ฉันรู้จักเมืองเล็กๆ นี้เพราะช่วงที่ฉันไปออสเตรียคือช่วงคริสต์มาส ซึ่งมันคือการเที่ยวส่งท้ายก่อนจะกลับเมืองไทย ใครๆ ก็ต่างบอกว่าต้องไปฮัลสตัทท์ (Hallstatt) ให้ได้นะ แต่ฟ้า เพื่อนสนิทของฉันกลับบอกว่า “ต้องไป Obertraun
นะ ฮัลสตัทท์น่ะไม่ต้องไปหรอก” ฉันผู้กำลังงงกับชื่อเมืองก็สวนกลับไปว่า
“ไปทำไมวะ เมืองอะไรไม่เห็นรู้จักเลย” เพื่อนของฉันให้เหตุผลง่ายๆ เพียงว่าฮัลสตัทท์สวยก็จริง แต่บางทีอาจจะมีบางที่ที่สวยกว่าฮัลสตัทท์ก็เป็นได้นะ ยิ่งฉันจะกลับเมืองไทยแล้วก็ควรจะไปในที่ที่พลาดไม่ได้ด้วย
“บางทีมันก็เหมือนเส้นผมบังภูเขาแก”
เหตุผลที่ฟ้าให้คำนิยามเมืองนี้ในลักษณะแบบนี้ก็เพราะ Obertraun
คือเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับฮัลสตัทท์เลย โดยมีทะเลสาบฮัลสตัทช์ขวางอยู่ตรงกลาง เป็นเมืองเล็กๆ
ที่สวย แต่คนมักแห่ไปเที่ยวฮัลสตัทท์กันซะส่วนใหญ่ นอกจากเมืองจะอยู่ติดกัน
เดินทางไปมาสะดวกแล้ว สิ่งสำคัญคือเมืองนี้ก็มีกิจกรรมให้ทำมากมายไม่ว่าจะเป็น เดินป่า พายเรือ สกี หรือเล่นน้ำในทะเลสาบ ฟ้าแนะนำให้ฉันจองที่พักไปก่อน ฉันก็เลยพบว่าที่พัก Obertraun นั้นถูกกว่าฮัลสตัทท์ ถึงครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว ทำเลก็ดีมากเพราะอยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบทำให้เห็นวิวฮัลสตัทท์เต็มเมืองอยู่ไกลๆ อยากไปฮัลสตัทท์เมื่อไหร่ก็ได้ เพราะมีรอบเรือแปะบอกไว้ หรือจะทำกิจกรรมอื่นก็ได้โดยนั่งรถไฟจากสถานีของฮัลสตัทท์มาก็ได้ซึ่งใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้นเอง
หรือถ้ามาจากเวียนนาก็ใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมงถ้วน โดยการเดินทางมา Obertraun นอกจากการนั่งรถไฟแล้วก็ขับรถมาได้ด้วย
ครั้งแรกที่ฉันมา Obertraun คือช่วงหน้าหนาวในเดือนธันวาคม
ช่วงนั้นบรรยากาศดูเงียบสงบ เมืองทั้งเมืองก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกจางๆ
ฉันเลือกที่จะพักที่ Haus
Am see เป็นที่พักออกแนว Bed & Breakfast ซึ่งก็มีไม่กี่ห้องนอน ที่นี่มีวิวให้เลือระหว่างวิวทะเลสาบและภูเขา
ฉันตัดสินใจเลือกทะเลสาบ เมื่อฉันตื่นเช้ามา ก็เห็นหมอกที่ลอยอยู่บนผืนน้ำ
พระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นพร้อมกับหมอกที่ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ ทำให้ฉันเห็นต้นไม้ที่เป็นสีส้มและสีน้ำตาลประปรายปนกันไปอยู่บนภูเขา
ฉันเฝ้ามองหมอกที่ค่อยๆ เคลื่อนไปจนหมดถึงลงไปเดินเล่นที่ทะเลสาบข้างล่าง
ฉันเพิ่งเข้าใจความสุขจากความสงบจากธรรมชาติที่แท้จริงก็วันนี้เอง ที่ทะเลสาบมีท่าเรือเล็กๆ มองไปข้างๆ เห็นภูเขาล้อมรอบ
มองไปไกลๆ ก็เห็นหมอกที่ลอยตัวขึ้นสูงแต่ยังบังภูเขาอีกลูกหนึ่ง ฉันนอนมองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เห็นหงส์ขาวที่ค่อยๆ ว่ายน้ำเข้ามาใกล้ๆ เหมือนกับจะบอกว่า ขอขนมปังหน่อยสิ!
