Call Me By Your Name ตามรอยเอลิโอกับโอลิเวอร์ไปในแสงอาทิตย์และชนบทอิตาลี

“This was my moment in heaven and, young as I was, I knew it wouldn’t last and that I should at least enjoy it for what it was rather than ruin it with my oft-cranked resolution.” — Call Me By Your Name (André Aciman, 2007)

Call Me By Your Name ตามรอย

เราติดตาม Call Me By Your Name และประทับใจการเรียบเรียงเรื่องราวแบบบุรุษที่หนึ่ง เหมือนได้นั่งฟังเรื่องเล่าจากปากของเอลิโอตัวเอกในเรื่องเองเป็นอย่างมากจนกระทั่งหนังสือได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์

ทุกคนล้วนเคยผ่านเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตที่ติดอยู่ในความทรงจำกันมาไม่มากก็น้อย ภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อถึงการระลึกถึงความทรงจำในช่วงฤดูร้อนของคนคนหนึ่ง ในช่วงวัยหนึ่งที่กำลังพยายามวิ่งหาจุดยืนและตัวตนของตัวเอง และนั่นได้กลายเป็นความทรงจำดีๆ ที่ยังหวนกลับไปนึกถึงอยู่เสมอด้วยความอบอุ่นในใจ ทั้งบรรยากาศของฤดูร้อนในเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของอิตาลีในยุค 80s อบอวลไปด้วยอารมณ์ของผู้คนที่หลากหลาย ความรักจากครอบครัว เพื่อน และทุกคนที่เข้ามาในวงโคจรของเขา ณ ห้วงเวลาหนึ่งของชีวิต และไม่ว่าสุขหรือทุกข์ มันได้หลอมรวมเป็นตัวตนที่เขาเป็น และยังหลับตาระลึกถึงความทรงจำนั้นเสมอ ยิ่งเมื่อได้มาสัมผัสบรรยากาศของเมืองนี้ด้วยตัวเอง ยิ่งทำให้รู้เลยว่า ไม่ยากเลยที่ใครๆ จะมาตกหลุมรักกันช่วงฤดูร้อนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้

และก่อนที่จะอ่านบทความนี้ อยากให้ลองหลับตาลง คิดถึงแดดอ่อนๆ อากาศอุ่นๆ ลมที่พัดมาช่วยดับร้อนในบางครา แล้วเปิดเพลง Une barque sur l’océan from Miroirs คลอไป

 

กลางฤดูร้อนในปีกลาย

เราไปถึงสนามบินนอกเมืองมิลานในช่วงที่อากาศกำลังดี แดดแรง แต่ก็ไม่ถึงกับไม่สบายตัว การเดินทางเป็นการไปวางแผนเอาข้างหน้าโดยไม่ได้ลงรายละเอียด คืนก่อนเดินทางจึงใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงไปกับการวางแผนรถไฟและรถบัสที่ต้องต่อไปยังเมืองต่างๆ เราใช้วิธีจดโพยตารางการเดินทางต่อรถลงบนกระดาษแผ่นเล็กๆ ดูโบราณ แต่รู้สึกมั่นใจมากกว่าเวลาหยิบขึ้นมาดู

Call Me By Your Name ตามรอย

การเดินทางโดยรถไฟที่นี่ไม่ยากและไม่ได้ใช้เวลานานอย่างที่คิด ค่าโดยสารทั้งไปและกลับรวมกันแล้วถูกมาก เหมาะสำหรับนักศึกษาที่ต้องการประหยัดงบอย่างเรา แต่ก็ต้องมีวางแผนที่ละเอียดมากเช่นกัน เรื่องเวลาและสถานีต้องถูกต้องแม่นยำ ไม่อย่างนั้นถ้าพลาดไปนิดเดียวจะกลับไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้าย ซึ่งแอบหวาดเสียวและท้าทายเล็กน้อยที่จะไปหลงอยู่ในที่ที่เราไม่รู้จักและไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แต่เราชอบการนั่งรถไฟและใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่ผู้คนในท้องถิ่นใช้กันในชีวิตประจำวันจริงๆ ถึงจะใช้เวลามากกว่านิดหน่อยในการรอรถบัส ต่อรถไฟ และเตรียมอ่านป้ายสถานีให้ถูก แต่เราจะได้ซึมซับบรรยากาศการเดินทางแบบคนท้องถิ่น ได้นั่งฟังผู้คนพูดคุย หรือสร้างบทสนทนากับคนแปลกหน้า ซึ่งถือว่าเป็นสีสันหนึ่งของการเดินทาง

