Housmans Bookshop ร้านหนังสือที่ทำให้เรามองเห็น ‘การเมือง’ ในทุกเรื่องของชีวิต

นี่ๆ คุณสนใจเรื่องการเมืองไหม?

ว่ากันว่า หากต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับใครสักคน หนึ่งในเรื่องที่ห้ามหยิบยกขึ้นมาพูดเด็ดขาดคือเรื่องการเมือง

ไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อข้อความข้างต้นแค่ไหน แต่สำหรับฉันเรื่องการเมืองถือเป็นหัวข้อสุดฮอตที่หยิบขึ้นมาคุยในวงทีไร บทสนทนาของพวกเราจะมีชีวิตชีวาขึ้นทันที ยิ่งได้คุยกับเพื่อนต่างชาติต่างภาษายิ่งสนุกใหญ่ ลองนึกดูสิว่าถ้าได้ถามเพื่อนชาวจีนว่าเธอคิดยังไงกับระบบคอมมิวนิสต์ คนเกาหลีใต้คิดยังไงเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ หรือการถามเพื่อนชาวอังกฤษว่าคิดยังไงกับคนอเมริกันและฝรั่งเศส คำตอบที่ได้คงน่าสนใจน่าดู

ถึงฉันจะนิยามตัวเองว่าไม่ใช่คนสนใจเหตุบ้านการเมืองสักเท่าไหร่ แต่ถ้าได้เจอกับเพื่อนที่เปิดใจและพร้อมแลกเปลี่ยน เรามักอัพเดตข่าวสารบ้านเมืองและเมาท์มอยกันอย่างออกรสทุกที จนทำให้ฉันคิดขึ้นว่า ไม่ว่าเราจะสนใจเรื่องนี้มากหรือน้อย อยากรู้ความเป็นไปทางการเมือง เพราะเราอยากเห็นสังคมที่เราอยู่ดีขึ้นกันทั้งนั้น

และฉันเชื่อเสมอว่าเพื่อเป้าหมายนั้น ยิ่งเห็นต่าง เรายิ่งต้องคุยกัน

โชคร้ายในสังคมใหญ่ เรื่องเปราะบางแบบนี้ต้องคิดให้ดีและพูดให้ถูกที่ถูกเวลา แต่ถ้าคุณเป็นชาวลอนดอนละก็ ฉันว่าคุณโชคดีขึ้นมาหน่อย เพราะที่นี่เป็นเมืองที่เปิดโอกาสให้เราได้แสดงความเห็น วิพากษ์สังคมอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างสงคราม เสรีภาพ เศรษฐกิจ ไปจนถึงการเหยียดผิว เหยียดเพศ และความไม่เท่าเทียมอีกมากมายในสังคม จึงไม่น่าแปลกใจที่เมืองนี้จะเต็มไปด้วยกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมด้านต่างๆ ทั่วเมือง

วันนี้ฉันเดินทางมายังพื้นที่ที่เป็นตัวจุดประกายสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในลอนดอน มันคือร้านหนังสือใกล้สถานีคิงส์ครอส ที่มีชื่อว่า Housmans Bookshop

ร้านหนังสือแห่งนี้นิยามตัวเองว่าเป็น Radical Bookshop ที่เก่าแก่ที่สุดในลอนดอน พจนานุกรม ไทย-อังกฤษบอกฉันว่า ‘radical’ แปลว่า ลัทธิสุดโต่ง หรือพวกหัวรุนแรง ก่อนไปพบฉันได้แต่สงสัย ว่าจริงเหรอที่ร้านหนังสือว่าด้วยเสรีภาพและความเท่าเทียมจะมีแนวคิดหัวรุนแรงได้?

ถึงจะจริง มารู้ตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะถอยหลังกลับแล้ว เพราะวันนี้ฉันมีนัดกับ Christina Rios หนึ่งในทีมผู้จัดการร้าน

และฉันกำลังจะฝ่าฝืนข้อห้ามด้วยการชวนเธอคุยเรื่อง ‘สังคมและการเมือง’

คำว่า radical ไม่ใช่คำแง่ลบเหรอ สำหรับคุณแล้วมันแปลว่าอะไรกันแน่

จริงๆ แล้วคำนี้ทำให้คนสับสนมากเลย มันมีรากมาจากภาษาละติน หมายถึงการสำรวจเจาะลึกและคิดวิเคราะห์เรื่องนั้นอย่างจริงจัง สิ่งที่ร้านเราพยายามทำคือการสำรวจสังคมสมัยใหม่ที่เราอยู่และพยายามวิเคราะห์ วิจารณ์ ทำความเข้าใจมัน เราไม่อยากแค่ยอมรับและนอบน้อมต่อสิ่งที่สังคมบอกเล่าโดยไม่คิดอะไรเลย

