‘It’s Okay To Take A Break’ นิทรรศการจากความอยากพักผ่อนของศิลปิน แต่กลายเป็นว่างานนี้ทำให้ไม่ได้พัก

Highlights

  • Banana Blah Blah คือศิลปินที่ฝากลายเส้นภาพประกอบอันเป็นเอกลักษณ์มาแล้วหลายสนาม ทั้งสำนักพิมพ์ 1001 nights editions, The MATTER, นิตยสาร a day BULLETIN, งานคอนเสิร์ตอย่าง MAHORASOP หรือกระทั่งงานของ google ก็ผ่านมือเธอมาแล้วทั้งนั้น
  • ‘It’s Okay to Take a Break’ คือผลงานล่าสุด และเป็นนิทรรศการครั้งแรกของอิลลัสเตรเตอร์สาวคนนี้ นิทรรศการที่เธอมีเวลาในการเตรียมตัวเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น เป็นหนึ่งเดือนที่ต้องคิด ลงมือทำ และตัดสินใจด้วยตัวเองทุกขั้นตอน จนทำให้เธอไม่ได้พักผ่อนตามที่ใจคิด
  • เกิดอะไรขึ้นบ้างตอนทำงาน ทำตัวตามสบาย แล้วตามเข้านิทรรศการไปด้วยกัน

Banana Blah Blah หรือ กล้วย–นฤมล ยิ้มฉวี คืออิลลัสเตรเตอร์ที่ฝากฝีมือมาแล้วหลายสนาม ทั้งสำนักพิมพ์ 1001 nights editions สถานที่ที่ทำให้เธอได้ฝึกปรือฝีมือและฝึกฝนวิชาวาดภาพจนคล่องมือ, The MATTER สถานที่ที่เธอได้พัฒนางาน และปรับตารางชีวิตให้เข้ากับความเป็นออนไลน์ นอกจากนี้เธอยังรับบทบาทฟรีแลนซ์วาดภาพประกอบอยู่เนืองๆ ทั้งภาพปกนิตยสาร a day BULLETIN, คีย์วิชวลของหลากหลายอีเวนต์ ไปจนถึงเทศกาลคอนเสิร์ตที่ขนกองทัพศิลปินมาเมืองไทยอย่าง MAHORASOP หรือกระทั่งงานของ google ก็ผ่านมือกล้วยมาแล้วแทบทั้งนั้น

‘It’s Okay To Take A Break’ คือนิทรรศการครั้งแรกของอิลลัสเตรเตอร์สาวคนนี้ นิทรรศการที่เธอมีเวลาในการเตรียมตัวเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น เป็นหนึ่งเดือนที่ต้องคิด ลงมือทำ และตัดสินใจด้วยตัวเองทุกขั้นตอน

ทั้งๆ ที่ตั้งใจลาออกจากงานประจำมาพักเบรกก่อนลุยตามเส้นทางฝัน แต่นิทรรศการที่ว่ากลับทำให้เธอไม่ได้พักผ่อนตามที่ใจหวังเอาไว้

กล้วยรอเราอยู่ที่โซฟาในห้องโถงใหญ่ของโรงแรม Pullman Bangkok Hotel G ซึ่งเป็นสถานที่จัดนิทรรศการของเธอแล้ว บิดขี้เกียจแล้วหามุมให้เหมาะเจาะ เอนหลังฟังศิลปินสาวเล่าเรื่องราวไปพร้อมกันเลย

ไปไงมาไง ทำไมถึงทำนิทรรศการที่ว่าด้วยการพักผ่อน

“มันเริ่มจากว่าเพื่อนเราทำงานที่โรงแรมพูลแมน สถานที่ที่เราจัดนิทรรศการครั้งนี้นี่แหละ ปกติแล้วแกลเลอรีของโรงแรมจะต้องหานิทรรศการมาหมุนเวียนอยู่แล้ว เขาเลยเอางานของเราไปเสนอกับทีมดูว่าจะทำเป็นนิทรรศการได้หรือเปล่า ตอนที่เพื่อนทักมาถามว่าอยากทำนิทรรศการไหม เรายังงงๆ อยู่เลย ไม่คิดว่าเขาจะให้ทำจริงๆ แต่พอรู้ว่าได้ก็ตื่นเต้นมาก กรี๊ดในใจ แล้วกลับมาคิดว่าปกตินิทรรศการนี่เขาทำกันยังไง (หัวเราะ) เพราะเราไม่เคยทำนิทรรศการมาก่อน ไม่เคยทำเลย ไม่รู้ว่าต้องวาดยังไงด้วยซ้ำ เคยวาดแต่ในคอมฯ ลงแต่ในเว็บไซต์ ไม่เคยปรินต์รูปที่ตัวเองวาดออกมาเลย