นั่นคือครั้งแรกที่ฉันมา Obertraun แล้วฉันก็พบว่ารอบสองก็คือในหน้าร้อนถัดไป
ฉันตัดสินใจมาแบ็กแพ็กที่ออสเตรียอีกรอบและเป็นที่แน่นอนว่าฉันเลือกกลับมาที่นี่อีกครั้ง
Obertraun นี่ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลยจริงๆ นอกจากโลเคชันที่แสนเพอร์เฟกต์ กิจกรรมเพียบ หน้าร้อนที่
Obertraun กลับให้ฉันอมยิ้มทุกครั้งที่นึกถึงที่นี่ สิ่งแรกที่ฉันทำเมื่อมาถึงคือการวิ่งไปที่ทะเลสาบเช่นเคย ฤดูกาลเปลี่ยน หลายอย่างก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย
จากท่าเรือที่แสนเงียบกลับกลายเป็นท่าเรือและสนามหญ้าที่เต็มไปด้วยหลายครอบครัวที่มาปิกนิกและนอนอาบแดดกันอย่างสนุกสนาน
นอกจากความสดใสของหน้าร้อนที่กระจายตามสีของบิกินี่ที่ทุกคนใส่อาบแดด ก็ยังมีความอบอุ่นของครอบครัวที่ลอยอยู่ในอากาศท่ามกลางหุบเขาที่ตั้งอยู่ข้างหน้า
ฉันมองคุณพ่อจูงมือลูกเดินลงน้ำ
มองไปอีกนิดก็เห็นคนนอนอาบแดดกระจายกันออกไปและฉันต้องหันกลับไปที่ทะเลสาบอีกรอบเพราะได้ยินเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนานของคนที่กำลังแล่นเรือใบ บรรยายแค่นี้ก็คงจะรู้ใช่ไหมว่าบรรยากาศนั้นชวนให้อมยิ้มตามด้วยเลยนะ
ประสบการณ์การเที่ยว
Obertraun ก็เป็นอย่างหนึ่งที่สอนใจฉันได้เหมือนกัน
บางทีเราก็ต้องลองไปเที่ยวในที่ที่คนอื่นไม่ไปบ้าง เพราะเราอาจจะได้เห็นอะไรที่เราไม่เคยเห็น
ได้เจออะไรที่เราไม่เคยเจอ มันก็ทำให้ชีวิตได้เจออะไรที่แปลกใหม่เหมือนกันนะ ก็คงเหมือนชีวิตเราแหละนะบางทีถ้าเราใส่ใจกับรายละเอียดของชีวิตให้มากขึ้น
เราอาจจะเห็นโอกาสหรือว่าทางเลือกดีดีของชีวิตก็ได้นะ!
Obertraun
address: Obertraun, Austria
hours: ทั้งสองช่วงก็สวยคนกันละแบบ
หน้าหนาวจะสวยแบบเงียบสงบมากๆ เพราะคนมักจะไม่เที่ยวหรือ มาอาบแดดแถวนี้ เพราะหนาวเกินไป
ถ้าเป็นหน้าหนาวก็แนะนำให้ตื่นมาตอนเช้ามานั่งตรงท่าเรือและ มองหมอกที่ค่อยๆ จางไปอย่างช้าๆ
ยิ่งนอนตรงทะเลสาบละหันหน้าเข้าฮัลสตัทท์วิวจะสวยมากเลยนะ ส่วนหน้าร้อน ควรมาเดินเล่นๆ ช่วงบ่ายและต่อด้วยเดินป่าต่อ
เพราะจะได้เดินชมเรียบริมทะเลสาบก่อนแล้วค่อยไปเดินป่าชมภูเขากันต่อ
how
to get there: นั่งรถไฟจากเวียนนามาประมาณเกือบ 4 ชั่วโมง
ถ้าตั๋วถูกหน่อยก็จะเปลี่ยนรถไฟประมาณ 3 รอบ รถไฟที่ว่านั้นก็คือ Österreichische
Bundesbahnen หรือ OBB ซึ่งสามารถเช็กตารางการวิ่งหรือตรวจสอบได้ว่ารถไฟวิ่งอยู่ไหนได้จากแอพของ OBB เองเลย ทั้งรถไฟ ทั้งรถมาได้เหมือนกันหมดเลยนะ
มาง่ายขนาดนี้ก็ต้องมากันเองล่ะ!
Map:
ใครอยากส่งเรื่องที่น่าเที่ยวมาลงเว็บไซต์ a day online คลิกที่นี่เลย