หลังจากฉันไปเดินลุยหิมะที่เชิงเขากัสซังมาแล้ว ก็เหมือนสวรรค์จะเข้าใจ (ผิด) ว่าฉันชอบทำกิจกรรมเอาต์ดอร์กับเขาเหมือนกัน วันต่อๆ มาในยามากาตะ เบื้องบน (อันที่จริงคือรัฐบาลญี่ปุ่นที่ชวนเราไปเที่ยว) จึงประทานแต่กิจกรรมกลางแจ้งมาให้เราทั้งนั้น เช่นวันนี้ที่รถบัสพาเรามาหย่อนที่ท่าเรือริมแม่น้ำโมงามิ
1
วันนี้เราจะไปล่องเรือกัน
แม่น้ำโมงามิคือแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านเมืองยามากาตะทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ในอดีตที่ยังไม่มีถนนหนทางก็ได้แม่น้ำนี้แหละที่นำพาชีวิตชีวามาสู่เมืองหิมะอันหนาวเหน็บ ด้วยการทำหน้าที่เป็นทางสัญจรให้ชาวเมืองยามากาตะกระโดดขึ้นเรือแล่นลงไปติดต่อกับเมืองทางใต้ได้ ส่วนชาวเมืองทางใต้เองก็หอบเอาสินค้าขึ้นมาแลกเปลี่ยนได้สะดวกเช่นกัน หรือหากเคยดูซีรีส์ดรามาน้ำตานอง สงครามชีวิตโอชิน แม่น้ำที่ปรากฏในเรื่องก็คือแม่น้ำโมงามิสายนี้นี่เอง (ทำเสียงแบบคนพากย์ ทีวีแชมป์เปี้ยน)
เพราะไปถึงก่อนเวลาที่เรือจะออก พวกเราจึงเข้าไปหลบลมกันในร้านขายของที่ระลึกใกล้ๆ สารภาพว่าตอนแรกฉันก็นึกไม่ค่อยออกว่าร้านขายของที่ระลึกริมท่าน้ำจะมีอะไรมาขาย แต่พอก้าวเท้าเข้าไป ข้างในกลับเต็มไปด้วยสารพัดสินค้าของดีประจำจังหวัด เช่น สาเกหอมหวาน บ่มจากข้าวที่เติบโตในน้ำหิมะละลาย หรือขนมหลากชนิดทำจากเชอร์รีหวานฉ่ำและลูกแพร์กรุบกรอบ ผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัด
แต่ที่เราชอบมากคือจังหวัดยามากาตะลงทุนซื้อลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนดังๆ ของญี่ปุ่นมาทำของที่ระลึกคู่กับเชอร์รีที่พวกเขาภูมิใจ เราจึงได้เห็นพวงกุญแจรูปซุนโงคูเคี้ยวเชอร์รีกร้วมๆ พวงกุญแจน้องคิตตี้สวมหมวกเชอร์รีดูสดใส ตุ๊กตากระต่ายและผองเพื่อนยี่ห้อ Craftholic จับคู่กับลายเชอร์รีสีแดงสด และของกุ๊กกิ๊กอื่นๆ ที่ฉันเห็นแล้วอยากกวาดลงตะกร้าเสียให้หมด
อาจเป็นเพราะดวงยังไม่ตกในฤกษ์เสียเงิน ไกด์นำทัวร์จึงประกาศว่าถึงเวลาขึ้นเรือกันเสียที ฉันจึงจำใจโบกมือลาน้องๆ คอลเลกชั่นเชอร์รี และเดินไปขึ้นเรือที่จอดรออยู่ที่ท่าเรียบร้อยแล้ว
เรือที่เราจะนั่งวันนี้มีขนาดน้องๆ เรือแล่นชมแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงกลางเป็นห้องกระจกใสแจ๋ว มีโต๊ะ และเก้าอี้ยาวตลอดลำพร้อมกระติกน้ำชาให้เรานั่งจิบชมวิวสองข้างทางได้แบบไม่ต้องทนหนาวเลยสักนิด ท้ายเรือเป็นที่ประจำการของพี่คนขับเรือ ส่วนด้านหน้าเป็นที่ประจำตำแหน่งของพี่คนขับเรืออีกคนที่รับหน้าที่เป็นไกด์ของเราในวันนี้