จริงเหรอที่เป้าหมายของร้านนี้ไม่ใช่การทำเพื่อหวังผลกำไร

จริงสิ ขอเล่าให้ฟังก่อนว่าร้านนี้ตั้งขึ้นในปี 1945 (เมื่อ 70 กว่าปีก่อน ) โดยนักเขียนที่มีชื่อว่า Laurence Housman ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มนักสังคมนิยมและผู้รักสันติภาพ (committed socialist and pacifist)

ตอนนั้นเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้คนกลัวสงครามและกังวลว่ามันจะกลับมาอีก เลยมีความพยายามสร้างความสงบขึ้นในประเทศอย่างยั่งยืน และในเวลานั้นหนังสือก็มีบทบาทสำคัญมากในการรณรงค์ ร้านหนังสือนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นที่รวมตัวและพูดคุยของนักคิด เป้าหมายของร้านเราเลยเป็นการแบ่งปันไอเดียเรื่องความสมุดลของการปกครอง สันติภาพ และความเท่าเทียม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และสำหรับพวกเรา นั่นเป็นเป้าหมายหลักที่สำคัญกว่าเงิน

แต่คนมากมายก็มีชีวิตไปวันต่อวันได้โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องสังคมและการเมือง ทำไมคุณถึงคิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ?

เหมือนคนจะคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐสภาและเราควบคุมอะไรไม่ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็จริงนะ เราควบคุมอะไรไม่ได้ แต่ในเมือมันเป็นสิ่งที่มีผลต่อชีวิตประจำวันของเราทุกวันตั้งแต่ตื่นนอน อาหาร การแต่งตัว งาน เงินเดือน ภาษีที่เราจ่าย บ้าน สุขภาพ อิสรภาพ  เราถึงละเลยมันไม่ได้ ร้านของเราเลยยิ่งต้องตอกย้ำความคิดนั้นด้วยการมีหนังสือหลากหลายหมวดเหมือนร้านหนังสือทั่วไป ต่างกันตรงที่ทุกเล่มจะเล่าเรื่องสังคมและเสรีภาพด้านต่างๆ ด้วยวิธีของตัวเอง

อย่างหนังสือท่องเที่ยวที่เล่าเรื่องคาร์ล มาร์กซ์ ตอนที่มาเที่ยวลอนดอน หนังสือเรื่องอาหารก็จะมีแทรกเรื่องความอดอยาก หรือที่มาของอาหารที่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กราฟิกโนเวลก็มีเรื่องราวของเด็กที่ติดคุก หนังสือเด็กก็เป็นเรื่องของผู้หญิงเก่งเปลี่ยนโลก หรือนิทานที่สอนให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง กล้าแสดงความคิดเห็น หรือสอนให้เด็กเรียนรู้ที่จะฝันถึงเสรีภาพ มันเหมือนการแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่าเรื่องนี้เข้าไปอยู่ในทุกส่วนของชีวิตคุณได้จริงๆ

แต่ในยุคนี้ ร้านที่ขายหนังสือเนื้อหาหนักๆ แบบนี้ยังอยู่รอดจริงเหรอ

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ร้านเราอยู่รอดเพราะเราวางตัวเป็นพี้นที่ของชุมชน

ผู้คนเข้ามาในร้านเราบ่อยมากเพราะร้านเรามักจัดอีเวนต์เรื่องสังคมด้านต่างๆ เมื่อก้าวเข้ามาคุณจึงถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนที่พร้อมสนับสนุนความคิดของคุณ ที่นี่เลยไม่ใช่แค่ร้านขายหนังสือ แต่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดของชุมชน

ทำไมคุณถึงคิดว่าร้านหนังสือเป็นที่รวมตัวที่ดีของนักเคลื่อนไหวล่ะ

เพราะมันเป็นที่ที่คุณสามารถเข้าถึงความรู้ ไอเดีย ประสบการณ์ที่อัดแน่นอยู่ในหนังสือ อีกส่วนหนึ่งเพราะอีเวนต์ต่างๆ ที่เราจัดเกี่ยวกับหนังสือก็จะดึงดูดคนที่มีความคิดคล้ายกันให้มาเจอกัน ซึ่งพอรู้จักกัน พวกเขาก็ไปตั้งชมรมอ่านหนังสือกันต่อเอง

