Mount Gassan : เดินเข้าป่าหิมะกลางฝนพรำ ในเมืองที่หิมะตกหนักที่สุดในญี่ปุ่น

ทั้งที่กำลังเดินขึ้นรถไฟชินคันเซนไปเที่ยวแท้ๆ แต่สารภาพกันตรงนี้ว่าฉันไม่ค่อยสบายใจเอาซะเลย เพราะจุดหมายปลายทางของวันนี้คือการไปเดินเขาลุยหิมะด้วยรองเท้า snowshoe ที่ตีนเขากัสซัง ภูเขาใหญ่ในยามากาตะ จังหวัดทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น

อาจจะฟังดูน่าสนุก หากคุณเป็นคนที่ชอบกิจกรรมเอาต์ดอร์เป็นชีวิตจิตใจ แต่สำหรับฉันที่ใช้วันหยุดไปกับการเดินเลือกหนังสือในร้านใกล้บ้าน เหนื่อยหลังจากเดินขึ้นบันไดไม่กี่ชั้น และการออกกำลังกายเป็นแค่ New Year’s Resolution ที่ไม่มีวันประสบความสำเร็จแล้ว ฉันมองไม่เห็นภาพตัวเองไปเดินเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งเป็นภูเขาหิมะก็ยิ่งไปกันใหญ่

แถมมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าก็ดูขมุกขมัวมีทีท่าว่าฝนจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ

พูดกันตรงๆ ฉันไม่เห็นว่าตัวเองจะรอดจากการเดินเขาครั้งนี้ได้ยังไงกัน

ถึงอย่างนั้น การใช้เวลาบนรถไฟคันนี้ก็ทำให้ฉันลืมกังวลไปได้บ้าง เพราะชินคันเซน ‘โทเรยุ สึบาสะ’ (Toreiyu Tsubasa) คันนี้ไม่ได้มีดีแค่ความเร็วอย่างชินคันเซนทั่วๆ ไป แต่ยังอัดแน่นไปด้วยของดีของจังหวัดยามากาตะซึ่งเป็นปลายทาง

ตั้งแต่ที่ชานชาลาสถานีอุเอโนะในโตเกียว โทเรยุ สึบาสะกล่าวอรุณสวัสดิ์กับเราอย่างสดใสด้วยรูปผลไม้หลายชนิด ทั้งลูกแพร์ องุ่น เชอร์รี่ ที่ขึ้นชื่อในภูมิภาคนั้น และมีขนมเวเฟอร์สีพาสเทลรสนมและเชอร์รี่ให้เรากินระหว่างดูวิวนอกหน้าต่างเพลินๆ แต่ถ้ากินเวเฟอร์จนฝืดคอ (เช่นฉันเอง) บนรถไฟก็มีบาร์เครื่องดื่มให้ไปแวะได้ด้วย โดยมีทั้งน้ำผลไม้จากยามากาตะ ไปจนถึงเบียร์และสาเกที่ทำจากข้าวที่ปลูกในท้องที่ เป็นการแนะนำตัวจังหวัดที่น่ารักและชื่นใจไปพร้อมๆ กัน

ใกล้ๆ กันกับบาร์เครื่องดื่ม ยังมีตู้พิเศษอีกตู้ที่ทำให้ฉันแทบลืมไปว่าเรายังอยู่บนรถไฟ

แทนที่จะมีที่นั่งเหมือนตู้อื่นๆ ที่ตู้นี้ เก้าอี้และโต๊ะกลับถูกยกออกไป แทนที่ด้วยบ่อน้ำร้อนสีแดงสดให้คนทั้งขบวนได้แวะมานั่งเอาเท้าจุ่มน้ำและชมวิวนอกหน้าต่างที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุด ระหว่างนั้นฉันจึงได้เห็นรถไฟแล่นผ่านตึกรามบ้านช่องแถบชานเมือง ทุ่งหญ้าแห้งๆ ของฤดูหนาว แม่น้ำที่เงียบเหงา และภูเขาประปราย รู้ตัวอีกทีเราก็เข้าสู่เขตการปกครองของหิมะเรียบร้อยแล้ว