Call Me By Your Name ตามรอย

เรารีบมาที่สถานีกันแต่เช้าตรู่เพราะมีเวลากันเพียงวันเดียวที่จะไปตามจุดต่างๆ ที่เราวางแผนไว้ ในที่สุดเราก็ดั้นด้นกันจนมาถึง Crema สถานีตั้งต้นเดินทางไปยังเมืองอื่นๆ โดยรอบได้ เมื่อมองเห็นป้ายสถานีแต่ไกลเราก็เริ่มตื่นเต้น รถไฟชะลอจอดที่สถานีอย่างช้าๆ แต่ด้วยความรีบที่ต้องไปให้ตรงตามเวลา เรารีบไปหาจุดซื้อตั๋วและเช็กตารางเวลารถบัสที่จะนั่งต่อไปเมือง Pandino เพื่อไปดูหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำฉากสำคัญของเรื่อง

คุณป้าคนขายตั๋วไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษ แต่เราก็คุยกันด้วยการโชว์กูเกิลแมปส์ และใช้ภาษามือจนได้ตั๋วตรงตามเวลาที่ต้องการมาจนได้ พอได้ตั๋วและเวลาเดินทางเรียบร้อยแล้วเราก็เดินเล่นกันบริเวณรอบๆ สถานี เนื่องจากช่วงเวลาที่เราไปนั้นเป็นช่วงเช้าตรู่จึงมีเสียงจักจั่นร้องกันระงม อากาศเย็นสบายทั้งที่อยู่กลางฤดูร้อน หน้าสถานีมีพุ่มดอกลาเวนเดอร์ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ น่านั่งหลับตาฟังเสียงจักจั่นในบรรยากาศแบบนี้ไปทั้งวัน

Call Me By Your Name ตามรอย

รถบัสวิ่งลัดเลาะไปตามถนนอย่างสบายๆ เป็นวิวที่แปลกตาสำหรับการมาเที่ยวต่างแดนพอสมควร เราผ่านทุ่งสีเขียวตลอดสองข้างถนน รถบัสจอดรับผู้โดยสารตามป้าย ความลื่นไหลของการเดินทางทำให้เราสัปหงกไปบ้าง แต่ต้องพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมาดู เพราะกลัวที่จะเลยป้าย รถบัสขับมาเรื่อยๆ จนมาจอดที่สถานีของเมือง Pandino

Call Me By Your Name ตามรอย

ก้าวแรกที่ก้าวลงจากรถเรารู้สึกถึงลมร้อนปะทะหน้าเบาๆ พอเริ่มสายอากาศก็เริ่มร้อนขึ้น เราเดินข้ามสะพานที่มีลำธารไหลอยู่ด้านล่าง น้ำใสสะอาดจนเห็นปลาตัวเล็กๆ ว่ายกันอยู่เต็มไปหมด สายตาเหลือบไปเห็นป้ายร้านที่แขวนอยู่อีกฝั่งของถนน เป็นป้ายของร้านเครื่องเขียนและอุปกรณ์ศิลปะน่ารักๆ ที่เราอดใจไม่ได้ที่จะแอบเข้าไปสำรวจ เมืองนี้เป็นเมืองเงียบๆ ไม่พลุกพล่าน แดดแรงจ้าสาดรับกับตึกสีสวย ชานบ้านน่ารัก และคนท้องถิ่นออกมารับแสงแดดกันในช่วงวันหยุด

Call Me By Your Name ตามรอย

“There’ll never be a friendship, I thought, this is nothing, Just a minute of grace.”
“Zwischen Immer und Nie. Zwischen Immer und Nie. Between always and never.”

เรามองไปที่ไม้กางเขนที่ตั้งอยู่บนยอดโบสถ์ Chiesa Santa Margherita เหมือนอย่างที่เอลิโอมองในฉากที่เขากับโอลิเวอร์เผยความในใจและพูดคุยกันที่อนุสาวรีย์ The Battle of Piave จริงๆ ตรงนี้เป็นลานจอดรถของชุมชน คนเริ่มมาจอดรถกันอย่างหนาแน่นในเวลาใกล้เที่ยงวันเพื่อมาร้านอาหารและจับจ่ายซื้อของกันในบริเวณนี้

Call Me By Your Name ตามรอย

Oliver stopped to buy cigarettes. He had started smoking Gauloises. I had never tried Gauloises and asked if I could. He took out a cerino from the box, cupped his hands very near my face, and lit my cigarette.