เช่นคนที่ชอบบทกวีเกี่ยวกับการเมือง ตอนนี้มีกลุ่มรณรงค์  (activist community) ในลอนดอนหลายกลุ่มที่หลากหลายและแข็งแรงมาก ก็พูดได้เหมือนกันนะว่าร้านนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กลุ่มเหล่านี้แข็งแรงขึ้น เพราะพวกเราเป็นหนึ่งในสถานที่รวมตัวที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ทำกิจกรรมร่วมกัน มันดีมากที่ได้เห็นคนหลากหลายเพศ เชื้อชาติ และความเชื่อมาร่วมตัวกันอยู่ในร้านเรา

คุณคิดว่าตอนนี้ยังมีคนสนใจประเด็นการเมืองและสันติภาพเยอะเท่าเมื่อก่อนไหม

ฉันคิดว่ายังเป็นแบบนั้นอยู่นะ บางอีเวนต์เราพูดเรื่องระบบทุนนิยมกับความวิตกกังวล 101 (capitalism  and anxiety 101) มีคนสนใจเยอะขนาดที่ยอมต่อแถวยาวออกไปถึงนอกร้านเพื่อที่จะมางานนี้ ฉันคิดว่าเป็นเพราะผู้คนในสังคมเห็นว่ามันมีการเอาเปรียบ และความไม่เท่าเทียมบางอย่างเกิดขึ้น และพวกเขาอยากเรียนรู้และเข้าใจว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในชีวิต และร้านหนังสือร้านนี้คือที่ที่ให้คำตอบนั้นได้

ตอนนี้มีโซเชียลมีเดียที่เผยแพร่ความคิดเหล่านี้ได้ แต่ทำไมคุณถึงคิดว่าหนังสือยังเป็นสิ่งจำเป็นล่ะ

เพราะบางทีเนื้อหาเล่านั้นก็เป็นเรื่องโกหก ใครๆ ก็เขียนเรื่องให้คนทั่วไปอ่านได้ ทำให้คนเข้าใจผิด หรือสับสน การเข้ามาหาหนังสือดีๆ ในร้านหนังสือเลยเป็นหลักประกันว่าว่าพวกเขาจะได้หนังสือที่เชื่อถือได้ แต่สิ่งดีของออนไลน์คือเราจะได้เนื้อหาอัพเดต แต่หนังสือยังไงก็ยังเป็นสื่อที่สำคัญและจำเป็นอยู่นะ ฉันกลับคิดว่าสื่อโซเชียลมีเดียจะช่วยสนับสนุนและทำให้ร้านเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นมากกว่า

คุณเลือกหนังสือเล่มใหม่เข้าร้านยังไง

ต้องยอมรับว่าเราไม่มีเวลามากพอที่จะอ่านทุกเล่มหรอก เราพยายามเลือกหนังสือที่หลากหลายให้มากที่สุด สิ่งที่เรามองเป็นหลักคือจุดยืนของนักเขียน เขาต้องมีความคิดที่ละเอียดรอบคอบ กล้าตั้งคำถามเรื่องความลำเอียง ท้าทายบรรทัดฐานของสังคมและอยากเห็นโลกที่ดีขึ้น

แล้วหนังสือแบบไหนที่คุณจะไม่อนุญาตให้อยู่ในร้าน

จริงๆ ร้านเราเปิดกว้างให้กับความคิดเห็นที่หลากหลายนะ เราอาจวางหนังสือที่มีแนวคิดขัดแย้งกันก็ได้ แต่ที่สำคัญคือมันต้องไม่ใช้ภาษาที่ดุด่า เสียดสี หรือดูถูกแนวคิดตรงข้าม เราคิดต่างกันได้ แต่ควรวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมีเหตุผลและมีสติ ฉันรู้ว่าบางหัวข้อมันเป็นเรื่องที่เปราะบางมาก แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่ควรว่าร้ายอีกฝ่าย และอีกอย่างคือเราจะเลือกคนที่มีประสบการณ์ หรือเข้าใจจริงๆ ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไร เช่นหนังสือเกี่ยวกับการใช้แรงงาน เราก็ต้องเลือกนักเขียนที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนั้นจริงๆ

