Nike Epic React : รองเท้าที่ใช้เวลาออกแบบ 3 ปี เพื่อหาวิธีที่จะทำให้การวิ่งสนุกและไม่เหมือนเดิม

ถ้าพูดถึงรองเท้าวิ่งที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์ hype ในหมู่นักวิ่งที่ป้ายยากันเองว่า #ของมันต้องมี กระทั่งมีการต่อคิวซื้อทั้งทางออนไลน์และทางหน้าร้านจนหมดอย่างรวดเร็วในปีนี้ ต้องมีรองเท้า Nike Epic React ติดอันดับแน่นอน

แนวคิดของรองเท้ารุ่นนี้เกิดจากการที่ไนกี้ได้สอบถามความต้องการของนักวิ่งว่าพวกเขาต้องการรองเท้าวิ่งที่มีคุณสมบัติแบบไหน เหล่านักวิ่งล้วนตอบว่าอยากได้รองเท้าที่นุ่ม ให้พลังงานในการส่งแรงขณะวิ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเบาและทนทานด้วย ซึ่งถือเป็นโจทย์ยากสำหรับการทำรองเท้าวิ่งที่ตอบทุกคุณสมบัติในคู่เดียว

ทีมนักเคมีได้ใช้เวลากว่า 3 ปีในการทดลองหาวัสดุต่างๆ กว่า 400 ชุด ส่วนการออกแบบพื้นรองเท้า ทีมวิศวกรได้ออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์โดยใช้การคำนวนทางคณิตศาสตร์เพื่อออกแบบรองเท้าที่เหมาะสมกับนักวิ่งที่สุด จนสุดท้ายไนกี้ก็ได้เสกพื้นรองเท้าที่มีชื่อว่า React ขึ้นและเปิดตัวครั้งแรกในรูปแบบของรองเท้าบาสเกตบอล ซึ่งเป็นกีฬาที่มีการปรับเปลี่ยนท่าทางและความเร็วในการเคลื่อนไหวตลอดเวลา โดยให้นักบาสเกตบอลทดสอบเป็นเวลากว่า 2,000 ชั่วโมงเพื่อพิสูจน์ความทนทานและการดีดตัว และสุดท้ายได้ให้นักวิ่งแนวหน้าและนักวิ่งที่วิ่งทุกวันทดสอบกว่า 27,300 กิโลเมตร เมื่อทดสอบเรียบร้อยแล้ว คำตอบที่ได้จากนักวิ่งเหล่านี้คือ ‘รู้สึกสนุกกับการวิ่งและอยากวิ่งต่อไปอีก’

หากเปรียบเทียบคุณสมบัติโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เทียบกับพื้นรุ่นก่อนหน้าอย่างโฟม Lunarlon โฟม React ตัวใหม่นี้มีความนุ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ ดีดขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์ และเบาขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย

จากการทดสอบวิ่งบนพื้นถนน ทั้งวิ่งในสวน วิ่ง city run และล่าสุดเราไปวิ่ง 10 ไมล์ในงาน Supersports 10 Mile International Run 2018 Bangkok เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราจะมาบอกเล่าประสบการณ์การใช้งานจริงของรองเท้ารุ่นนี้กัน

ลองใส่ครั้งแรก

เมื่อได้ลองครั้งแรกเราพบว่าใส่ยากพอสมควร เนื่องจากตัวรองเท้าเป็นผ้า Flyknit ที่เบาแต่ทอแน่นมาก อีกทั้งรองเท้าไม่มีลิ้นรองเท้าที่สามารถขยายให้กว้างขึ้น ทำให้เวลาสวมตอนช่วงแรกๆ จะรู้สึกว่ายัดเท้าลงไปได้ยากนิดหน่อย แต่พอใส่ไปสักพักก็ชินขึ้น ไม่ได้เป็นปัญหาในการใช้งานเท่าไหร่

