ฤดูหนาว
ผมพบกับคามากูระครั้งแรกในฤดูหนาว
ภาพยนตร์ Our Little Sister เพราะเราพี่น้องกัน (2015) ของผู้กำกับ Hirokazu Kore-eda ซึ่งดัดแปลงมาจากมังงะเรื่อง Umimachi Diary ของนักเขียน Akimi Yoshida คือแม่สื่อที่ชักพาเรามาพบกัน
ภาพยนตร์ที่ว่าเล่าเรื่องพี่น้องสามสาวที่ตัดสินใจรับน้องสาวต่างแม่มาอยู่ร่วมบ้าน นำไปสู่เรื่องราวอบอุ่นที่เล่าประเด็นเรื่องครอบครัวได้อย่างเรียบง่ายและสวยงาม โดยมีเมืองคามากูระเป็นฉากหลังอันเขียวขจีและเงียบสงบ
นอกจากความสวยงามของธรรมชาติ คามากูระใน Our Little Sister ยังดูพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่น แถมความสัมพันธ์ของผู้คนในเรื่องยังอบอุ่นเสมือนเป็นครอบครัวมากกว่าจะเป็นแค่เพื่อนบ้านกัน ผมจึงอยากลองมาใช้ชีวิต 1 วัน ณ เมืองนี้ว่าจะเหมือนกับที่สัมผัสได้จากในหนังหรือไม่
คามากูระเป็นเมืองเก่าในจังหวัดคานางาวะ อยู่ห่างจากโตเกียวประมาณ 1 ชั่วโมงด้วยการนั่งรถไฟ JR สาย Yokosuka Line มาลงที่สถานี Kamakura แม้จะเป็นฤดูหนาวที่มีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก แต่เมื่อมาถึงผมก็รีบไปจุดเช็กพอยต์แรกอย่าง Tsurugaoka Hachimangu ศาลเจ้าชื่อดังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองคามากูระ เพื่อหลีกหนีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ๆ รวมทั้งจะได้เริ่มต้นตามรอยสถานที่ต่างๆ แต่เช้าตรู่
ผมนั่งรถราง Enoden เพื่อเดินทางไปลงที่สถานี Kamakura Kokomae ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่บนหน้าปกของหนังสือมังงะเล่มแรกและเล่มที่เจ็ด (แต่จริงๆ ที่นี่ยังโด่งดังในฐานะฉากเปิดแอนิเมะในตำนานอย่าง Slam Dunk จึงมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยมารอถ่ายภาพจังหวะที่รถรางแล่นผ่าน)
ผมเดินข้ามถนนเพื่อไปตามหาบันไดที่น้องคนสุดท้องไปยืนบนหน้าปกหนังสือมังงะเล่มที่ 5 โชคไม่ดีที่ตอนนั้นมีการก่อสร้างอยู่พอดี จึงได้แค่เดินอยู่ด้านบนเท่านั้น ไม่สามารถลงไปชายหาดจากตรงนั้นได้
ช่วงเที่ยงวัน ผมเดินทางไปอีกหนึ่งสถานีที่มีชื่อเสียงอย่าง Gokurakuji ที่น้องสาวคนสุดท้องต้องวิ่งมาขึ้นรถไฟไปโรงเรียนเป็นประจำ รวมถึงเป็นสถานที่ที่ตัวละครมีบทสนทนาในหลายๆ โอกาสอีกด้วย
นอกเหนือจากนั้นแล้ว ถ้าเดินออกมาจากสถานีแล้วเลี้ยวออกมาทางซ้ายจะพบกับถนนที่ขึ้นไปตามเนินเขา ซึ่งจุดนี้คือสถานที่จากหน้าปกมังงะเล่มที่ 3 เป็นอีกมุมหนึ่งที่น่ามาเยือน
หลังจากนั้นเราได้กลับมาเดินริมชายหาดอีกครั้งเพื่อตามหาบันไดที่ Sachi Kôda มานั่งคุยกับแฟนหนุ่มในเรื่อง เป็นการปรับทุกข์เรื่องความสัมพันธ์ของสองตัวละครที่ดูเรียบง่าย แต่ข้อความที่สื่อออกมานั้นชัดเจนเสียเหลือเกิน เป็นอีกหนึ่งฉากประทับใจที่ผมหมายมั่นว่าถ้ามาคามากูระต้องมานั่งตรงจุดนี้ให้ได้ ถึงแม้จะหาจุดที่ทั้งสองนั่งในหนังไม่เจอ แต่บันไดจุดนี้ก็มีความคล้ายคลึงกันมาก
ผมใช้เวลาที่เหลือช่วงเย็นเฝ้าดูผู้คนตามริมชายหาด ส่วนใหญ่เป็นคู่รักหนุ่มสาวและครอบครัวที่มาเดินเล่น ชมวิว และปล่อยใจไปกลับคลื่นลมทะเล มีบ้างที่มาเล่นเซิร์ฟบอร์ด บรรยากาศในโมเมนต์นั้นดีเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด ลมเย็นๆ จากท้องทะเลผสมกับแสงแดดก่อนพระอาทิตย์ตกล้วนส่งให้ความทรงจำที่ผมมีต่อเมืองแห่งนี้ดียิ่งขึ้นไปอีก
แต่ยังมีบางสถานที่ที่ติดค้างอยู่ในใจ ผมสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะกลับมาคามากูระอีกครั้งให้ได้
ฤดูร้อน
สองปีถัดมาผมกลับมาพบคามากูระอีกครั้งในฤดูร้อน
แน่นอนการกลับมาคราวนี้มีพื้นฐานมาจากความประทับใจใน Our Little Sister เพิ่มเติมด้วยความสงบของคามากูระในฤดูหนาว ซึ่งก่อให้เกิดภาพประทับสวยงามในใจมากกว่าเมืองอื่นๆ ที่เคยไปมา คามากูระจึงเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายหลักในการมาเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูร้อนที่แดดแผดเผาตลอดช่วงกลางวันเช่นนี้
สิ่งที่แตกต่างไปอย่างชัดเจนจากคราวก่อนคือจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว รถไฟขบวนที่นั่งไปคามากูระหนาแหน่นไปด้วยผู้คนในชุดสบายๆ และท่าทีสบายๆ สมกับการมาเที่ยวพักผ่อน
จุดมุ่งหมายของผมคราวนี้คือการกลับมาเยี่ยมเยียนสถานที่ต่างๆ ที่ประทับใจในคราวที่แล้ว และไปเก็บสถานที่ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไป ผมเริ่มต้นเหมือนเดิมที่สถานี Kamakura Kokomae แล้วใช้เวลาเดินเท้าไปตามริมชายหาด เสพบรรยากาศของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา
ในฤดูร้อนสังเกตได้ว่ามีคนมาเล่นเซิร์ฟบอร์ดเยอะขึ้น และผู้คนต่างวัยก็ออกมารับแสงแดดริมทะเลกันมากขึ้น แตกต่างจากครั้งที่แล้วที่ส่วนใหญ่จะเป็นคู่หนุ่มสาวและครอบครัวมากกว่า
ผมกลับไปสถานี Gokurakuji อีกครั้ง คราวนี้ได้ไปดูตรงที่รถไฟลอดออกมาจากอุโมงค์ รวมทั้งได้เก็บภาพบริเวณที่นั่งรอรถรางในสถานีซึ่งเป็นจุดที่ตัวละครน้องสาว Suzu Hirose และเพื่อนชายมานั่งคุยกันก่อนไปงานดอกไม้ไฟ นับเป็นการแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่ทำให้สัมผัสได้ถึงมิตรภาพอันงดงามของทั้งคู่
ผมปิดท้ายทริปด้วยการนั่งเล่นริมทะเลเช่นเคย ชายหาดครึกครื้นไปด้วยผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่ออกมาเล่นน้ำทะเล เป็นบรรยากาศที่สามารถพบเจอได้แค่ในฤดูร้อนจริงๆ
ผมเดินเลียบชายหาดเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อไปรอชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Inamuragasaki Kaihin Koen ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานี Inamuragasaki ว่ากันว่าในวันท้องฟ้าโปร่งเราจะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้เลยทีเดียว แม้วันนั้นโชคอาจจะไม่เข้าข้าง ท้องฟ้ามีเมฆมากพอสมควรจึงเห็นภูเขาได้เพียงแค่เบาบางเท่านั้น แต่สำหรับผม โมเมนต์นั้นมีความหมายมากพอแล้ว การได้มายืนให้ลมทะเลตีหน้าอีกครั้งที่คามากูระถือเป็นความทรงจำสุดพิเศษ
ตอนแรกผมแค่อยากมาตามรอยหนังเหมือนหนังเรื่องอื่นๆ ไม่ได้มีความผูกพันเป็นพิเศษ แต่กับคามากูระนั้นแตกต่างออกไป
Umimachi Diary พาผมมาทำความรู้จักกับเมืองคามากูระอย่างแท้จริง แม้จะใช้เวลาอยู่ที่นี่เพียงแค่ 2 วัน แต่ความประทับใจนั้นล้นเหลือ เมื่อผมนึกถึงเมืองแห่งนี้ ผมนึกถึงความสุข ความสงบ และผู้คนที่มีโอกาสสนทนาด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณลุงที่เคยทำงานที่ห้าง Tokyu ในกรุงเทพฯ ไปจนถึงคนขายของเก่าที่สถานี Gokurakuji คามากูระไม่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นคนนอกหรือคนต่างถิ่นที่มาเยี่ยมชมเมืองเลย มันจึงกลายเป็นอีกสถานที่ที่ผมอยากกลับไปอีกถ้ามีโอกาสได้มาเยือนประเทศญี่ปุ่น นับเป็นอีกหนึ่งหน้าของไดอารี่ชีวิตที่ล้ำค่าและมีความสุขทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป
และก็เหมือนกับฉากสุดท้ายของภาพยนตร์ เรื่องราวในไดอารี่หน้านี้ของผมสิ้นสุดลงพร้อมพระอาทิตย์ที่ตกลงสู่ท้องทะเลข้างหน้า สมกับชื่อเรื่องเวอร์ชั่นมังงะ Umimachi Diary ที่แปลว่า ‘ไดอารี่ริมทะเล’ จริงๆ ครับ