“ไม่มีตรงกลางระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย” จอห์น วิญญู และทัศนะต่อราคาที่ต้องจ่าย

จอห์น วิญญู’ ถ้าคุณพิมพ์ชื่อเขา และกดเสิร์ชตอนนี้ 

ข่าวแรกที่คุณจะเจอคือการเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาจากการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ครั้งผ่านทางทวิตเตอร์

แต่ถ้าคุณติดตามเขามานานกว่านั้น จอห์น–วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ วิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานของรัฐบาล และตั้งคำถามถึงประเด็นสังคมการเมืองมานับครั้งไม่ถ้วน ผ่าน เจาะข่าวตื้นรายการเล่าข่าวออนไลน์แห่ง SpokeDark TV 

ประเด็นไหนมาแรง เรื่องไหนต้องใส่ใจ เจาะข่าวตื้นจะรวบมาเล่าให้เข้าใจง่าย แผ่ขยายประเด็นให้ดึงดูดด้วยภาษาแสบทรวงและเสียดสี แฝงการประชดประชันแต่ก็ตั้งคำถามได้หนักแน่นและลึกถึงแก่น

จอห์น วิญญู

แม้เขาและ SpokeDark TV จะทำคอนเทนต์สังคมการเมืองด้วยท่าทีชัดเจนเสมอมา แต่ในฐานะอดีตพิธีกรและดาราที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง หากเขาเลือกลอยตัวเหนือการเมืองหรือทำคอนเทนต์สายลมแสงแดดก็ย่อมได้ 

แต่ทำไมเขาเลือกส่งเสียงเรื่องการเมืองอย่างสม่ำเสมอ ราคาที่เขาต้องจ่ายคืออะไร ราคาของคนที่ไม่ส่งเสียงเรื่องการเมืองต้องจ่ายนั้นมีไหม ที่สำคัญอะไรที่ทำให้เขาและ SpokeDark TV ยังเชื่อมั่นและอยากทำคอนเทนต์เรื่องการเมืองต่อไป นี่คือก้อนความสงสัยที่อยากให้เขาช่วยคลี่คลาย

เราสนทนากันผ่านหน้าจอท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ระลอกล่าสุด และสภาพสังคมการเมืองกระท่อนกระแท่นชวนหดหู่

แม้น้ำเสียงเขาจะไม่ยียวนเหมือนที่เราเคยฟังจากเจาะข่าวตื้น

แต่เนื้อหาดุเดือดไม่แพ้กัน

จอห์น วิญญู

ย้อนกลับไปตอนนั้นคุณเป็นพิธีกร เป็นดาราอยู่ดีๆ ทำไมถึงอยากทำรายการอย่าง เจาะข่าวตื้น

ตอนนั้นเพิ่งโดนภาษีย้อนหลังหลายล้านเลยเริ่มสนใจว่าเงินภาษีที่เราต้องจ่ายย้อนหลังเป็นล้านๆ นี้ถูกเอาไปใช้ทำอะไร ในเมื่อหันซ้ายยังเห็นถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ หันขวาก็เห็นโครงสร้างโฮปเวลล์เป็นซากตระหง่าน การได้เจอกับตัวมันทำให้เราตื่นตัวและอยากตั้งคำถามขึ้นมา 

คนรุ่นผมรู้ตัวช้า กว่าจะทำงาน กว่าจะเสียภาษีแล้วเริ่มสงสัยว่าภาษีที่จ่ายถูกใช้ไปทำอะไร เราโชคดีที่รู้ตัวเร็ว เลยคิดว่าจะทำยังไงให้คนรุ่นเดียวกันหรือคนที่เด็กกว่า คนที่เขาติดตามรายการอย่าง Wake Club ที่เราเป็นพิธีกรตอนนั้น หันมาสนใจข่าวหรือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในสังคมบ้าง เลยตัดสินใจคุยกับโรซี่ (จรรยา วงศ์สุรวัฒน์–พี่สาว) 

แต่ถ้าทำรายการข่าวต่อให้พิธีกรเป็นวัยรุ่น แล้วนำเสนอสไตล์พี่ยุทธ สรยุทธ มันก็ไม่ได้ โรซี่เลยบอกว่าแกต้องเป็นตัวของตัวเอง เป็นคนที่กวนตีนเงียบๆ นี่แหละ เลยเอาสไตล์นี้มาปรับใช้จนออกมาเป็นเจาะข่าวตื้นเทปแรกซึ่งเป็นรูปแบบที่เราอยากสื่อสารกับคนรุ่นเดียวกัน ให้หันมาสนใจและตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว

จริงๆ การชวนคนมาตั้งคำถามก็ทำคอนเทนต์ได้หลายรูปแบบ ทำไมคุณเลือกรายการข่าว

ข่าวคือสิ่งที่มีทุกวัน และเกี่ยวข้องกับเราทุกคน เอาแค่การเมืองก็เกี่ยวข้องกับทุกอย่างในชีวิตแล้ว เราทำรายการเล่าข่าวเพื่อชี้ให้คนเห็นว่า เฮ้ย การเมืองเกี่ยวกับคุณนะ คุณจะหนีไปไกลแค่ไหนการเมืองก็ตามคุณไปอยู่ดี ตื่นขึ้นมาตอนเช้าออกนอกบ้าน คุณใช้ถนนหรือระบบขนส่ง คุณเดินบนทางเท้า ไปจนถึงอากาศที่คุณหายใจ มลพิษเยอะไหม บริสุทธิ์หรือเปล่า นี่การเมืองหมดเลย 

เราเลยรู้สึกว่าอยากกระตุ้นให้คนตื่นตัวและสนใจ จุดที่เราเสียภาษีย้อนหลังจำนวนมาก ญาติที่อยู่ต่างประเทศก็เสียภาษีเยอะเหมือนกัน แต่คุณภาพชีวิตเขาดีมากเลย นั่นคือ 10 ปีที่แล้วนะครับ เราเห็นว่าสวัสดิการเขาดี เข้าโรงพยาบาลไม่ต้องเสียสักแดง ไม่ต้องไปซื้อประกันเพื่อจ่ายเป็นหมื่นเป็นแสน เราคิดขึ้นมาได้ว่าประเทศมันควรจะดีกว่าสิ พอเราตื่นแล้วก็อยากให้คนอื่นตื่นเหมือนกัน 

การทำรายการข่าวเลยอาจเป็นการหาแนวร่วมแบบหนึ่ง เราอยากเห็นประเทศเปลี่ยนแปลง แต่ทำไงดีวะ งั้นเริ่มด้วยการเล่าข่าวหรือสิ่งที่มันเกิดขึ้นรอบตัวให้คนตื่นตัวแล้วมีความคิดอยากให้สังคมดีขึ้นแล้วกัน เราอยากเป็นคนจุดประกาย ส่วนใครจะตื่นขึ้นมาแล้วเดินไปในทิศทางไหนก็แล้วแต่คนดู

จากการตั้งคำถามว่าภาษีไปไหน สู่รายการข่าวที่ชวนคนอื่นมาตั้งคำถามและสนใจการเมือง

ใช่ครับ เพราะในสังคมนี้การเป็นคนช่างสงสัยหรือชอบตั้งคำถามมักถูกมองเป็นคนแปลก “อย่าไปสงสัยมากได้หรือเปล่า ถามอยู่นั่นแหละ จะถามไปถึงไหน ประเทศก็เป็นแบบนี้แหละ” แต่เรารู้สึกว่าไม่ดิ เราต้องสงสัยได้ เอ๊ะได้ เราต้องตั้งคำถามและควรจะได้คำตอบที่ดีที่สุด หรือคำตอบที่ทำให้เราเข้าใจมากที่สุด เราเลยตั้งใจทำคอนเทนต์ให้คนเห็นว่าสงสัยได้ ถามได้ และอีกฝั่งต้องตอบจนกว่าเราจะเข้าใจหมดจด 

ซึ่งเรามักไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในฟรีทีวี เราอยากสร้างนอร์มใหม่ๆ ในแพลตฟอร์มใหม่ แรกๆ มันอาจดูอินดี้เพราะอินเทอร์เน็ตยังไม่แมสขนาดนั้น