“Not bad, right?”

“Not bad at all.”

 

คาเฟ่ตรงหัวมุมด้านซ้ายยังคงมีกระโจมด้านหน้าสีเหลืองสลับขาวสดใสไม่ผิดเพี้ยนไปจากในหนังเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ต่างกันก็ตรงที่วันนี้ในคาเฟ่มีลูกค้ามานั่งสนทนากันในวันหยุดพักผ่อนจนคนล้นออกมาถึงนอกร้าน เมื่อพวกเราเดินเข้าไปก็เจอกับคุณป้าเจ้าของร้านยิ้มแย้มแจ่มใสคอยต้อนรับอยู่

Call Me By Your Name ตามรอย

Silence.

“Why are you telling me this?”
“Because I thought you should know.”
“Because you thought I should know.”

ตอนที่เราถ่ายรูปมีคุณป้าเดินผ่านมายิ้มเล็กน้อยและทักทายเราเป็นภาษาอิตาลี เราคาดว่าคงมีนักท่องเที่ยวมาตามรอยในจุดนี้เยอะพอสมควรจนชาวเมืองเริ่มชิน แต่เราก็ยังแอบเขินนิดหน่อย

ระหว่างทางที่กำลังออกจากเมืองเราแวะร้านขายของชำเล็กๆ เพื่อซื้อน้ำและขนมเติมพลัง คุณป้าและคุณลุงในร้านพยายามพูดภาษาอิตาลีกับเราด้วยหน้าตายิ้มแย้ม เสียดายที่พวกเราไม่เข้าใจภาษาเลย แต่ทั้งคู่ก็ยังพยายามสื่อสารกับเราจนเราจับใจความได้ว่าคุณลุงคุณป้าถามเราว่าเรามาดูฉากถ่ายหนังใช่ไหม บางทีเสน่ห์ของการเดินทางก็คือการสื่อสารกับผู้คนแปลกหน้า อาจจะไม่ต้องใช้ภาษาพูดให้เข้าใจกันทั้งหมด แต่เราได้แลกเปลี่ยนความเข้าใจและรอยยิ้มแก่กันและกัน เมื่อเราเดินออกจากร้าน คุณลุงคุณป้าก็โบกมือลาและขอให้เราสนุกกับการเดินทาง

Call Me By Your Name ตามรอย

เรานั่งรถกลับมาที่เมือง Crema เพื่อนั่งรถไฟย้อนกลับไปที่สถานี Capralba ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ่อเก็บน้ำ Fontanile Quarantina Farinate จุดหมายสำคัญของวันเลยก็ว่าได้ จากสถานีเดินเข้าไปใช้เวลาเกือบ 20 นาที ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยงวันพอดีอากาศจึงร้อนมาก แต่วิวระหว่างทางก็พอคลายร้อนไปได้บ้าง เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เขียวขจีไปหมด

Call Me By Your Name ตามรอย

“On our way, I noticed that Oliver was taking his time. He wasn’t in his usual rush, no speeding, no scaling the hill with his usual athletic zeal. Nor did he seem in a rush to go back to his paperwork, or join his friends on the beach, or, as was usually the case, ditch me.”

