กับการเสพศิลปะ ชื่นชมกับสถาปัตยกรรมอันสวยงาม ภาพเขียน รูปปั้น ถ้วย ไห หม้อต่างๆ ที่ปารีสและอิตาลีแน่นอน

ปรากฏว่าความเป็นจริงในตอนนั้นคือ ฉันไม่เข้าใจ ไปเจอคุณโมนา ลิซ่า ก็ ‘ว้าว! โมนา ลิซ่า’ จบ ไปเจอคุณรูปปั้นเดวิดหรือรูปภาพดังๆ ก็ ‘ว้าว! สวยจัง’ จบ ไม่มีการคิดซับซ้อนอะไรทั้งนั้น แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่ตกตะกอนในวัยนี้ของฉันดันเป็นการติดใจการปีนเขา ดูภูเขา น้ำตก ให้ลมตีหน้าที่สวิตเซอร์แลนด์มากกว่า

จากประสบการณ์นั้น วันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาฉันกับแฟนเลยนั่งคุยกันว่าจะไปไหน ตอนนั้นอยู่ดีๆ ฉากใน The Secret Life of Walter Mitty ที่มิตตี้ไถสเกตบอร์ดมาตามภูเขาเขียวๆ ดำๆ ท้องฟ้าสีฟ้าเป็นพื้นหลังสวยๆ ก็แวบเข้ามา และคีย์เวิร์ดคำว่า ‘ไอซ์แลนด์’ ก็เข้ามาในหัว

“งั้นไอซ์แลนด์เนี่ยแหละ!” ฉันบอกกับแฟนแบบนั้น

Iceland

Iceland

ช่วงที่เราไปเที่ยวเป็นช่วงใกล้ฤดูร้อนของไอซ์แลนด์พอดี เวลากลางวันยาวนานมาก พระอาทิตย์จะตกประมาณ 5 ทุ่มจนสักตี 3 พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว แถมช่วงที่พระอาทิตย์ตกก็ไม่ได้มืดสนิท ดังนั้นตอนเรามาถึงสนามบินไอซ์แลนด์ตอน 5 ทุ่ม ไอซ์แลนด์จึงต้อนรับเราด้วยแสงแดดเบาๆ เหมือนแดดตอน 5 โมงเย็นในไทยอย่างไรอย่างนั้น

เราขับรถเช่าตรงไปที่โรงแรม ระหว่างทางจากสนามบินไปยังตัวเมือง Reykjavík (เมืองหลวงของไอซ์แลนด์) ฉันว่ามันเป็นเหมือนอินโทรในการเที่ยวไอซ์แลนด์ได้อย่างดี เพราะระหว่างทางเต็มไปด้วยทุ่งลาวา สีดำตะปุ่มตะป่ำ ภูเขาสีน้ำตาล และก้อนหินต่างๆ ที่มีปั๊มน้ำมัน หรือตู้คอนเทนเนอร์ตั้งอยู่อย่างแปลกๆ จนฉันรู้สึกเหมือนขับรถอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่น ตอนนั้นสัมผัสใจตัวเองได้เลยว่า ทริปนี้คงมีอะไรให้เราสองคนตกใจอีกมากแน่ๆ

ในทริปนี้ฉันตัดสินใจเที่ยวรอบเกาะทุกส่วนของไอซ์แลนด์เป็นระยะทางกว่าหนึ่งพันกิโลเมตร ดังนั้นใน 10 วันตลอดทริป ฉันวางแผนไว้เยอะมาก ทั้งดูน้ำตก ปีนเขา ดูนก ดูน้ำตก ดูหิน ดูน้ำตก ดูหิน ดูแมวน้ำ ดูน้ำตก ดูน้ำตก ดูน้ำตก ดูธารน้ำแข็ง ดูน้ำตก ดูน้ำตก …พอแล้ว! แต่เชื่อไหมคุณผู้อ่าน ชีวิตการท่องเที่ยวที่นี่ก็มีแค่นี้จริงๆ

Iceland

Iceland

Iceland

ถ้าจะให้นิยาม ไอซ์แลนด์คือประเทศแห่งการดูน้ำตกที่แท้จริง ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะน่าเบื่อหรือเปล่า แต่เอาเข้าจริงแล้ว ครั้งนี้กลับเป็นทริปที่ไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อเลย