ขายแต่หนังสือที่เสี่ยงดราม่าแบบนี้ เคยมีคนเข้ามาพังร้านไหม

ร้านเราเคยโดนวางระเบิดหลายครั้งเลยล่ะ เมื่อไม่นานมานี้เราวางขายหนังสือเกี่ยวกับขบวนการจีฮัดซึ่งมันเป็นหนังสือที่อธิบายความคิดของผู้ก่อการร้ายที่ไอสิส ก็มีคนเข้าใจผิดว่าพวกเราสนับสนุนผู้ก่อการร้าย เขาเลยด่าร้านเรา จนเราจำเป็นต้องโทรแจ้งตำรวจ เขายังมาที่ร้านเราอีก 2-3 ครั้ง เราเลยต้องแจ้งความแบนเขาออกจากร้าน ส่วนใหญ่แล้วคนที่ไม่ชอบร้านเราก็คือคนที่ไม่เข้าใจว่าวัตถุประสงค์ของร้านเราคืออะไรนั่นแหละ

คุณจะบอกคนที่ไม่เห็นด้วยกับไอเดียร้านหนังสือร้านนี้ว่ายังไง

เราถูกสอนมานานมากว่าความคิดที่ถูกต้องมีเพียงความคิดเดียว เราควรนอบน้อมต่อบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าจนทำให้เกิดลำดับขั้นขึ้นในสังคม ฉันอยากให้พวกเขาลองเปิดใจ มองให้เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของการมีชีวิต เคยมีคนเถียงว่าลองดูในธรรมชาติสิ สัตว์ต่างๆ ล้วนแข่งขันเพื่อมีชีวิตรอด คนเราก็ต้องแข่งขันไม่ต่างกัน แต่มีนักเขียนคนหนึ่งแย้งว่า เธอลองมองธรรมชาติดูดีๆ อีกครั้งเถอะ ทุกชีวิตล้วนพึ่งพาอาศัยกัน มากกว่าแข่งขัน การช่วยเหลือกันต่างหากที่จะทำให้เรามีชีวิตรอด

แต่ถ้าวันหนึ่งสังคมที่พวกคุณอยากเห็นเกิดเป็นจริงขึ้นมา คงไม่มีใครต้องการ Housmans Bookshop อีกแล้วหรือเปล่า

ฮ่าๆ มันคงเป็นเรื่องอีกนานมาก แต่ถ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้นจริง ฉันคิดว่าร้านเราคงมีที่วางหนังสือสำหรับความรัก ความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ มากขึ้นล่ะมั้ง

ผู้คนในสังคมเห็นว่ามันมีการเอาเปรียบ
และความไม่เท่าเทียมบางอย่างเกิดขึ้น
พวกเขาอยากเรียนรู้และเข้าใจ
ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในชีวิต
ร้านหนังสือร้านนี้คือที่ที่ให้คำตอบนั้นได้

Christina Rios

หนังสือแนะนำ

The Second Sex โดย Simone de Beauvoir

ผู้เขียนเป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส และหนังสือเล่มนี้พูดเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ไล่เรียงมาถึงปัจจุบันเพื่ออธิบายว่าทำไมผู้หญิงถึงไม่มีความเท่าเทียมกับผู้ชาย หนังสือเล่มนี้ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานที่คุณต้องอ่านถ้าคุณอยากเข้าใจความคิดของเฟมินิสต์

Peace Diary

สมุดไดอารี่ที่ผลิตโดยสำนักพิมพ์ของทางร้าน ความพิเศษคือจะมีการใส่ประโยคเด็ดในประวัติศาสตร์, วันสำคัญหรือเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับสังคม การเมือง หรือสันติภาพกำกับไว้ด้วย (อัพเดตเหตุการณ์ใหม่ทุกปี) เป็นกิมมิกน่ารักๆ ที่ช่วยสอดแทรกเรื่องราวเหล่านี้เข้ามาในชีวิตประจำวันของเรา ปีนี้พิมพ์เป็นปีที่ 66 แล้ว

Housmans Bookshop

address : 5 Caledonian Rd, Kings Cross, London N1 9DY สหราชอาณาจักร
hours : จันทร์-เสาร์ 10:00-18:30 น. อาทิตย์ 12:00-18:30 น.
how to get there : นั่งรถใต้ดินมาที่สถานี King’s Cross St. Pancras ออกจากสถานีแล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปตามถนน Pentonville เลี้ยวซ้ายอีกทีที่สี่แยก แค่ 2 นาทีก็ถึงแล้ว
facebook : Housmans Radical Booksellers
twitter : @HousmansBook
website : www.housmans.com

AUTHOR