จอห์น วิญญู

ทำไมไม่ชวนคนตั้งคำถามในช่องโทรทัศน์กระแสหลัก แต่มาทำช่องทางออนไลน์

ตอนที่เราตั้งบริษัทก็ตั้งใจว่าจะทำคอนเทนต์ไปปล่อยทางฟรีทีวี เพราะในเวลานั้นยังไม่มีดิจิทัลทีวี ยังมีช่องหลักๆ ไม่กี่ช่อง แต่ช่องเหล่านั้นเขาไม่เชื่อในคอนเทนต์เรา เอาเจาะข่าวตื้นไปเสนอ โดนปฏิเสธมาเกือบทุกช่องเพราะเขาก็รู้สึกว่าคอนเทนต์ข่าวที่เรื่องเสียดสี ตลกๆ ใช้คำไม่เป็นทางการมากแบบนี้ดูไม่ใช่รายการข่าวที่เขาคุ้น

ถ้าช่องทีวีปกติเขาไม่รับก็หาช่องทางอื่น ทีแรกไปหาพวกเคเบิลทีวี หรือช่องทีวีดาวเทียม แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงอยู่ดี จนมาค้นพบว่าจริงๆ มันก็มียูทูบ 

พอเราทำออนไลน์ก็เห็นเลยว่านำเสนอข้อมูลได้อิสระมากขึ้น เราสามารถฉีกกฎเดิมๆ ที่รายการทีวีกระแสหลักมักกำหนดไว้ได้หมดเลย คอนเซปต์จริงๆ ของ SpokeDark TV คือการเป็นตัวของตัวเองและไม่กลัวที่จะสื่อสารความเป็นตัวของตัวเองออกไป เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มทำคอนเทนต์ออนไลน์กัน

อะไรทำให้คุณเลือกเล่าข่าวด้วยน้ำเสียงและวิธีการแสบๆ แบบนี้

อาจเพราะจิตใต้สำนึกที่เรารู้สึกว่าคนไทยเป็นคนแบบนี้ เห็นปัญหาอยู่ทนโท่ แต่ทำได้แค่แดกดันกันอยู่ข้างหลัง พูดกันไปว่า “มันก็อย่างนี้แหละมึง” เลยอยากเอาไอ้สิ่งที่มัวแดกดันกันอยู่ข้างหลังขึ้นมาแดกดันกันโต้งๆ ไปเลย 

เวลาคนมีอำนาจพูดในที่สาธารณะก็จะประมาณว่า “โอ้ ประเทศไทยก็กำลังเดินหน้าอยู่ในทุกองคาพยพ เราเร่งบูรณาการทุกภาคส่วนกันอยู่นะครับ” แต่ทันทีที่คนนั่งคุยกันก็จะ “บูรณาการเหี้ยอะไรล่ะ แม่งไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย” เราเลยอยากเอาสิ่งที่คนพูดกันอยู่ด้านหลังมาไว้ด้านหน้า แล้วก็พูดในสิ่งที่ประชาชนรู้สึกกันจริงๆ 

อยากให้มันเป็นมาตรฐานใหม่ว่าการหยิบยกเรื่องที่เคยเมาท์ด้านหลังมาแสดงให้เห็นเลยว่าสังคมเละเทะ เน่า หรือห่วยแตกอะไรตรงไหน ผมนำเสนอปัญหาไปในพื้นที่สาธารณะแล้ว พวกคุณจะว่ายังไงก็เป็นเรื่องของพวกคุณ อาจมีคนรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยน เราได้แค่บ่นๆ ไปอย่างนั้น หรืออาจมีสักคนที่ฟังเราแล้วรู้สึกว่าจริงว่ะ เขาเปลี่ยนแนวคิดใหม่ ถ้าเขาเจอเรื่องแบบนี้อีกเขาจะไม่ยอมแล้ว เขาจะลุกขึ้นมาตั้งคำถาม 

จอห์น วิญญู

เราคาดหวังให้น้ำเสียงคอนเทนต์เราทำงานในลักษณะแบบนี้ หยิบปัญหามาแผ่ไว้ตรงหน้า ส่วนคนดูจะทำยังไงต่อก็แล้วแต่วิจารณญาณ เราไม่ได้ตั้งใจทำคอนเทนต์มาเพื่อชี้นำว่าแบบนี้ถูกแบบนั้นผิด อาจบอกว่าผมคิดว่าแบบนี้ถูก ผมคิดแบบนี้บนหลักการแบบนี้ ที่เหลือแล้วแต่คุณ ผมไม่บังคับ