น้ำตกในแต่ละที่มีความสวยงามและน่าจดจำในแบบตัวมันเอง ทั้ง Bruarfoss น้ำตกสีฟ้าเตี้ยๆ น่ารัก หรือ Dynjandi น้ำตกที่มีหลายชั้นพร้อมน้ำเป็นเส้นริ้วบางๆ ใสๆ ไปจนถึงน้ำตกที่ทรงพลังที่สุดอย่าง Dettifoss ซึ่งตอนเดินทางขึ้นไป ฉันคิดในหัวตลอดเวลาว่านี่จะพาตัวเองมาตายที่นี่หรือเปล่า ที่นั่นหนาวมาก หิมะก็ตกหนัก ลมก็แรง ราวกับเสื้อฮีตเทค 2 ชั้นมีค่าเท่าแผ่นกระดาษทิชชู่ ที่สำคัญคือฉันไม่ได้พกถุงมือไป! (ก็คิดว่าฤดูร้อนแล้วคงไม่หนาวเท่าไหร่ หิมะคงไม่ตก ใช่ค่ะ ตัดภาพมาคือแทบแข็งตาย) แต่เชื่อไหม พอไปถึงตรงหน้า ฉันถึงกับอุทานว่า โอ้โห คุณพี่คะ มันช่างสวยและยิ่งใหญ่มาก สมแล้วที่เป็น The most powerful waterfall in Europe.

Iceland

Iceland

นอกเหนือไปจากน้ำตก ฉันยังได้จำลองตัวเองเป็นนักสำรวจธรรมชาติแบบพี่ติ๊ก เนวิเกเตอร์ ด้วยการไปดูแหล่งดูนก ซึ่งหนึ่งในนกตัวเด็ดที่เราจะดูเป็นสัตว์ประจำชาติของไอซ์แลนด์ นั่นก็คือนกพัฟฟิน

พัฟฟินเป็นนกที่น่ารักมาก ตัวขาว-ดำแต่ปากใหญ่ป้อมสีส้มแดง เป็นนกไม่กี่ตัวที่เห็นแล้วต้องพูดเสียงสองว่า “น้องงงงง” แต่ที่ที่จะดูน้องได้คือสุดขอบตะวันตกของไอซ์แลนด์ ซึ่งต้องขับออกมาจากถนนเส้นหลักไกลมาก ดังนั้นวันที่จะไปดูเราจะไม่ได้ไปเที่ยวที่อื่นเลยนอกจากดูนกพัฟฟินอย่างเดียว

หลังจากเราขับรถออกจากที่พักติดกันยาวมาถึง 6 ชั่วโมง เราก็มาถึง Látrabjarg จุดชมนกที่เป็นหน้าผาสูงชันและมีนกมาทำรังอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมาก ช่วงแรกๆ ฉันเดินแถวหน้าผาอยู่นานแต่กลับหานกพัฟฟินไม่เจอ โชคดีมากๆ ที่มีชาวต่างชาติอยู่ข้างหน้าเราและชี้อะไรสักอย่างอยู่ ด้วยความเป็นคนชอบรู้เรื่องของชาวบ้าน ฉันเลยขอแอบเดินไปดูจนเจอนกพัฟฟินอยู่ 3 ตัวบริเวณนั้น

Iceland

เราตื่นเต้นกันใหญ่ พี่ฝรั่งเล่าให้ฉันฟังว่า นกพัฟฟินเป็นสัตว์ที่น่ารักมากเลยนะ มันเป็นนกที่รักเดียวใจเดียวและจะกลับมาเจอคู่ของตัวเองที่นี่ทุกปีที่บ้านหลังเดิม แต่ขณะที่เรากำลังเอ็นดูน้องจากเรื่องราวที่เขาเล่า พี่ฝรั่งก็พูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “แถมเนื้อมันยังอร่อยมากอีกด้วย”

