Kandersteg : เมืองเล็กของสวิตฯ ที่มีวิวสวยเหมือนในโปสการ์ด

“พี่
วัดไทยในสวิตฯ นี่มีที่ไหนบ้างพี่พอรู้จักไหม”

“ก็มีหลายที่นะ
แต่ที่พี่เคยไปคือ Kandersteg”

“ที่ไหนอีกเนี่ย”

และแล้วด้วยความใจบุญเราก็หอบร่างตัวเองไปที่เมือง
Kandersteg ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มีอะไรบ้าง
รู้แค่ว่าจะไปไหว้พระแต่ก็ลืมไปหมดเมื่อขาเหยียบลงที่สถานีรถไฟ Kandersteg ก่อนที่เราจะไปเรื่องอื่นก็ต้องอธิบายอย่างสั้นว่าเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในเขตของเบิร์นอีกที
ชื่อเสียงของเมืองนี้ก็คือมี Lake Oeschinensee ปีนเขา หรือเล่นสกีสำหรับฤดูหนาวได้

เนื่องจากความตั้งใจแรกคือมาหาวัดไทย ฉันและเพื่อนผู้ซึ่งไม่ทำรีเสิร์ชอะไรเลยแถมเน็ตก็ยังมาหมดตอนที่ถึงจนทำให้โทรหารุ่นพี่ที่แนะนำวัดให้เราสองคนไม่ได้
เราสองคนก็เลยเดินแบบงงๆ ไปที่ห้องขายตั๋วเพื่อถามและเป็นที่แน่นอนว่าที่พนักงานขายตั๋วนั้นพูดภาษาเยอรมันใส่เราสองคนแถมชี้ไปยังโปสเตอร์ข้างๆ
พร้อมกับทำหน้าทำตาว่าพวกหนูจะไปที่นี่หรอลูก

“โห ทะเลสาบนี่”

“ไปมะ”

“ไหนแกบอกจะมาวัดไง”

“ก็ลองไปเที่ยวดูมั้ย เสร็จก็ลงไปวัด”

หรือว่าวัดจะอยู่บนโน้น”

จริงๆ ก็อยากไปวัด แต่ฉันกับเพื่อนก็คิดว่าไหนๆ
มาแล้วทำไมไม่ลองดูข้างบนหน่อยว่าทะเลสาบข้างบนเป็นยังไง ในขณะที่คิด เราสองคนยังเดินวนในสถานี
แต่พอก้าวเท้าออกมาแล้ว เราถึงกับไปกันไม่ถูก
วิวข้างหน้าทำให้ฉันรู้สึกล้มทั้งยืนเพราะตกใจมากว่า นี่คือของจริงหรอ ทำไมสวยแบบนี้
โอ้โห ข้างหน้าฉันคือต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ใบไม้กำลังร่วงหล่น เพราะเป็นฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ทั้งต้นเลยเป็นสีเหลือง
มองทะลุใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นลงมาคือภูเขาขนาดยักษ์ ท้องฟ้าสีฟ้าเข้มจัด
ตัดด้วยสีเหลืองของใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นตามแรงลมแถมมีฉากหลังเป็นภูเขาหินสวยๆ อีก
ภาพข้างหน้าอย่างกับโปสการ์ดขนาดนี้ เราสองคนถึงกับทำอะไรไม่ถูกได้แต่อ้าปากแล้วก็บอกว่า
โอ้โห กับ สวยมาก สลับกันไป

ฉันกับเพื่อนเดินตามทางแบบงงๆ ตามป้ายที่ชี้ไป
พร้อมกับมีรูปทะเลสาบ เดินไปสักพักก็เจอกับกระเช้ากระจกที่ค่าตั๋วไปกลับแค่ 13 สวิสฟรังก์เท่านั้น แถมใช้บัตรนักเรียนได้ลดครึ่งราคาอีก
สรุปรวมๆ เลยก็คือไปกลับก็ประมาณ 200 บาท ใช้เวลาสิบกว่านาที เราก็ถึงข้างบนที่มีแต่ภูเขา
เราสองคนเดินตามเข้าไปในถนนเล็กๆ ฉันก็กรี๊ดจนคนต้องหันมามองอีกรอบ จะพูดไปมันก็ดูเหมือนเว่อร์เอามากๆ
กับการแสดงอาการโอ้โห อื้อหือกันอย่างตลอดเวลา แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อของจริงมันสวยขนาดนี้