อย่าง Daily Topics เรามาพูดข่าวก็จริงแหละ แต่เราใช้ภาษาหรือวิธีการอธิบายที่เข้าใจง่ายขึ้นหน่อยเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนได้มากยิ่งขึ้น ส่วนเจาะข่าวตื้นเราใช้ภาษาแดกดัน ประชดประชันเสียดสีของเราไป เป็นตัวตนของเรา เวลาเรานั่งอ่านข่าวหรือมีหนังสือพิมพ์วางอยู่ตรงหน้าเราสามารถแดกดันได้ทันที ทุกประโยคของข่าว เพราะเราก็จะรู้ว่าเราโยงไปเรื่องไหนได้บ้าง เราเชื่อลึกๆ ว่าความชอบคนหลากหลาย น่าจะมีคนที่สนใจข่าวแล้วก็เป็นพวกปากหมาเหมือนเรา

คุณคิดว่าสื่อหรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์ต้องเป็นกลางหรือเปล่า

มันไม่มีตรงกลางระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย คนทำคอนเทนต์และสื่อต้องอยู่บนหลักการ ในยุคสมัยนี้คุณอ้างความเป็นกลางไม่ได้ 

เมื่อก่อนเคยกังวลว่าที่เราทำอยู่นี่กลางไหม หรือบางทีมีคนมาคอยบอกเราว่าสื่อต้องเป็นกลาง แต่เราคิดว่าตอนที่ประเทศยังเป็นประชาธิปไตย บรรยากาศก่อนการรัฐประหาร การบอกว่าสื่อต้องเป็นกลางยังพอมีน้ำหนัก

แต่ 7 ปีใต้ร่มเงาเผด็จการ วันนี้ที่เผด็จการที่จำแลงมา ห่อตัวด้วยประชาธิปไตยปลอมๆ เราต้องเลือกว่าจะยืนข้างประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน และหลักการสากล หรืออยู่ข้างเผด็จการ ดังนั้นในฐานะสื่อหรือคนทำคอนเทนต์ เราเลือกอยู่ข้างประชาชน ความเท่าเทียม เสรีภาพ ประชาธิปไตย และความโปร่งใส ไม่มีเหตุผลอะไรให้เราเลือกข้างเผด็จการ 

ในฐานะที่ทำคอนเทนต์และพูดเรื่องการเมืองมาตลอดเวลาคนพูดว่าคนดังหรืออินฟลูเอนเซอร์พูดเรื่องการเมืองไม่ได้ คุณคิดยังไง

นี่คือสิ่งที่เราเผชิญมานานแล้ว ก่อน เจาะข่าวตื้น เป็นที่รู้จัก ผู้บริหารที่แกรมมี่ก็เตือนเรา การพูดเรื่องการเมืองส่งผลกระทบเรื่องงานแน่นอน ถ้าเราเป็นคนนอบน้อม ไม่พูดเรื่องการเมือง รายการทั้งหลายที่ตอนนี้เห็นกันอยู่เราก็คงเป็นพิธีกรหลายรายการ 

วงการโทรทัศน์เติบโตมาในวัฒนธรรมการซื้อเวลาในช่อง คนในวงการต้องเข้าไปหาผู้ใหญ่ที่ดูแลคลื่นความถี่หรือสัมปทาน เข้าไปไหว้นายพล เอากระเช้าไปให้สงกรานต์ ปีใหม่ วันกองทัพไทย ที่ต้องกังวลเพราะผลประโยชน์อิงอยู่กับระบบอุปถัมภ์ ระบบที่ไม่โปร่งใส ระบบที่ไม่ได้แข่งขันกันจริง แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครรู้จักใคร ใครเด็กใคร ใครมาจากคนสายไหน เพราะฉะนั้นก็ต้องเอาคนทำงานบริษัทนี้ที่เป็นลูกท่านหลานเธอที่ตรงสายเดียวกันไปไหว้ 

วงการบันเทิง สื่อไทยเลยตั้งอยู่บนความเกรงใจ ระบบอุปถัมภ์ ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานการแข่งขัน หรือการเป็นสื่อต้องที่ต้องนำเสนอตามจรรยาบรรณ กลายเป็นว่าการรายงานนี้กระทบท่านคนนั้นคนนี้หรือเปล่า กระทบองค์กรอย่างกองทัพหรือเปล่า แล้วถ้ารายการแบบเราไปอยู่ในช่องของเขา ก็มีปัญหาแน่ ไม่พูดดีกว่า โดยเฉพาะ 7 ปีที่ผ่านมายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย คลื่นวิทยุ ช่องโทรทัศน์เกี่ยวโยงกับผู้มีอำนาจทั้งนั้น 