หืม…

ฉันถามเขากลับไปว่า นกพัฟฟินไม่ใช่สัตว์หายากหรอกเหรอ คุณพี่ฝรั่งตอบฉันว่า “โอ้ยยย พวก Greenpeace หรือ WHO ก็พูดไปงั้นแหละ ถ้าคุณขับรถไปหมู่บ้านข้างๆ คุณจะเจอว่ามีคนเลี้ยงมันด้วยซ้ำ คุณอยากถ่ายเซลฟี่ยังได้เลย บางคนเขามาขโมยไข่ตอนกลางคืน เพราะไข่ของมันก็อร่อยมาก คุณต้องลองนะ ส่วนอกนี่เนื้อเด็ดมากจริงๆ”

ฉันได้แต่ยิ้มแห้ง นี่ฉันขับมาตั้งไกลเพื่อวาดฝันจะได้เป็นพี่ติ๊ก เนวิเกเตอร์ เลยนะ ทำไมพี่ถึงมาทำลายความฝันของน้องแบบนี้

Iceland

แต่ถ้าว่ากันตามตรง สิ่งที่ไอซ์แลนด์สอนให้ฉันรู้คือความจริงที่ว่า สิ่งที่สวยงามมากๆ เกือบทุกอย่างต้องแลกมาด้วยความยากลำบากและการให้เวลากับมัน อย่างเช่น วันหนึ่งที่ฉันไปรอดูน้องแมวน้ำ ฉันกับแฟนก็ได้แต่ยืนมองเฉยๆ อยู่ริมหาดเป็นชั่วโมง สุดท้ายก็เห็นน้องอยู่ไกลๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ออกมารวมกันไม่ถึง 1 นาที แต่น่าแปลกใจที่เราก็ยังสุขใจที่จะได้เฝ้ามองมันแบบนั้น

หรือบางน้ำตกที่ในรูปถ่ายคือสวยมาก แต่ความเป็นจริงคือเราต้องใช้เวลาเต็มวันในการขับรถออกไปและขับกลับ บางน้ำตกต้องเดินเท้า 4-9 กิโลเมตรบนทางที่ทั้งชัน ลื่น เป็นโคลน ข้ามแม่น้ำ และต้องปีนหินที่สูงกว่าเสียงของแม่มารายห์ แครีย์อีก แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นปลายทางที่เราเดิน น่าแปลกใจที่มันก็ทำให้เรารู้สึกหายเหนื่อยจริงๆ เพื่อนๆ ของฉันมักจะบอกว่ารูปถ่ายที่ไอซ์แลนด์ดูสวยเกินจริงมาก แต่ขอบอกนะว่าบางที่ที่เราไปมันสวยมากกว่านั้นอีก สวยจนรู้สึกว่าจะถ่ายรูปเก่งแค่ไหนก็ไม่มีวันที่จะเก็บความสวยงามของที่นี่ไปได้หมด บางที่ถึงจะลำบากมากจนไม่มีใครมาแถวๆ นั้นเลย แต่การที่ฉันและแฟนเหนื่อยเดินทางมาขนาดนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นเพียงคนไม่กี่คนที่จะได้เห็นความสวยงามที่พระเจ้าสร้างไว้ตรงหน้า

Iceland

Iceland

Iceland

Iceland

Iceland

อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ด้วยความที่ว่าไอซ์แลนด์เป็นเกาะ สิ่งที่ตามมาคือเนื้อสัตว์หลักของไอซ์แลนด์ที่นำมาทานคือปลา แต่สำหรับฉัน ปลาทุกชนิดที่นี่อร่อยมาก ถ้าให้อธิบายแบบส่วนตัวคือมันต่างจากไทยตรงที่ปลาไอซ์แลนด์ไม่มีก้าง พอเราทานก็จะรู้สึกลื่นคอ สบายใจ ไม่ต้องกลัวก้างขวางคอใดๆ บาดคอของฉัน ส่วนใหญ่อาหารของเราเลยเป็นฟิชแอนด์ชิปส์ และด้วยความที่ฉันคิดไว้เสมอว่า การมาเที่ยวคือการมาเอนจอยชีวิตบ้านเขา ดังนั้นจะไม่มีการกินอยู่อย่างประหยัด เขาอยากเอาอะไรมาให้กินก็จะกิน มา!