ข้อมูลที่หามาบอกว่าจังหวัดยามากาตะเป็นเขตที่มีหิมะตกหนาแน่นที่สุดในญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออก จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกอย่างนอกหน้าต่างจะเหมือนถูกห่มด้วยผ้านวมหนาๆ สีขาวไปซะหมด แม้แต่รางรถไฟของสถานียามากาตะที่เป็นปลายทางของเราก็ยังมีปุยหิมะทับอยู่เต็มราง

ความอึมครึมของท้องฟ้าทำให้อากาศที่หนาวอยู่แล้วเหมือนจะยิ่งหนาวเข้าไปอีก แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือเมื่อเดินพ้นหลังคาสถานีปุ๊บ ฉันก็พบว่าฝนเริ่มตกเปาะแปะลงมาแล้ว ความกังวลที่จะต้องไปเดินเขาลุยหิมะวนกลับมาอีกครั้ง ซ้ำเติมด้วยเม็ดฝนที่ทำให้ทุกอย่างเฉอะแฉะและลื่นไปหมด

ลำพังแค่พื้นห้างฉันยังเคยลื่นมาแล้ว นับประสาอะไรกับพื้นหิมะบนเขาที่เพิ่มเลเยอร์ความแฉะเข้าไปด้วย

ระหว่างทางนั่งรถบัสเข้าไปยังเนินยุมิฮะริไดระ (Yumiharidaira) ฉันคิดในใจขอให้ฝนหยุดตกอยู่ตลอดแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะเมื่อรถจอดที่ตีนเขากัสซังฝนก็ยังโปรยปรายลงมาต้อนรับอยู่ดี

หรือจะไม่ได้ขึ้น? ฉันคิดแล้วก็แอบเสียดายที่แม้จะไม่เอาอ่าวเรื่องกิจกรรมเอาต์ดอร์และกลัวเหนื่อยเป็นที่สุด แต่หากมาถึงแล้วไม่ได้ขึ้นไปก็รู้สึกไม่ค่อยดีอยู่ดี ปรากฏว่าคุณลุงที่จะพาเราขึ้นเขาเมินเฉยต่อสภาพอากาศ และข้ามขั้นไปสอนเราใส่รองเท้า snowshoe เพื่อเตรียมขึ้นเขาแทน

ถ้านึกภาพไม่ออก เจ้ารองเท้าหิมะนี้เป็นแผ่นพลาสติกแบนๆ สีฟ้าสด ติดแผ่นเหล็กแหลมเป็นซี่ไว้ข้างใต้เพื่อให้เราติดหนึบไปบนพื้นหิมะลื่นๆ ด้านบนมีสายไว้รัดรองเท้าเข้ากับแผ่นพลาสติก หลักการคือเราต้องวางเท้าลงไปบนรองเท้าหิมะ มัดด้วยสายรัดให้แน่นหนา และจับอุปกรณ์เสริมอย่างไม้สกีให้ถนัดมือ เท่านี้เราก็พร้อมสำหรับเดินลุยหิมะแล้ว

ทำเป็นพูดดีไปงั้น เอาเข้าจริงฉันก็ทุลักทุเลมัดรองเท้าเข้ากับแผ่นรองไม่ได้สักที เดี๋ยวหลวมเดี๋ยวหลุดอยู่นั่น จนกระทั่งคุณลุงเจ้าหน้าที่เข้ามาจัดการผูกให้ในที่สุด (ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว แต่คนอื่นๆ ที่จะไปเดินเขาด้วยกันก็ใส่รองเท้าไม่ได้กันเป็นแถว) เราถึงได้พร้อมออกเดินทางกันจริงๆ สักที

ฝนข้างนอกยังคงเปาะแปะไม่หยุด แต่คุณลุงก็ค่อยๆ พาเราเดินไต่จากพื้นถนนขึ้นไปตามทางลาดชันแบบสบายๆ ฉันหมายถึงลุงน่ะสบาย ส่วนฉันเดินไปก็ลื่นไปจนรุ่นพี่ที่ไปด้วยกันหันมาแนะว่าต้องย่ำเท้าแรงๆ ลงบนหิมะ เท้าเราจะได้เกาะพื้นมากขึ้น