ถ้าพูดการเมืองแล้วเป็นบวกกับผู้มีอำนาจก็พูดได้ แต่ก็จะมีผู้บริหารบางจำพวกที่ไม่ให้พูดเลย เราจะทำเหมือนว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น หรืออีกแบบคือให้พูดไปเลยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ดีที่สุด ผมมีความสุข ผมภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย เหมือนเอาคำพูดสวยหรูมาวางต่อๆ กัน 

แต่ถ้าจะวิพากษ์ระบบโครงสร้าง “ดูสิครับว่าระบบขนส่งมวลชนไทยทำไมถึงได้แค่นี้เอง” ต่อให้เป็นปัญหาที่อยู่ตรงหน้าแค่ไหนก็ห้ามพูด หรือเหตุการณ์กราดยิงที่โคราชเขาจะไม่พูดถึงปัญหาในกองทัพ ไม่ตั้งคำถามว่าเอาปืนออกมาได้ยังไง การโกง อำนาจกดขี่ที่เกิดขึ้นจะแก้ยังไง เขาจะพูดแค่ว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนไทยต้องเจอเรื่องแบบนี้ ไม่พูดถึงปัญหา แต่พูดผิวๆ ให้ตัวเองดูดีว่า นี่ไงจ๊ะ ฉันแคร์นะ ฉันแคร์สิ่งที่เกิดขึ้นนะ แต่เราไปฟังเพลงกันต่อดีกว่า 

ทางหนึ่งผมเลยเข้าใจคนวงการบันเทิง แต่อีกใจก็ไม่ให้ราคาแล้ว

ในเมื่อคุณก็รู้ว่าการพูดเรื่องการเมืองมีราคาที่ต้องจ่าย ทำไมคุณยังเลือกพูดเรื่องการเมือง

เราอัดอั้นตันใจด้วย เราอยากรู้ว่านี่เราคิดเรื่องนี้อยู่คนเดียวเหรอวะ มีเราไม่โอเคกับปัญหาในประเทศนี้คนเดียวหรือเปล่า ผสมกับการที่เราอยากเข้าถึงคนดูที่มากกว่าโทรทัศน์ช่องหลัก เพื่อพิสูจน์สมมติฐานว่ามีคนคิดเหมือนเรา คนที่คิดว่าประเทศนี้มีปัญหาที่ต้องแก้และไม่ได้ดีที่สุดอย่างที่เขาพยายามบอกต่อกันมา

ประเทศที่ดีที่สุดต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ตอนทำรายการเราได้ไปถ่ายทำต่างประเทศ มีโอกาสได้ไปหลายที่ เราเห็นว่าประเทศเจริญแล้วเป็นแบบไหน เราก็สงสัยว่าแล้วทำไมประเทศเรายังได้แค่นี้ 

แต่ขณะเดียวกันเรากลับพร่ำสอนว่าประเทศเราดีมาก เราเชิดชูว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าว ในน้ำมีปลา แต่ในน้ำก็มีแรงงานทาสที่ถูกกดขี่อยู่กลางทะเล ในนามีข้าว แต่คุณภาพชีวิตเกษตรกรในนากลับลำบาก นั่นจึงเป็นอีกส่วนที่ผลักให้เราออกมาทำคอนเทนต์ ออกมาพูดเรื่องการเมือง เพราะอยากรู้ว่าเราไม่ได้เดียวดายใช่ไหม 

การทำคอนเทนต์การเมืองแล้วได้เห็นคอมเมนต์ เห็นคนแชร์เป็นพันเป็นหมื่น เราไม่ได้ประสบความสำเร็จในแง่จำนวนคนดู แต่มันหล่อเลี้ยงให้จิตใจเรามีความหวัง ในแง่ที่เราอยากเห็นประเทศดีกว่านี้ และอยากให้คนอื่นเห็นว่าประเทศนี้ดีกว่านี้ได้เหมือนกัน 