มองไปมองมา พี่สาวคนที่นั่งบรรยายอยู่ด้านหน้าดันมีหน้าตาเหมือนคนในตั๋วไม่มีผิด
เมื่อมีคนจับสังเกตได้ ไกด์ประจำเรือจึงเฉลยว่าแต่ละคนที่ปรากฏอยู่บนตั๋วนั้นคือคนขับเรือประจำแม่น้ำโมงามินั่นเอง เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราว่าน่ารักไม่แพ้สินค้าเชอร์รีที่เราเพิ่งกรี๊ดสลบไปเมื่อกี๊เลย
เรือของเราค่อยๆ แล่นไปตามแม่น้ำด้วยความเร็วไม่มาก พอให้ได้อิ่มเอมกับวิวรอบตัว ชวนให้นึกถึงฉากจำจากซีรีส์ สงครามชีวิตโอชิน ตอนที่โอชินล่องแพไปตามสายน้ำ ท่ามกลางหิมะโปรยปรายจนสองฝั่งแม่น้ำถูกย้อมให้กลายเป็นสีขาวโพลนไปทั้งหมด ย้อนไปตอนที่นั่งดูฉากนี้ ฉันแทบสัมผัสได้ถึงลมหนาวกรีดแทงแม้จะแค่นั่งอยู่หน้าจอทีวีก็ตาม แต่โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งมีปุยเมฆขาวเป็นหย่อมๆ ลมหนาวที่พัดมาจึงไม่โหดร้ายทารุณมากนัก เราจึงเปิดกระจกยื่นหน้าออกไปสูดอากาศและชมดูสองข้างทางกันได้เต็มๆ
แม้อากาศจะไม่หนาวเท่าในซีรีส์ แต่ริมตลิ่งสองข้างทางก็ยังเต็มไปด้วยหิมะหนาสลับกับต้นไม้เป็นทิวแถว มองไปด้านซ้ายเป็นถนนที่นานๆ จะมีรถผ่านมาสักคัน ส่วนด้านขวา ไกด์สาวบอกว่าสมัยก่อนเคยมีคนอาศัยอยู่เยอะ จนกระทั่งมีการตัดถนนทางด้านซ้ายมือ เมืองจึงค่อยๆ เติบโตไปทางฝั่งนั้นแทน
เล่าจบ เธอก็ร้องเพลงพื้นบ้านสั้นๆ แต่อบอุ่นให้เราฟัง เนื้อหาเป็นคำห่วงหาของชายชาวญี่ปุ่นที่ออกเดินทางด้วยเรือและสั่งเสียลูกเมียที่บ้านให้ดูแลตัวเอง เมโลดี้แบบโบราณและลูกคอของเธอเหมือนจะพาเราย้อนกลับไปยังวันวานที่แม่น้ำโมงามิยังคึกคักด้วยเรือลำน้อยใหญ่ที่บรรจุความฝันและอนาคตที่ดีกว่าของพวกเขาเอาไว้
รู้ตัวอีกที เรือก็แล่นมาถึงท่าเรือสุดท้ายพร้อมกับบทเพลงที่จบลง แต่วันนี้ของเรายังไม่จบเพราะเป้าหมายต่อไปของวันนี้คือกิจกรรมเอาต์ดอร์อย่างแท้จริง
เราจะไปเดินป่าตามหาเจดีย์ห้าชั้นอันศักดิ์สิทธิ์กัน
2
ระหว่างนั่งรถบัสไปยังเขาฮากุโระ ไกด์ของเราอธิบายว่าเขาฮากุโระ (Mount Haguro) คือหนึ่งในสามภูเขาที่สูงที่สุดในยามากาตะ แต่ถ้าพูดกันบนพื้นฐานของความเชื่อ ภูเขาสูงสามลูกที่นี่ถือเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกกันว่า Three Mountains of Dewa มีดีกรีความศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ดินแดนแถวนี้ยังเป็นจังหวัดที่เรียกว่าเดวะ (Dewa) ก่อนจะแตกออกเป็นจังหวัดย่อยๆ อื่นอย่างยามากาตะเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา
เพราะเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ ปีบรรดานักแสวงบุญจึงพากันสวมชุดขาวบริสุทธิ์ เดินทางเข้ามาสักการะทวยเทพที่เขาสามลูกนี้เป็นประจำ วิธีการคือพวกเขาจะเดินจากเชิงเขาขึ้นไปสักการะที่วัดบนยอดเขา โดยเชื่อกันว่าหากมีขาที่แข็งแรงขนาดเดินขึ้นไปถึงยอดได้ละก็ เมื่อตายไปจะได้รับรางวัลเป็นบัตรผ่านพิเศษให้ลัดคิวขึ้นสวรรค์ไปเลย ส่วนถ้าแค่มาเดินเก็บแต้มบุญเฉยๆ ก็เชื่อว่าเมื่อตายแล้วจะได้กลับมาเกิดใหม่ (บ้างก็ว่าความเชื่อนี้มาจากการเข้าไปเดินป่าที่หนักหนาสาหัสจนเหมือนตาย พอกลับออกมาได้ก็เลยนับว่าเป็นการเกิดใหม่นั่นเอง)
สำหรับเราวันนี้ การขึ้นสวรรค์อาจเป็นเรื่องที่ขอมากเกินไป เอาแค่ตายแล้วได้เกิดใหม่ก็น่าจะพอ
เมื่อไปถึงที่ทำการของเขาฮากุโระ ขั้นตอนแรกที่เราต้องทำก่อนเข้าป่าคือเราต้องเลือกไอเทมสำหรับการเอาตัวรอดก่อน เริ่มจากการเปลี่ยนรองเท้าไปสวมบูตยางที่ขนาดพอเหมาะพอเจาะกับขนาดเท้าของตัวเอง (ของผู้หญิงสีแดง ของผู้ชายสีน้ำเงิน พอวางเรียงกันแล้วน่ารักสุดๆ) และเลือกไม้ค้ำที่ไซส์พอดีตัว ไม่ยาวไม่สั้นเกินไป เพื่อช่วยพยุงตัวไม่ให้เราล้มหน้าคว่ำทิ่มกองหิมะ เมื่อเลือกจนพอใจ แวะเข้าห้องนำ้ให้เรียบร้อย เราก็พร้อมเข้าป่าแล้ว
เป้าหมายของเราในวันนี้คือเจดีย์ห้าชั้นสำหรับสักการะเทพเจ้า แต่แค่ยังเดินไปไม่ถึงอาณาเขตป่าด้วยซ้ำ ฉันก็พอรู้ว่าที่นี่คือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพราะซุ้มทางเข้าของที่นี่เป็นซุ้มใหญ่โตสีแดงหน้าตาเหมือนศาลเจ้าไม่มีผิด ทั้งสองฝั่งประตูยังมีรูปปั้นซามูไรตั้งอยู่เหมือนๆ จะช่วยเรียกความฮึกเหิมให้การเดินป่าได้เป็นอย่างดี
ทันทีที่ก้าวเท้าพ้นซุ้มประตูเข้าไป ฉันก็เข้าใจทันทีว่าการเรียกความฮึกเหิมเมื่อตะกี๊นั้นทำไปทำไม
ภาพตรงหน้าที่เห็นคือบันไดหินที่ทอดยาวลงสู่ผืนป่าด้านล่าง หน้าตาคล้ายกับบันไดทางขึ้นวัดดังๆ บนภูเขาของไทยเหมือนกัน เพียงแต่ที่นี่ ขั้นบันไดแต่ละขั้นถูกฉาบไว้ด้วยเกล็ดหิมะที่พร้อมจะผลักให้คุณลื่นไถลได้ตลอดเวลา วิธีการที่คุณลุงคนนำทางแนะนำคือให้เอาไม้เท้าปลายแหลมๆ ที่เราถือมานั่นแหละจิ้มลงไปที่กองหิมะหนาๆ ด้านข้าง ค่อยๆ กระดึ้บลงไป และระวังอย่าไปเหยียบพื้นตรงที่มีน้ำแข็งเกาะจะดีที่สุด
หลังจากกระดึ๊บๆ กันมาจนสุดขั้นบันได เราก็เจอผืนป่าด้านล่างที่ถูกห่มด้วยหิมะจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่ซุ้มไม้ที่คนมาสร้างไว้เพื่อสักการะเทพเจ้ารายทางกลับไม่ถูกฝังไปด้วย อาจเพราะความศรัทธาที่ทำให้คนเดินทางเข้ามาในป่าแล้วปัดกวาดอยู่เรื่อยๆ ก็ได้
ยิ่งเดินลึกเข้าไปในป่า อากาศก็ยิ่งเย็นยะเยือกลงเรื่อยๆ จนฉันต้องหยิบถุงมือออกมาใส่ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเดินไปได้สักพักเราก็หยุดแวะถ่ายรูปกันอีกแล้ว เป็นแบบนี้จนคุณลุงไกด์แอบบอกว่าให้เราจ้ำนิดหนึ่งจะได้ถึงเจดีย์กันเสียที
แต่เดินได้ไม่เท่าไหร่ คุณลุงก็เป็นคนหยุดเดินซะเองแล้วชี้ให้เราดูต้นสนต้นใหญ่ริมทางซึ่งยืนต้นคู่เขาฮากุโระมากว่าพันปีจนคนตั้งชื่อให้ว่า ‘ต้นสนคุณปู่’ ตามความเก่าแก่ คุณลุงเล่าว่าเมื่อก่อนต้นสนคุณปู่เคยมีต้นสนคุณย่าอยู่เคียงข้าง แต่กาลเวลาผ่านไป ต้นสนคุณย่าก็ล้มป่วยและตายไปเหลือแค่คุณปู่เฝ้าเพียงต้นเดียว
หลังจากขอให้คุณปู่มีสุขภาพดีและบอกลากันเรียบร้อย เดินอีกไม่ไกล (แต่เดินนานเพราะเราแอบแวะพักอีกหลายจุด) ก็ถึงเจดีย์ห้าชั้น และฉันก็เข้าใจทันทีว่าทำไมคุณลุงถึงอยากให้เราเดินมาถึงเร็วๆ
เพราะเจดีย์ไม้ขนาดใหญ่นี้ตั้งโดดๆ กลางป่าสนแบบไม่มีสิ่งปลูกสร้างอื่นใกล้ๆ มาบังรัศมี แดดยามบ่ายส่องลอดทิวสนเข้ามากระทบดูเปล่งประกาย จนฉันเข้าใจว่าถ้ามีที่สักแห่งที่เทพเจ้าแห่งป่าจะอยากสถิตอยู่ เจดีย์แห่งนี้ก็คงเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน ส่วนนักแสวงบุญที่เดินมาเหนื่อยๆ แค่ได้หยุดสักการะเบื้องบน ดูความยิ่งใหญ่ และดื่มด่ำความเงียบของป่า ก็น่าจะพอให้มีแรงเดินต่อขึ้นไปยังยอดเขาแล้ว
น่าเสียดายที่วันนี้เราไม่มีโอกาสได้เดินขึ้นเขากันต่อ แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกว่าได้เข้าใกล้ความสงบขึ้นมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะขากลับที่สวรรค์เป็นใจให้แบตกล้องหมด ฉันจึงได้ใช้เวลาอยู่กับการก้าวเดิน แวะดูต้นไม้ข้างทาง และสนทนากับป่าแบบลึกซึ้งกว่าตอนเดินเข้ามา
ที่ซุ้มใหญ่ตรงปากทาง คุณลุงพาเราไหว้เทพเจ้าในป่าเป็นครั้งสุดท้าย เป็นการขอบคุณที่ทำให้เราอยู่รอดปลอดภัย ส่วนฉันแอบขอบคุณในใจที่เทพเจ้ามอบป่าที่สวยงามและสงบขนาดนี้ให้ฉันได้มาสัมผัส
แต่ถ้ามีคราวหน้า ถ้าเทพเจ้ามอบแบตเตอรี่กล้องให้ฉันอีกสักครึ่งขีดก็คงจะดีนะ 🙂