จะไปจริงๆ เหรอ Seattle ชื่อก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน หาข้อมูลไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ มีแต่ป่า แถมปีหนึ่งฝนตกไปแล้ว 300 วัน
แผนการในหัวของเราตอนนั้นไม่มีอะไรมาก แค่อยากเรียนภาษาในเมืองที่ไม่ค่อยมีคนไทย เมืองไม่ใหญ่มาก ดูปลอดภัย โจทย์ในการเลือกเมืองมีแค่นั้น และซีแอตเทิลเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในสหรัฐอเมริกา จากการหาข้อมูลแบบหยาบๆ เมืองนี้แหละตอบโจทย์
มาถึงวันแรกเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ อากาศยังเย็นๆ เพราะเพิ่งหมดหนาว มีฝนตก ฟ้าครึ้มๆ แต่ความประทับใจแรกของเราที่เห็นแล้ว…เห้ย แบบนี้ก็ได้เหรอ คนวิ่งออกกำลังกายในสวนตอนฝนกำลังตก ไม่ใช่ตกปรอยๆ แบบในซีรีส์เกาหลี แต่ฝนตกที่ทำเราเปียกได้ในเวลาไม่เกินสิบนาที ทุกคนใช้ชีวิตนอกบ้านกับสายฝนเหมือนเป็นเรื่องปกติ และคนที่นี่ไม่พกร่ม มีเพียงเสื้อกันหนาวที่สามารถกันฝนก็สามารถใช้ชีวิตได้ราวกับฝนไม่ตก วันไหนที่ฝนไม่ตกเลยเหมือนเป็นสวรรค์ของทุกคน จะเห็นคนออกมาเดินทั่วเมือง แล้วถ้ายิ่งแดดออกจะยิ่งกว่าสวรรค์เลย
พอเราอยู่ที่ซีแอตเทิลไปได้สักพัก เริ่มต้นเรียนรู้คำว่าไฮกิ้ง (hiking) ครั้งแรกเมื่อเพื่อนชวนไป เราตัดสินใจไปแบบงงๆ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไฮกิ้งคืออะไร ต้องทำอะไรบ้าง เหมือนปีนเขามั้ย ต้องแต่งตัวแบบไหน จบลงด้วยกางเกงยีนส์และเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์ หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าไฮกิ้งคืออะไร มันคือการเดินขึ้นเขาเข้าป่าซึ่งมีทั้งพื้นดินและหิมะ ทางอาจจะชันบ้าง หรือบางครั้งก็เป็นทางลาด ซึ่งก่อนเดินขึ้นไปเรียกว่าหนาวจนสั่น แต่พอเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จากความหนาวก็เปลี่ยนเป็นความร้อนแทน
Mount Si ไม่ไกลจากย่านดาวน์ทาวน์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เป็นภูเขาลูกแรกที่เราได้ลองเดินไฮกิ้ง ใช้เวลาเดินไปกลับ 8 ไมล์ ถือเป็นระยะทางที่ไกลมากสำหรับมือใหม่อย่างเรา สภาพตอนขึ้นและลงเรียกได้ว่าหมดสภาพ ขาไปนี่เริ่มล้าตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งทาง แต่ไปต่อเพราะใจเราพุ่งไปที่ยอดเขา เราอยากรู้ว่ามันสวยแค่ไหน