ฉันเดินเข้ามาในถนนเส้นเล็กสักพักก็เจอกับทะเลสาบขนาดย่อมที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหินขนาดใหญ่
ทะเลสาบนั้นรายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี บ้างก็เป็นสีเหลือง บ้างก็เป็นสีส้ม
แม้ว่าอุณหภูมิจะเกือบหนึ่งองศาแต่ฉันก็ตัดสินใจซื้อไอศครีมไปนั่งกินริมทะเลสาบแบบคนอื่น
ไอศครีมกับครีมนุ่มๆ ที่ราดมา มองไปรอบๆ วิวก็สวยจนอยากจะนั่งตรงนี้ไปเรื่อยๆ
ระหว่างที่นั่งก็มีใครสักคนเล่นแซ็กโซโฟนขึ้นมา จากวันนั้นจนถึงวันนี้ฉันก็อยากขอบคุณบุคคลที่เล่นแซ็กโซโฟนผู้นั้น
เพลงก็เพราะ วิวก็สวย ไอศครีมก็อร่อย
นี่แหละสองร้อยกว่าบาทที่เสียเงินขึ้นมา มันคุ้มแล้ว ก่อนที่จะลงไปวัด ฉันกับเพื่อนก็เหลือบไปเห็นรางที่ขดไปขดมา
ก็เลยรู้ว่านั่นคือ Toboggan Run หรือรางที่สำหรับแคร่หรือเลื่อนที่คนลงไปนั่งในแคร่แล้วไหลลงมาตามรางได้อย่างสนุกสนาน
เป็นที่แน่นอนว่าเราสองคนก็ลงไปแหกปากอยู่ในแคร่ที่ปล่อยพวกเรามา จากยอดเขาแถมเลี้ยวขึ้นยอดเขาอีก
ใจแทบร่วง แถมไอศครีมที่เพิ่งกินไปก็แทบจะออกมาวิ่งเล่นอีกรอบ ถือได้ว่านอกจากทะเลสาบสวยๆ
แล้ว เลื่อนบนภูเขาที่เราไปเล่นมาก็ทำให้สนุกอยู่ไม่เบา

ส่วนวัดไทยที่ว่านั้นก็คือ วัดธรรมปาละ
อยู่คนละฟากกันกับตัวทะเลสาบ จริงๆ เดินออกมาอีกประตูของสถานีรถไฟก็จะถึงอยู่แล้ว
วัดธรรมปาละตั้งอยู่ใจกลางหุบเขา ถ้าให้วาดภาพก็วาดคร่าวๆ ได้ว่ามีภูเขาสองลูก มีวัดอยู่ตรงกลางภูเขาแถมมีน้ำตกขนาดยักษ์อยู่หลังวัดอีกต่างหาก
บรรยากาศสวยงามเหมาะแก่การทำสมาธิและปฏิบัติธรรมมาก หลังจากนั่งสมาธิเสร็จฉันก็ตัดสินใจไปต้มชาจากมุมเครื่องดื่มที่ตั้งไว้สำหรับผู้ที่มากราบพระที่วัด
ต้มน้ำเสร็จฉันก็ถือกาออกมาพร้อมกับนั่งดูวิวข้างนอกกับชาวต่างชาติคนอื่นๆ เพราะการได้ดื่มชาในวันนั้น
ฉันก็เลยรู้ว่าเหล่าคนสวิสที่นั่งที่ระเบียงวัดกับฉันนั้นคือกลุ่มที่มาปฏิบัติธรรมกับทางวัดในวัดหยุดที่ทางวัดได้จัดเตรียมไว้ ทุกคนเล่าเรื่องของแต่ละคนให้ฉันฟังว่าทำไมถึงตัดสินใจเข้าร่วมศาสนาพุทธ

กลายเป็นว่าทริปเล็กๆ ที่เกิดขึ้นอย่างงงๆ
ของฉันในวันนี้ ทำให้ตัวฉันรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้บ้าน เหมือนไปวัดแถวหมู่บ้านยังไงอย่างนั้น
บางทีการอยู่เมืองนอกก็อาจจะไม่ทำให้เรารู้สึกไกลบ้านอย่างที่เราคิดก็ได้นะ

Kandersteg

Address: Kandersteg
, Switzerland
Hours: แนะนำว่าให้ไปช่วงใบไม้ร่วงเพราะสีของใบไม้ที่ภูเขาจะสวยมากๆ
แต่ต้องเลือกวันที่อากาศสดใสด้วยนะ ไม่งั้นจะมองไม่เห็นภูเขาเลย
หากคำนวณเวลาแล้วต้องใช้เวลาในการเดินทางจากเมืองที่ตัวเองอยู่ไปถึง Kandersteg ประมาณ 3 ชั่วโมงก็ควรออกแต่เช้าเลย
เพื่อที่จะได้เดินเล่นเยอะๆ และไปวัดอีกด้วย
How to get there: สามารถเช็กรอบรถไฟได้เรื่อยๆ จาก www.sbb.ch จะมีบอกตลอดว่า
ต้องต่อรถไฟที่ไหนบ้าง และจะใช้เวลากี่ชั่วโมงในการเดินทาง
Map:

ใครอยากส่งเรื่องที่น่าเที่ยวมาลงเว็บไซต์ a day online คลิกที่นี่เลย

AUTHOR