ปลาค็อดสดๆ, ปลาลิ้นหมา, กุ้ง Langoustine, ปลา Halibut, ปลา Plaice, เนื้อกวางเรนเดียร์ หรือแกะไอซ์แลนด์ ชื่ออะไรแปลกๆ เอามา! เอามาให้หมด! ซึ่งพอกินแล้ว โดยส่วนตัวฉันอยากให้ทุกคนได้ไปกินจริงๆ นะ เพราะมันดีมาก (ก.ไก่ล้านตัว)

Iceland

สำหรับฉัน ฉันว่าไอซ์แลนด์ไม่ใช่ประเทศแรกในยุโรปที่ควรมา ไอซ์แลนด์เหมาะกับการไปเห็นเมืองที่สวยและหรูหรามาก่อน แล้วค่อยมาเจอความงามแบบไอซ์แลนด์ที่หลุดโลก เศร้าๆ เหงาๆ เอาแต่ใจเหมือนหนังหว่อง กาไว หรือ Sofia Coppola เคว้งคว้างอะไรแบบนั้นมากกว่า เพราะไอซ์แลนด์สวยมากแต่ก็เศร้ามากด้วยเหมือนกัน

เราจะรู้สึกประมาณว่า ฉันไม่เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ นี่คือโลกอีกใบที่พระเจ้าสร้างแยกออกมา พระเจ้าอยากจะลองเอาธารน้ำแข็งมาต่อกับภูเขา อีกด้านหนึ่งเป็นกองลาวา แต่เอ๊ะ ลาวาตรงนี้ปลูกมอสไปหน่อยละกัน ตรงนี้ให้มันหักหน่อยพร้อมน้ำตก

ฉันกับแฟนจบทริปของเราที่บ่อแช่ Blue Lagoon ที่โด่งดังอันดับต้นๆ ของโลก ฉันว่ามันเป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบมากๆ ที่เอามาใส่ในวันสุดท้ายของทริป เพราะแม้ว่าเราสองคนจะล้าจากการนั่งรถและเปลี่ยนที่นอนมาตลอด 10 คืน แต่พอได้แช่บ่อน้ำสีฟ้าที่อุ่นกำลังดี และได้อยู่ท่ามกลางอากาศเย็นๆ 7-8 องศา เรารู้เลยว่าทำไมเพื่อนทุกคนที่เคยมาถึงต้องบอกว่ามันเป็น ‘The MUST’ มากๆ

Iceland

ในขณะที่แช่อยู่นั้น ฉันนึกถึงหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty ซึ่งในช่วงท้ายๆ ของหนัง มิตตี้ตามหาช่างภาพคนหนึ่งมาจนถึงเทือกเขาหิมาลัยและเจอเขากำลังรอถ่ายรูปเสือดาวหิมะอยู่ ด้วยความสงสัยมิตตี้จึงเอ่ยถามออกไป

“เมื่อไหร่คุณจะถ่ายรูปมัน”

“บางครั้งผมก็ไม่ถ่าย ผมไม่ชอบให้กล้องเข้ามาขัดจังหวะ ผมแค่อยากมองอยู่อย่างนั้น อยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้น เพราะความงามที่แท้จริงนั้นไม่เรียกร้องความสนใจ” ช่างภาพคนนั้นตอบ

อืม ฉันเริ่มคิดว่า เอ๊ะ ถ้าย้อนกลับมาดูตัวเอง จากวันแรกจนถึงวันสุดท้าย ฉันถ่ายรูปมาประมาณหนึ่งล้านรูปได้แล้วจ้า! ผิดคอนเซปต์กับสิ่งที่พาเรามาถึงที่นี่จริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็คิดต่อนะว่าการที่เราถ่ายรูปไว้ก็ไม่ได้ทำให้ความงามของมันดูลดค่าลงไปหรอก เพราะเราต่างอยากมีสิ่งที่เตือนความจำถึงสถานที่ที่อยากจดจำไว้ทั้งนั้น อย่างรูปภาพที่ทุกท่านเห็นเหล่านี้ก็ทำให้ฉันหวนย้อนคิดถึงเรื่องราวดีๆ ตลอด 10 วันที่ผ่านมา คิดถึงประเทศที่เอาแต่ใจตัวเอง แต่เกือบทุกคนที่มาต่างก็ตกหลุมรักมันทั้งนั้น

รวมถึงฉัน คนที่กำลังนอนตีพุงอยู่ในบ่อน้ำแห่งนี้ด้วย

Iceland

 

 

AUTHOR