ระหว่างทางเราเดินสวนกับคนที่เดินลงมา หลายคนจะแบกลูกน้อยไว้ที่หลัง บ้างก็จูงสุนัขมาด้วย และจะมีบทสทนาสั้นๆ กับผู้คนตลอดทาง “Hello, how are you?” และประโยคว่า “Almost there” ได้ยินตั้งแต่เดินได้แค่ครึ่งเขา ฮ่าๆ แต่เหมือนเป็นกำลังใจให้ตัวเอง อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว บางครั้งก็แอบมีความคิดแวบขึ้นมาในหัวว่าไม่อยากเดินต่อแล้วเพราะเหนื่อยมาก อยากหันหลังกลับและเดินลงเขาซะเลย แต่พอใกล้ถึง เราเริ่มมองทะลุยอดต้นไม้มองเห็นวิวภูเขา เห็นแล้วใจชื้นจนรู้สึกตื่นเต้น อยากเห็นในมุมพาโรนามา และพอเราถึงยอดเขา ได้มองเห็นมุมแบบนั้นซึ่งสวยจริงๆ สวยมาก สวยกว่ารูปที่ถ่ายออกมาอีก เรียกว่าตกหลุมรักภูเขาและการเดินป่าไปเรียบร้อย
ซีแอตเทิลขึ้นชื่อมากสำหรับการไฮกิ้งเพราะเป็นเมืองที่มีภูเขารายล้อมทุกหนแห่ง ไม่ว่ามองจากมุมไหนต้องเห็นภูเขาสักลูกแน่นอน และการได้เห็นดาวบนยอดเขาและตัวเมืองในมุมสูงมันสวยมาก เหมือนกับมองกลิตเตอร์ที่ระยิบระยับ
วันนั้นเราโชคดีไปเจอกลุ่มนักดาราศาสตร์กำลังอธิบายเกี่ยวกับดวงดาวและระบบสุริยะ กล้องดูดาวของเขาจริงจังมาก ลองจินตนาการตามว่าเหมือนมาจากองค์การนาซ่า เราและเพื่อนตื่นเต้นมาก จำได้ว่ายืนดูดาวฟังเขาอธิบายเป็นชั่วโมง สนุกมาก ถึงแม้ว่าฟังที่พี่ๆ เขาเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็ตาม อาจารย์ที่โรงเรียนเราบอกว่า “Summer in Seattle is the most beautiful.” ตอนที่ได้ยินครั้งแรกก็มีคำถามนะ จริงหรอ โม้หรือเปล่า ก็คงเหมือนกับที่อื่นๆ ละมั้ง แต่พอฤดูร้อนมาถึงจริงๆ มันสวยมาก นอกจากจะมีกิจกรรมเข้าป่าเดินขึ้นเขา ยังมีกิจกรรมทางน้ำ เราชอบทุกอย่างโดยเฉพาะกระดานคายัก (pandle boarding) พายเรือแคนนู เสียดายที่ยังไม่มีโอกาสลองล่องเรือใบเพราะต้องได้ใบอนุญาตก่อนถึงจะล่องเรือได้
ฤดูร้อนตอนกลางคืนก็สวยไม่แพ้กัน โดยเฉพาะมุมที่ถ่ายลงมาจากที่สูงอย่างที่ Space Needle เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้เลยก็ว่าได้
วันสุดท้ายที่เราอยู่ที่ซีแอตเทิลแล้วมองย้อนกลับไป จากเดิมที่ไม่อยากมาด้วยซ้ำกลายเป็นเมืองที่เรารักมากเมืองหนึ่ง อยากย้ายมาตั้งหลักปักฐานที่นี่ ไม่ใช่แค่ความชอบส่วนตัว ทุกคนรอบตัวเราก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ารักเมืองนี้ เมืองที่หลายคนบอกว่าฝนตก 300 วันต่อปี พอมาจริงๆ ฝนไม่ได้ตกขนาดนั้น และเป็นเมืองที่มีเสน่ห์มากกว่าที่เราคิด
ขอบคุณตัวเองที่วันนั้นตัดสินใจเลือกเมืองนี้ ทำให้มีโอกาสสัมผัสธรรมชาติ ซีแอตเทิลในมุมมองของเราเองนั้นก็ไม่รู้จะอธิบายว่าชอบแค่ไหนให้คนอื่นรู้สึกเหมือนกัน แต่สัญญาว่าจะกลับไปอีกแน่นอน
ใครอยากส่งเรื่องสถานที่น่าเที่ยวมาลงเว็บไซต์ a day online คลิกที่นี่เลย