พอยกเท้าซ้ายขึ้นปุ๊บ ย่ำตามคำบอกปั๊บ ขาของฉันก็จมลงไปในหิมะทันที

รุ่นพี่คนดีคนเดิมหัวเราะเยาะ บอกว่าแกต้องเหยียบตรงที่มีรอยเท้าของคนก่อนหน้าเพราะหิมะจะแน่นกว่ามาก แต่ถ้าเผลอไปเหยียบตรงที่หิมะเนียน ฟู ซึ่งเป็นหิมะตกใหม่ก็จะจมลงไปได้ง่ายๆ แบบที่ฉันโง่จมลงไปนั่นแหละ ส่วนคุณลุงผู้นำทางก็กำชับให้พวกเราเก็บมือถือใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย เพราะที่ผ่านมามีคนฝากมือถือไว้ในกองหิมะไปหลายเครื่องแล้ว จนไม่แน่ว่าใครที่ไปเดินป่าที่นี่ช่วงฤดูร้อนก็อาจเจอสมบัติเหล่านี้ก็ได้

เดินไปเดินมาฉันก็เริ่มจับจังหวะได้และสนุกกับการลัดเลาะไปบนหิมะมากขึ้น จะต้องระวังหน่อยก็แค่บริเวณโคนต้นไม้ซึ่งอุ่นเป็นพิเศษ หิมะตรงนั้นก็เลยอ่อนยวบยาบเสี่ยงต่อการที่เราจะหล่นพรวดลงไปเท่านั้นแหละ

หลังหยุดพักเหนื่อยและถ่ายรูปกรุบกริบ คุณลุงก็พาเราเดินลัดเลาะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนวิวรอบข้างที่เคยเป็นหลังคาบ้านเริ่มเปลี่ยนเป็นเนินปกคลุมด้วยหิมะ มีต้นไม้ใบโกร๋นยืนแห้งอยู่เป็นทิวแถว ไกด์ของเราบอกว่าต้นไม้เหล่านี้คือต้นบุนะที่จะเริ่มผลิใบอ่อนในช่วงฤดูใบไม้ผลิ พร้อมๆ กับที่ไม้ดอกนานาพันธุ์เริ่มออกดอกสะพรั่ง สลับสีเหลือง ชมพู แดง ม่วง ฟ้าไปทั้งเนิน ช่วงนั้นเองคือช่วงที่นักท่องเที่ยวจะเริ่มมาเดินเขา ยาวไปจนถึงช่วงฤดูร้อนนั่นแหละ

แต่ต้นเดือนมีนาคมที่เราไปเยือน ฤดูหนาวยังไม่ทันผ่านพ้นไป ส่วนฝนก็ยังตกไม่หยุด พอไต่ขึ้นมาถึงยอดเนิน รอบตัวของเราจึงโรยไปด้วยหมอกทึบ เหมือนอยู่ในหนังแฟนตาซีสักเรื่อง อย่างดินแดนนาร์เนีย หรือบนดาวดวงอื่น

รู้สึกตัวอีกที ฉันก็เดินเล่นบนนั้นเพลินซะจนลืมที่เคยหวั่นๆ กับกิจกรรมเอาต์ดอร์ จากที่คิดว่าจะเหนื่อยก็ไม่เหนื่อยสักนิด ส่วนฝนก็ไม่ได้สร้างปัญหามากไปกว่าทำให้หน้าม้าลีบติดหัว กลายเป็นว่าฉันสนุกกับการลุยหิมะเอามากๆ จนแอบเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไต่ลงไปข้างล่างด้วยซ้ำ

เสียดายอีกอย่างที่เมืองไทยก็ไม่มีหิมะให้ฉันกลับไปเดินลุยแบบนี้

แต่คิดอีกที ถ้าต้องกลับมาลุยที่นี่อีกสักครั้งจะเป็นไรไป

AUTHOR