“ตอนนั้นมีเวลาในการเตรียมงาน ทั้งการคิด การทำ การจัด การเปิดนิทรรศการขึ้นมาโดยใช้เวลาแค่เดือนเดียวเอง เราเหวอเลย (หัวเราะ) เวลาแค่เดือนเดียวจะทำยังไงดีวะ ต้องเริ่มจากอะไรก่อน มันเหมือนเป็นการทำทีสิสย่อยๆ เลย ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอะไรดี เพราะเรื่องรอบตัวเราเยอะแยะไปหมด และความสนใจเราหลากหลายมาก ทั้งเรื่องศาสนา เรื่องครอบครัว เรื่องเพลง ทำมายด์แมปดูว่าเราสนใจเรื่องอะไรบ้างก็แล้ว ก็ยังคิดไม่ออกสักที จนมาคิดได้ว่าเราทำงานเยอะไปไหม ทำงานไม่หยุดเลย”

เหมือนเพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ได้พัก และทำงานหนักมาตลอดจากการคิดนิทรรศการ

“จริงๆ เราพักนะ แต่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ มากกว่า ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เราทำทั้งงานประจำ ทำทั้งฟรีแลนซ์ บางทีมันก็เหนื่อยมาก จนเรารู้สึกอยากพักก่อน แต่ทั้งสองอย่างก็สำคัญพอๆ กันจนเราทิ้งไปไม่ได้ เราเลยรู้สึกว่าไม่ได้พักอย่างเต็มที่สักที เหมือนมันนานมากแล้วที่เราไม่ได้หยุดไปเที่ยว ไปใช้เวลาทำอะไรนานๆ ไปนอนพักแบบไม่ต้องคิดอะไร ทุกวันนี้ขนาดไปเที่ยวก็ยังต้องเอาคอมฯ ไปทำงานอยู่ดี ทุกอย่างมันยุ่งไปหมด และจริงๆ ที่เราตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาทำฟรีแลนซ์เต็มตัว ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะหาเวลาพักเบรกให้ตัวเองด้วย แต่พอมันมีนิทรรศการเข้ามา กลายเป็นว่าเราก็ไม่ได้พักอีก (หัวเราะ) เลยตกลงเอาคอนเซปต์ It’s Okay to Take a Break นี่แหละมาทำเป็นธีมของนิทรรศการ เหมือนทำเพื่อบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอก ถ้าเราจะพักบ้าง

“รูปที่ใช้แสดงในงานเลยมาจากความคิดว่าถ้าหากเราได้พักจริงๆ เราจะอยากทำอะไร อยากออกไปเดินเล่นข้างนอก อยากนอนเฉยๆ อยากใช้เวลากับครอบครัว ลิสต์สิ่งพวกนี้มาทำเป็นภาพวาด ซึ่งมันก็เข้ากับที่นี่พอดีด้วย ด้วยความที่แกลเลอรีของพูลแมนมันเป็นเหมือน public space เราเลยทำให้นิทรรศการของเราเป็นภาพประกอบที่ดูแล้วเพลิดเพลินมากกว่า เหมือนมาโรงแรมก็เพราะอยาก take a break มาเพื่อพักผ่อน”

คนรุ่นเรามักทำงานไปด้วยความรู้สึกว่า ‘ฉันยังไม่สมควรจะได้รับการพักผ่อน’ ‘ฉันไม่กล้าอนุญาตให้ตัวเองได้พัก’ อยากรู้ว่ากล้วยเป็นเหมือนกันหรือเปล่า

“เป็น แต่เราก็อนุญาตตัวเองนะ (หัวเราะ) เราจะกำหนดเวลา เช่น ขอนอนสักสองชั่วโมงได้ไหมแล้วเดี๋ยวจะตื่นมาทำงานต่อ แต่บางทีก็มีบ้างเหมือนกันที่นอนไปแล้วตื่นมาอีกที อ้าว เช้าแล้ว มันเลยทำให้รู้สึกผิด เพราะงานก็ยังไม่เสร็จ แล้วพอกลัวว่าเวลาจะไหลไปเรื่อยๆ เราเลยต้องมีวินัยกับตัวเอง ต้องบังคับตัวเองว่าอย่าเพิ่งพัก ให้ทำไปก่อน สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าต้องทำงานรัวๆ จนไม่ได้พักสักที และเราคงกลัวว่าเราจะตายก่อน หรือไม่มีเวลาเหลือให้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยมั้ง เราเลยรีบทำทุกอย่างไปหมดเลย

ซึ่งเราว่าการที่เรารีบแบบนี้ ในแง่หนึ่งมันก็คุ้มค่านะ มันเหมือนเราก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เหมือนคนอื่นเดิน แต่เรากลับวิ่ง อย่างถ้าการพักผ่อนคือการนอน เราจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังวิ่งอยู่ตลอดเวลา มีงาน มีโอกาสอะไรเข้ามาเราก็ตกลงทำไปหมดเลย ทั้งๆ ที่บางทีก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะสามารถทำได้หรือเปล่า คงเพราะเรากลัวว่าเวลามันจะหมดจริงๆ นั่นแหละ เราเลยรีบคว้าโอกาสไว้ กลัวว่าวันหนึ่งจะไม่มีโอกาสได้ทำจริงๆ”

เดาว่ามันต้องทำให้กล้วยกดดันตัวเอง หรือรู้สึกเครียดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