ราคาที่คุณต้องจ่าย หรือสิ่งที่คุณเสียไปเพราะการพูดเรื่องการเมืองคืออะไร

ราคาที่ต้องจ่ายคือเราถูกลูกค้ามองว่าแรง เห็นชัดเลยคืออีเวนต์ ปกติเรามีอีเวนต์สัปดาห์ละ 4-5 งาน พอเริ่มพูดเรื่องการเมืองมากขึ้นโดยเฉพาะหลังรัฐประหาร เราวิพากษ์วิจารณ์ คสช.ตั้งแต่วันแรกที่เขาทำรัฐประหาร 

จำได้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นที่บริษัทอีเวนต์ ออร์แกไนซ์ต้องชะงักหรือคิดเยอะขึ้นเวลาเสนอชื่อเราให้ลูกค้าที่จะทำอีเวนต์ จากเดิมสัปดาห์ละ 5 อีเวนต์ก็เหลือ 3 อีเวนต์ พอผ่านรัฐประหารสู่ปีที่ 2 ปีที่ 3 เรายิ่งพูดหนักขึ้น แรงขึ้น เพราะมันนานเกินไปแล้ว จากสัปดาห์ละ 3 อีเวนต์ก็เหลือสัปดาห์ละอีเวนต์ จุดที่จบจริงๆ ไม่มีอีเวนต์แล้วก็คือช่วงโควิด ซึ่งทุกคนก็ไม่มีงานเหมือนกัน 

ตอนนี้เศรษฐกิจแย่ลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่รัฐประหาร (พ.ศ. 2557) จนถึงจุดที่หนักมากอย่างโควิด เรามองไม่ออกเลยว่าธุรกิจออร์แกไนซ์จะกลับมายังไง แม้การพูดเรื่องการเมืองจะมีราคาแบบหนึ่ง แต่การไม่พูด นิ่งเฉย จนประเทศมาถึงจุดนี้ การบริหารจัดการวัคซีนห่วยแตกยิ่งทำให้เศรษฐกิจพังลงไปอีก แล้วพวกคุณก็ยังไม่พูดไม่วิจารณ์อะไรเลย ทีแรกอาจมีแค่เราที่รายได้น้อยลง แต่ตอนนี้ทุกคนกระทบกันหมด นี่คือราคาที่คนไม่พูดเรื่องการเมืองต้องจ่ายเหมือนกัน

แล้วคอนเทนต์ครีเอเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่เติบโตมาจากฐานคนดูออนไลน์ แต่ยังไม่พูดเรื่องการเมืองล่ะ คุณคิดเห็นอย่างไร

ถ้าคุณเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ การมีปัญหาใหญ่กองอยู่ตรงหน้าแต่คุณเลือกไม่พูดถึงมัน คนดูก็จะตั้งคำถามว่าคุณไม่มีความเห็นเรื่องนี้เลยเหรอ ไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลยเหรอ เขายิงกระสุนยาง ฉีดน้ำอยู่ แต่คุณก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เหรอ

ในที่สุดคนดูจะรับรู้ได้ว่าคุณไม่จริงใจ ช่วงแรกคุณอาจกอบโกยได้ แต่ไปถึงจุดหนึ่งคนจะจับทางได้ว่าคุณไม่ยอมพูดถึงปัญหาที่แท้จริง คุณเอาแต่พูดว่าอยากให้คนรักกัน อยากเห็นคนสามัคคี มีความสุข แต่ไม่พูดถึงต้นตอปัญหา คุณจะอยู่ได้ยากขึ้น การไม่พูดความจริง หรือไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่กระทบกับคนอื่น มันนำไปสู่การเสื่อมของความน่าเชื่อถือและชื่อเสียง

คุณว่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่ใช่สายเล่าข่าวแบบคุณสามารถพูดเรื่องการเมืองได้ไหม

ผมคิดว่าการเมืองมีมุมให้พูดถึงอีกเยอะ เพราะการเมืองมีหลายมิติ คนทำคอนเทนต์กีฬาอาจพูดเรื่องนักแบดฯ ทีมชาติก็ได้ ระบบการคัดเลือกนักกีฬาเป็นธรรมหรือเปล่า 