ความทน

ด้วยความที่ส่วนที่ดูดซับและรองรับแรงกระแทก (midsole) ของรองเท้าเป็นโฟม React เต็มแผ่น และพื้นรองเท้า (outsole) ได้เพิ่มพื้นยางตรงปลายเท้าและส้นเท้า ในตอนแรกเราก็ไม่แน่ใจว่าพื้นรองเท้าจะทนจริงอย่างที่แบรนด์ว่าไว้ไหม เราจึงออกไปวิ่งจริงๆ เป็นระยะทางสะสมกว่า 100 กิโลเมตร พอยกรองเท้าขึ้นมาดูก็มีจุดที่สึกนิดหน่อยตรงที่เราลงน้ำหนักเท้าเท่านั้น แต่รวมๆ แล้วพื้นรองเท้ายังคงสภาพดีอยู่มาก

ความนุ่ม

พื้น React ที่มีความนุ่มทำให้การวิ่งเป็นเรื่องง่ายในทุกระยะ ไม่ว่าจะซ้อมวิ่ง วิ่งจริงตั้งแต่ fun run 5 กิโลเมตร จนถึงฮาล์ฟมาราธอนก็ยังสบายๆ

ความเด้ง

รองเท้ามีแรงดีดอยู่พอสมควร แต่ไม่มากเท่ารุ่น Zoom Fly ที่เป็นรองเท้าแข่งสำหรับคนที่ต้องการทำความเร็ว drop ของ React อยู่ที่ 10 มิลลิเมตร ซึ่งเท่ากับ Zoom Fly แต่เมื่อเทียบกันแล้วมีข้อได้เปรียบของคือ React มีส้นรองเท้าที่เป็นทรงแบะออกมากกว่า Zoom Fly ที่มีทรงเรียว และเท้าไม่พลิกง่ายเท่า ในกรณีที่วิ่งเบาๆ Nike Epic React จึงเหมาะกับนักวิ่งทุกระดับตั้งแต่มือใหม่ยันขาแรง

ความเบา

ต้องยอมรับว่า Nike Epic React เป็นรองเท้าวิ่งที่เบาจริงๆ เพราะตัวรองเท้าได้ตัดวัสดุที่ไม่จำเป็นออกทั้งหมดเพื่อให้รองเท้ามีน้ำหนักเบาที่สุด ด้วยเทคโนโลยี Flyknit ที่ได้พัฒนาในรองเท้ารุ่นนี้จึงทำให้ไม่ต้องพึ่ง Flywire ที่ช่วยโอบรัดเท้าให้กระชับช่วงกลางเท้ามากขึ้นอีกต่อไปแล้ว

จากการวิ่งยาวระยะ 10 ไมล์ (ประมาณ 16 กิโลเมตร) ความรู้สึกตอนวิ่งนอกเหนือจากความเหนื่อยคือเมื่อวิ่งจนครบ 16 กิโลเมตรแล้วก็ยังสนุกกับรองเท้าคู่นี้อยู่นะ ถึงจะหนืดในช่วงกิโลเมตรท้ายๆ หน่อย ช่วง 5 กิโลเมตรแรกยังดีดอยู่ พอหลังจากนี้ก็วิ่งสบายๆ ไปเรื่อยๆ เวลาวิ่งผ่านจุดที่มีน้ำต้องระวังรองเท้าลื่นเล็กน้อย จะมีอาการเหิน ซึ่งเสี่ยงต่อการลื่นล้มเอาง่ายๆ แต่ถ้าวิ่งบนพื้นแห้งรองเท้าจะเกาะพื้นได้ดีทีเดียว

รองเท้านี้เหมาะกับใคร

เราคิดว่ารองเท้ารุ่นนี้เหมาะกับนักวิ่งที่กำลังมองหารองเท้าวิ่งที่วิ่งสนุกและสบาย ด้วยดีไซน์ที่จับคู่สีที่แฟชั่นสุดๆ จะใส่เดินเที่ยวสวยๆ ก็ได้

หมายเหตุ : สำหรับใครที่คิดจะใส่ Nike Epic React เพื่อวิ่ง อาจต้องเผื่อไซส์ซัก 0.5-1 เบอร์ จะได้มีพื้นที่ให้เท้าหายใจ อย่างเราเองใส่ Nike Free RN 2017 เบอร์ 7.5 US ก็เลือกเบอร์ 8 US มา อยากให้ลองใส่เดินหรือวิ่งรอบร้านก่อนตัดสินใจซื้อนะ สุดท้ายแล้วเรื่องรองเท้าก็เป็นเรื่องความสบายของแต่ละคน

ภาพ ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

AUTHOR