“ใช่ เครียดนะ (หัวเราะ) บางทีก็แอบคิดเหมือนกันว่าทำไมเราต้องสู้ขนาดนั้น ทำไมต้องไปแข่งไปขันเพื่อที่จะได้มันมา ทำไมต้องไต่บันไดขึ้นไปเรื่อยๆ ขนาดนั้น แต่ว่าเวลาเราใช้ชีวิตเอื่อยๆ มันก็ทำให้เราหมดพลังเหมือนกันนะ เราว่ามันอยู่ที่บาลานซ์ด้วย มันต้องมีวันที่เราสู้บ้าง แล้วก็ต้องมีวันที่เราเอื่อยๆ บ้าง เราไม่ได้สู้ทุกวันอยู่แล้ว บางวันเราก็นอนไม่ทำอะไรเลย บางวันก็ลุยสู้งานเพราะไฟมา มันก็สลับๆ กันไปแบบนี้แหละ เหนื่อย เครียด ร้องไห้ มีความสุข เมา ทุกอย่างมันคือบาลานซ์ชีวิต แต่สุดท้ายแล้วเราก็เชื่อว่าการที่เราสู้ การที่เราไม่กลัวงาน มันพาให้เรามาถึงตรงนี้ได้ เรารู้สึกเหมือนได้ก้าวผ่านความกลัวในทุกครั้งที่ทำงาน”

ถ้าอย่างนั้นกล้วยก้าวผ่านอะไรบ้างในการจัดเตรียมนิทรรศการครั้งนี้

“การตัดสินใจ (ตอบทันที) ด้วยความที่นิทรรศการมันเหมือนเป็นงานของเราคนเดียว และเราค่อนข้างจะเป็นคนโลเลอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) พอทำนิทรรศการมันจึงต้องตัดสินใจเองทั้งหมดเลย ทั้งเรื่องรูปที่จะแสดง หรือกิจกรรมที่จะมีในงาน อย่างเรื่องที่ดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ ตัดสินใจยากมากคือกรอบรูป ต้องนั่งคิดนานมากว่าจะใช้กรอบไม้หรือกรอบดำ เพราะมันก็สำคัญ ทำให้งานเราเด่นขึ้น หรือดรอปลงได้เลยเหมือนกัน หรืออย่างปกติเวลาเราวาดรูปอะไรมา เราจะชอบถามความเห็นของคนอื่นว่าชอบไหม เข้าใจไหม แต่เขาก็มักจะตอบกลับมาว่าให้ทำตามใจเรา เอาแบบที่เราชอบนี่แหละ หลังๆ เราเลยไม่ถามแล้ว ลองทำไป ลองตัดสินใจเอง คนอื่นจะชอบหรือไม่ชอบก็ค่อยมาลุ้นเอา” 

“กับงานนี้เราก็พอใจในระดับหนึ่งนะ มันเหมือนทำให้คนรู้จักเรามากขึ้นด้วย จากตอนแรกๆ ที่เริ่มวาดรูป เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนติดตามเราอยู่เยอะแค่ไหน พอมีงาน มีคนมาแสดงตัวว่าชอบผลงานเรา มีคนแวะเวียนแท็กไอจีมาหา มีคนลงสตอรี มีคนรอชื่นชม รอติดตามมันก็เป็นกำลังใจให้เราเหมือนกัน” 

คาดหวังไว้หรือเปล่าว่าคนมาชมงานเราแล้วจะต้องรู้สึกอย่างไร 

“ถ้าเขาดูแล้วรู้สึกผ่อนคลายก็จะดีนะ (หัวเราะ) แต่จริงๆ แล้วรูปที่เราวาดมามันก็ไม่ได้ผ่อนคลายทุกรูปหรอก นิทรรศการของเราไม่ได้เป็นงานคอนเซปต์จัด เราแค่อยากให้คนมาดูได้แบบสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ดูเสร็จแล้วรู้ว่าภาพของเราคืออะไร หรือสามารถนำไปเชื่อมโยงกับชีวิตของตัวเองได้ก็ดีใจแล้ว 

“และก็แอบคาดหวังกับตัวเองไว้ว่างานนี้จะทำให้คนรู้จักเราเพิ่มมากขึ้น เหมือนเป็นการแสดงตัวตนออกไปด้วยว่าเราสามารถทำงานอะไรได้บ้าง เพราะบางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าคนที่มาดูงานเขาคือใคร เขาอาจจะเป็นคนที่จะจ้างเราในอนาคตก็ได้ (หัวเราะ)”


นิทรรศการ It’s Okay to Take a Break จัดแสดงที่ The Gallery 36 โรงแรม Pullman Bangkok Hotel G Silom ชั้น 36 ตั้งแต่วันนี้ – 8 กันยายน 2562 

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ณัฐปคัลภ์ ทัศนวิริยกุล

นักเรียนฟิล์มที่มาฝึกงานช่างภาพ รักการถ่ายรูป ชอบกินของอร่อย และชอบใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนสนิท คนรัก