เราเดินมาถึงตรงทางแยกที่มีรูปปั้นพระแม่มารีตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวตรงข้ามกับสุสานของเมือง ถนนลูกรังระหว่างทางนั้นเงียบสงบ มีคนสัญจรด้วยจักรยานผ่านไปมาบ้างประปราย ในลำธารมีปลาตัวเล็กๆ ว่ายไหลไปตามข้างถนน เป็นช่วงเวลาที่สงบสุขและรู้สึกแปลกเหลือเกินที่เรามาเดินอยู่ในถนนชนบทต่างแดนที่เราไม่รู้จักเลยสักนิด สองข้างทางมีแปลงเกษตรอยู่ เดาว่าแหล่งน้ำพวกนี้คงนำมาใช้ในการเพาะปลูกพืช เราเดินตามทางมาเรื่อยๆ แต่ไม่เห็นวี่แววของบ่อน้ำ การที่ทั้งเอลิโอและโอลิเวอร์ขี่จักรยานไปตามจุดต่างๆ ดูแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในชีวิตจริง เพราะแต่ละจุดห่างกันมากพอสมควร แต่เมื่อสังเกตดูดีๆ แล้ว ถนนที่เรากำลังเดินอยู่ดูคล้ายคลึงกับในฉากที่ทั้งสองขี่จักรยานแข่งกันมาก เลยลองเดินหน้ากันต่อไปจนได้ยินเสียงกลุ่มเด็กๆ กำลังเล่นกันอยู่ในดงไม้ด้านหน้า เราจึงลองเดินตามเสียงเข้าไปดู

Call Me By Your Name ตามรอย

“I leaned my bike against one of the trees, he did the same, and I showed him the way up to the berm. “Now take a look,” I said, extremely pleased, as if revealing something more eloquent than anything I might say in my favor.”

Call Me By Your Name ตามรอย

ในที่สุดเราก็มาถึงทางลงบ่อเก็บน้ำ จุดเดียวกับที่โอลิเวอร์ยืนอยู่ในฉากพอดี รอบๆ เป็นไร่ข้าวโพดและลานหญ้าโล่งๆ ใครจะไปคิดว่าตรงนี้มีบ่อน้ำแอบซ่อนอยู่ ในวันนั้นมีคุณครูพาเด็กๆ กลุ่มหนึ่งมาทำกิจกรรมกันข้างๆ บ่อน้ำพอดี บรรยากาศจึงคึกคัก เด็กๆ โบกมือพยายามทักทายเรากันยกใหญ่

Call Me By Your Name ตามรอย

“This is my spot. All mine. I come here to read. I can’t tell you the number of books I’ve read here.”

ตอนนั้นเป็นช่วงเที่ยงพอดี ตรงกับแผนที่เราจะมานั่งปิกนิกรับบรรยากาศดีๆ ริมน้ำ ของที่เราเอามาก็ไม่มีอะไรพิเศษ มีแซนด์วิชที่แพ็กมาจากบ้าน น้ำผลไม้รสพีชกล่องเล็กๆ และขนมที่ได้รับมาจากเพื่อนใหม่ที่ได้พบระหว่างทางพร้อมกับมิตรภาพดีๆ ส่วนหนึ่งที่เราเลือกมาที่นี่ก็ไม่ใช่อะไรนอกเสียจากว่าบ่อน้ำที่นี่จะช่วยคลายร้อนจากอากาศที่ร้อนสุดๆ ในฤดูนี้ ถึงแดดค่อนข้างร้อนพอสมควร แต่น้ำเย็นสดชื่นและต้นไม้ร่มรื่นก็เหมาะแก่การมานั่งเล่นคุยกันหรือนอนอ่านหนังสือ เป็นเหมือนโอเอซิสกลางชุมชนให้คนได้มาพักผ่อน

แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ

Call Me By Your Name ตามรอย

Call Me By Your Name ตามรอย

“I like the way you say things. Why are you always putting yourself down?”

“I don’t know. So you won’t, I suppose?”

Call Me By Your Name ตามรอย

น้ำในบ่อเก็บน้ำนี้ใสมากๆ ใสเหมือนกระจก ใสจนเห็นก้อนหินข้างล่าง ใสราวกับว่าฝันไป ระดับน้ำลึกประมานครึ่งแข้งและเย็นจับใจ เหมือนกับที่โอลิเวอร์ได้พูดไว้ในภาพยนตร์ตอนที่เขาหย่อนขาลงในบ่อน้ำว่า “It’s freezing!” เราคิดเอาว่าบ่อน้ำนี้อาจจะไม่ใช่บ่อน้ำธรรมชาติ แต่เป็นบ่อที่คนสร้างไว้กักน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาเพื่อทำการเกษตร และผลพลอยได้คือที่แห่งนี้กลายเป็นที่พักผ่อนของชาวชุมชนโดยรอบ

Call Me By Your Name ตามรอย

เรานั่งเล่น ทานข้าว และได้เล่นโต้ตอบกับกลุ่มเด็กๆ รู้สึกตัวอีกทีก็ผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว ในขณะที่เรากำลังจะกลับ คนในละแวกนั้นก็กำลังเข้ามาเล่นน้ำและนั่งพักผ่อนพอดี เรามีโอกาสได้คุยกับผู้ชายคนนี้ น่าเสียดายที่จำชื่อเขาไม่ได้ เขาบอกว่าทำงานอยู่ในละแวกนี้ บางวันหลังเลิกงานเขาจะขี่จักรยานมานั่งพักผ่อนที่นี่ น่าอิจฉาเสียเหลือเกิน เราอยากจะมีที่แบบนี้อยู่สวนในหลังบ้านบ้าง

Call Me By Your Name ตามรอย

“Better now?”