คนทำคอนเทนต์สายแฟชั่นคุณพูดเรื่องงบประมาณการสนับสนุนแบรนด์เสื้อผ้าได้ ตั้งคำถามว่าทุกแบรนด์ได้รับการสนับสนุนเท่าเทียมกันจริงไหม กรมส่งเสริมการส่งออกสนับสนุนงบประมาณส่วนนี้ให้กับแบรนด์เสื้อผ้ากี่แบรนด์ มีแบรนด์อะไรบ้าง หลักเกณฑ์ที่รัฐเลือกสนับสนุนคืออะไร เรื่องไหนที่คุณสนใจคุณทำได้เลย เพราะ unfortunately ทุกเรื่องเกี่ยวข้องกับการเมือง

อยากบอกอะไรกับคนดัง ดารา อินฟลูเอนเซอร์ที่ยังไม่ได้ออกมาพูดเรื่องการเมือง

การที่คุณไม่กล้าพูดคือการปิดปากตัวเองแล้ว มันแปลว่าเรากำลังอยู่ภายใต้ความกลัว แล้วคุณโอเคเหรอกับการอยู่ภายใต้ความกลัว คุณโอเคที่จะปล่อยให้สังคมนี้เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความกลัวไหม ถ้าปากคุณยังพูดว่าคุณอยากเห็นประเทศนี้เปลี่ยนแปลง ออกมาบอกให้คนกล้าไปใช้ชีวิต กล้าแตกต่าง อยากให้ทุกคนมีความสุข สิ่งที่คุณพล่ามเวลาทำคอนเทนต์ คุณทำให้มันเกิดขึ้นได้ด้วยการเริ่มส่งเสียงของคุณออกมา ไม่ใช่ปากพูดอย่างแต่การกระทำสวนทาง 

คุณต้องตระหนักว่าคุณคือคนที่มีอำนาจและมีอิทธิพลคนหนึ่ง การมีฐานคนติดตามคืออำนาจในรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นมาช่วยกันส่งเสียงเถอะครับ อย่าให้คนที่เขาออกมาพูดต้องพูดเพียงลำพัง 

ทำไมการมีคนติดตามจึงถือเป็นอำนาจ

นอกจากการมีคนติดตามเท่ากับมีอำนาจอยู่ในมือ คนที่เขาติดตามคุณก็เพราะเขาเชื่อมั่น ชื่นชอบ และไว้วางใจในตัวคุณ เขาลงทุนความเชื่อบางอย่างไปกับคุณ 

การติดตามคือการลงทุนทางหนึ่ง ดังนั้นการมีคนเอาความเชื่อมั่นมาให้คุณ คุณก็ต้องช่วยเป็นกระบอกเสียงให้เขามากที่สุดกลับไปด้วย เมื่อคุณเห็นว่ามีสิ่งที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นกับเหล่าคนที่เขาเชื่อมั่นในตัวคุณ ในฐานะที่คุณกอบโกยผลประโยชน์จากฐานคนที่เชื่อมั่นในตัวคุณมาตลอด คุณก็ต้องส่งเสียงให้พวกเขาด้วยเหมือนกัน 

อย่างเวลาเห็นดาราและอินฟลูเอนเซอร์ชวนคนไปฉีดวัคซีน ด้วยการบอกว่าถ้ารักชาติต้องออกมาฉีดวัคซีนนะ แต่พอเราถามว่ารักชาติคืออะไร ชาติมีประชาชนรวมอยู่ไหม รักชาติของคุณคือการนิ่งเฉยให้เผด็จการมาข่มขืนประชาชนแบบนี้เหรอ หรือเวลาบอกว่าอยากให้คนไทยสามัคคีกัน แต่พอมีคนตั้งคำถามสักอย่างขึ้นมา คุณไม่คิดจะหาคำตอบด้วยการถกเถียง พูดคุยหาทางออกให้ประเทศดีขึ้น

ผมว่าคนที่ทำงานในวงการบันเทิง หรือคนทำคอนเทนต์จำนวนมากไม่ออกมาพูดเพราะเขาลืมตรงนี้ไป คนที่เขามาติดตามคุณเขาก็มีราคาของเขาเอง ถ้าการเมืองยังทุเรศทุรัง เละเทะ เศรษฐกิจแย่ลงเรื่อยๆ คนติดตามคุณเขาก็อยู่ไม่ได้ เขาต้องจ่ายราคาของพวกเขาจนไม่สามารถมาติดตาม มาสนับสนุนคุณได้ 

ดังนั้นคุณอย่าคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับคุณหรือมาไม่ถึงคุณ 

เพราะมันจะมาถึงแน่ๆ ในทางใดทางหนึ่ง

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน