วันหยุดหนึ่งอาทิตย์ในสเปนครั้งนี้ เป้าหมายหลักของเราคือการไปเยือน La Muralla Roja หรือ The Red Wall สถาปัตยกรรมสีสันสดใสในเมืองคาลป์ ที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาหินติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดดเด่นด้วยสีชมพูพาสเทลและสีแดง ขัดแย้งกับภูมิทัศน์โดยรอบอย่างชัดเจน
มูรายา โรฮา เป็นพื้นที่บ้านพักอาศัยส่วนบุคคล จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะมีโอกาสได้เข้าไปที่นั่น อาจจะโชคดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่อย่างน้อยมีห้องพัก 2 ห้องจาก 50 ห้องปล่อยให้เช่า แต่เงื่อนไขคือต้องพักอย่างน้อย 5 คืน จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับนักเรียนรายได้น้อยอย่างเรา
แผนแรกเลยเป็นการเดินทางไปด้วยความหวังว่าจะมีคนใจดี อนุญาตให้เข้าไปในอาคารเพียงแค่ 5-10 นาทีก็ยอม ถึงจะฟังดูไม่คุ้มกับเวลาเดินทางไป-กลับจากบาเลนเซียถึงคาลป์ 4 ชั่วโมง แต่ก็อยากลองเสี่ยงดู เราคิดแค่ว่าอย่างน้อยถ้าไม่มีโอกาสได้เข้าไปในอาคาร ก็จะใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับเมืองท่าแห่งนี้ให้มากขึ้น การเดินชมเมืองคาลป์แทนคงไม่ทำให้ผิดหวัง
ส่วนแผนสองคือ ทำแผนแรกให้ดีที่สุด
เราเดินทางมาถึงคาลป์ประมาณเที่ยงและมุ่งตรงไปที่มูรายา โรฮาทันที และก็เป็นอย่างที่คาดไว้ อาคารมีรั้วรอบขอบชิดและมีป้ายติดไว้ชัดเจนว่าห้ามบุกรุก มีทั้งโทษปรับและโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี นี่คงเป็นวิธีการรับมือกับคนนอกที่ถูกดึงดูดให้มาที่นี่ พื้นที่รอบๆ อาคารเป็นอพาร์ตเมนต์และบ้านพักทั้งหมด เราสัมผัสได้ทันทีว่าเป็นพื้นที่นี้เหมาะสำหรับเป็นบ้านพักตากอากาศมาก จึงไม่แปลกที่ประชากรส่วนใหญ่ของมูรายา โรฮาจะไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่กลับเป็นคนอังกฤษและคนเยอรมันที่เลือกมาใช้ชีวิตหลังเกษียณที่นี่
เสียงเดียวที่เราได้ยินชัดเจนคือเสียงคลื่นซัดชายหาดหิน เราตัดสินใจเดินรอบๆ และนั่งรออยู่พักใหญ่ จนมีคนขับรถเข้ามา แต่โชคร้ายที่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เพราะคุณป้าเป็นชาวเยอรมันที่ไม่พูดทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสเปน เลยตัดสินใจนั่งรอต่ออีกครึ่งชั่วโมง ถ้าไม่มีท่าทีว่าจะได้เข้าไป เราจะตัดใจไปเดินเล่นริมชายหาดแทน
แต่โชคก็เข้าข้างเรา เมื่อมีคนงานที่กำลังขนของเข้าไปในอาคารเปิดอ้าประตูรั้วไว้ เราจึงรอเพื่อขออนุญาตคนงานเพราะดูเหมือนจะเป็นไปได้มากกว่าที่จะขอคนที่พักในนั้น และมันก็ได้ผลจริงๆ เมื่อเขาอนุญาตอย่างง่ายดาย เราก็แอบแปลกใจเพราะเท่าที่หาข้อมูลมา แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนนอกจะได้เข้าไปในพื้นที่นี้
วินาทีแรกที่เราเดินเข้าไปในคอร์ตกลางอาคารยังแทบไม่อยากเชื่อว่าได้เข้ามาจริงๆ ด้วยความที่ยังเกรงและเกร็ง เราจึงไม่กล้าหยิบกล้องออกมาในตอนแรก ยืนงงๆ อยู่ 2-3 นาที เลยตัดสินใจเดินขึ้นบันไดเพื่อจะไปยังพื้นที่ดาดฟ้าส่วนกลางของตึก ด้วยการออกแบบบันไดที่สอดประสานกันบวกความประหม่า ทำให้เราเดินหลงวนอยู่ซักพัก แบบแปลนและพื้นที่ส่วนต่างๆ ของอาคารถูกออกแบบเป็นรูปทรงเรขาคณิตตามแบบกรีก เรียกได้ว่าเลียนแบบเขาวงกตมาเลย บันไดที่สอดประสานกันภายในคอร์ตกลางอาคารถูกใช้เป็นโถงต้อนรับก่อนจะเข้าถึงห้องพัก พื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ส่วนกลางสอดประสานกันอย่างลงตัว การจัดองค์ประกอบและการเจาะช่องกำแพงไล่ระดับสูงต่ำนี้เป็นเหมือนกรอบรูปสีสันสดใสที่บรรจุรูปทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองคาลป์ และสัดส่วนของสีที่ใช้ในส่วนต่างๆ ของอาคาร ยิ่งเสริมให้อาคารดูเหมือนภาพวาดสีสดที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่พบเห็น
ถ้ามีการโหวตสถานที่ที่เหมาะสำหรับเล่นซ่อนแอบ เราเชื่อว่าที่นี่ต้องติดหนึ่งในสามแน่นอน
ย้อนไปในอดีต มีการสร้างกำแพงรอบเมืองคาลป์ขึ้นมากมายเพื่อป้องกันโจรสลัด สถาปนิกจึงใช้สิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบอาคารให้สูงชะลูดคล้ายกำแพงและป้อมปราการ ทั้งยังมีหน้าต่างค่อนข้างน้อยตามแบบฉบับดั้งเดิมของอาคารในแถบอาหรับ เมดิเตอร์เรเนียน หรือสถาปัตยกรรมแบบ Casbah ด้วยรูปทรงและสีของอาคารนี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อกำแพงสีแดงแห่งนี้
Ricardo Bofill สถาปนิกชาวสเปนที่เก่งกาจเรื่องการใช้สีสำหรับโครงสร้างที่ซับซ้อนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ทัศนียภาพทั้งภายนอกและภายในอาคารถูกแต่งแต้มด้วยสีต่างๆ ผสมผสานกันอย่างลงตัว คอร์ตกลางภายในอาคารมีสีที่แตกต่างทำให้ง่ายต่อการจดจำและการใช้งาน นอกจากสีสัน อาคารนี้ยังแสดงถึงความสัมพันธ์ที่สวยงามระหว่างบันได พื้นที่ดาดฟ้า และสะพานหรือทางเดินในส่วนต่างๆ พื้นที่ส่วนกลางยังมองเห็นภาพมุมสูงของวิวทะเลและวิวภูเขารอบๆ ได้อย่างชัดเจน และว่ากันว่าภายในห้องพักเองก็สามารถมองเห็นวิวได้ทุกห้องเช่นกัน
เราเดินถ่ายรูปภายในอาคารให้เงียบพอๆ กับบรรยากาศรอบๆ ถึงเราจะได้รับอนุญาต (จากคนงาน) แล้ว ลึกๆ เราก็รู้ว่ายังเสี่ยงกับข้อหาบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลอยู่ดี เราเลยเลือกที่จะใช้ข้อดีของอาคารเขาวงกต พยายามไม่เผชิญหน้ากับคนที่อยู่ในอาคาร
มูรายา โรฮาเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหลายปีมานี้ เนื่องจากถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับถ่ายแฟชั่น โฆษณา มิวสิกวิดีโอ และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ความซับซ้อนที่สวยงามของสถานที่แห่งนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเกม Monument Valley ที่หลายๆ คนรู้จักอีกด้วย
เมื่อเราหยุดวิญญาณความเป็นสถาปนิกไว้ไม่ได้ รู้ตัวอีกทีจากที่ตั้งใจจะอยู่ที่นี่แค่ 5 นาทีก็กลายเป็น 2 ชั่วโมงกว่า จึงคิดว่าได้เวลาที่เราต้องออกจากที่นี่แล้ว โชคดีที่เราออกมาจากอาคารได้อย่างราบรื่น เมื่อเดินห่างออกมาจากอาคาร ภาพที่เห็นก็ยังคงทำให้ประทับใจ กำแพงแดงที่ตั้งสูงตระหง่านบนหน้าผาหินโดดเด่นมากพอที่จะทำให้อพาร์ตเมนต์ที่ควรเป็นแค่ที่พักธรรมดาๆ แห่งนี้ ยังคงดึงดูดผู้คนมากมายจากทั่วทุกมุมโลกตั้งแต่ปี 1974 เรื่อยมา