Call Me By Your Name ตามรอย

Call Me By Your Name ตามรอย

ก่อนที่จะหมดวัน เราบอกลาเพื่อนใหม่และกลับไปยังเมือง Crema เพื่อต่อรถไฟกลับมิลาน เมืองนี้ดูเหมือนจะเป็นเมืองหลักในละแวกเมืองเล็กเมืองน้อยในบริเวณ การเดินเข้าไปยังจัตุรัสกลางเมืองใช้ระยะเวลาเดินจากสถานีรถไฟพอสมควร

Call Me By Your Name ตามรอย

ความน่ารักของเมืองในละแวกนี้คือระหว่างทางแทบทุกเมืองจะมีลำธารน้ำใสไหลผ่าน ร้านค้าในตัวเมืองเปิดกันเวลาบ่ายสองเป็นต้นไป เราเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวบ้างประปราย ผิดกับเมื่อเช้าที่แทบไม่มีคนเลย และพบว่ามีบางคนมาตามรอย Call Me By Your Name เหมือนกันกับเรา

Call Me By Your Name ตามรอย

ในวันนั้น จัตุรัสกลางเมืองกำลังจัดสถานที่เพื่องาน Crema Film Festival พอดี ในงานมีฉาย Call Me By Your Name ในเมืองเป็นครั้งแรกด้วย แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถอยู่กันได้จนถึงวันนั้น

Call Me By Your Name ตามรอย

ร้านหนังสือที่เอลิโอกับโอลิเวอร์มาเจอกันตั้งอยู่ในบริเวณจัตุรัสกลางเมือง กลายเป็นจุดสนใจใหม่ของนักท่องเที่ยวที่มาตามรอยหนังกันเลยทีเดียว

Call Me By Your Name ตามรอย

ในเว็บไซต์ของเมืองมีแผนที่จุดต่างๆ ในเมืองให้เดินตามไปชมได้อีกด้วย และอีกจุดหนึ่งที่เราจะลืมกันไม่ได้เลยคือประตูบานนี้

Call Me By Your Name ตามรอย

“I just wanted to be with you.”

“Do you really like to read that much?” She asked as we ambled our way casually in the dark toward the piazzetta.

I looked at her as if she had asked me if I loved music, or bread and salted butter, or ripe fruit in the summer time.

Call Me By Your Name ตามรอย

เราเดินสำรวจไปทั่วเมือง Crema เมืองเล็กๆ ที่น่ารักและรู้สึกอบอุ่น บ่ายแก่ๆ มีผู้คนทุกเพศทุกวัยออกมาเดินรับแดดกันอย่างคับคั่ง ตึกยังคงเป็นตึกดั้งเดิมของเมืองไม่มีตึกสไตล์โมเดิร์นใหม่ๆ การตกแต่งร้านคาเฟ่ภายในบางร้านยังคงเป็นสไตล์วินเทจเหมือนถูกแช่แข็งไว้ในกาลเวลา มีใครรู้สึกคุ้นตากับรูปภาพเหล่านี้บ้างหรือเปล่านะ

Call Me By Your Name ตามรอย

ในตอนแรกเราหวังเพียงได้มาชมเมืองอันเป็นฉากหลังของภาพยนต์ที่เรารัก แต่สิ่งที่ได้กลับมามากกว่านั้น ผู้คนดีๆ มิตรภาพดีๆ น้ำใจที่หยิบยื่นให้กัน และประสบการณ์ที่เราได้เจอระหว่างทาง การได้ออกเดินทางทำให้เราได้พบเจอสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา และหวังว่าเราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ไม่ช้าก็เร็ว

Later!

Call Me By Your Name ตามรอย

AUTHOR