ไฟดับพรึ่บ เส้นแสงสปอตไลต์ฉายนำสายตาไปสู่ร่างสูงที่กำลังก้าวขึ้นเวทีพร้อมกับที่เมโลดี้เพลง Sweet Dreams ของคุณแม่บียอนเซ่เริ่มบรรเลง
ค่ำคืนนี้ Pangina Heals หรือ ปันปัน นาคประเสริฐ ปรากฏกายในชุดราตรีประดับเลื่อม ผมสีน้ำตาลเข้มม้วนเป็นลอนสวย ริมฝีปากเคลือบสีแดงก่ำ
เธอขยับปากและร่างกายราวกับกำลังร้องเพลง นั่นคือการลิปซิงก์ การแสดงสุดคลาสสิกที่เป็นจุดร่วมของแดร็กควีนทั่วทั้งโลก แม้เธอจะไม่ได้เปล่งเสียงออกมาจริงๆ แต่เอเนอร์จีที่ส่งออกมาก็ทำให้เราเชื่ออย่างสนิทใจว่าเสียงที่ได้ยินมาจากเส้นเสียงของเธอ
แม้ทุกวันนี้แดร็ก (drag) หรือการแสดงที่ผู้แสดงจะสวมคาแร็กเตอร์เป็นหญิงงามหรือศิลปินดัง แล้วออกมาแสดง charisma, uniqueness, nerve และ talent ต่อหน้าผู้ชม จะเป็นส่วนหนึ่งของป๊อปคัลเจอร์ไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาบาร์สำหรับชมการแสดงแดร็กโดยเฉพาะในประเทศไทย
House of Heals คือหนึ่งในไม่กี่แห่งนั้น
แต่ใช่ว่าที่นี่จะโดดเด่นเพียงเพราะเป็นแดร็กบาร์ที่มีไม่เยอะนัก เพราะ House of Heals มีเครื่องหมายการันตีเป็นชื่อผู้ก่อตั้งอย่าง Pangina Heals แดร็กควีนระดับแนวหน้าของประเทศ เจ้าของฉายา Mariah Carey เมืองไทย และ co-host รายการ Drag Race Thailand ผู้เคยเป็นตัวแทนแดร็กควีนชาวไทยไปแสดงตัวที่ Drag Con 2018 ณ เมืองลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา มาแล้ว
เมโลดี้ท้ายๆ ของ Dangerously In Love ของ Destiny’s Child กำลังบรรเลง หมอกควันค่อยๆ คลี่คลาย เป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาแล้วที่ร่างสูงสง่าจะลงจากเวทีมาพูดคุยกับเรา
โดยแดร็กควีน เพื่อแดร็กควีน (และนักร้องด้วย)
“เหนื่อยไหม” เราเริ่มต้นบทสนทนาด้วยคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้ว เพราะเรานัดเจอปันปันในช่วงท้ายๆ ของปาร์ตี้เฉลิมฉลองเปิด House of Heals ที่จัดต่อเนื่องกันทุกคืนเป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์
“ฉิบหายค่ะ” เธอตอบเร็ว “แต่ปันไม่ค่อยอยากใช้คำว่าเหนื่อย เพราะเรากำลังสร้างฝันและทำสิ่งที่เราเอนจอยมากๆ เราฝันอยากเป็นแดร็กควีนและเจ้าของบาร์มานานแล้ว”
ปันปันทำฝันแรกมาเฉียดสิบปี เธอเดินทางไปแสดงแดร็กในบาร์มากกว่าร้อยแห่งทั่วโลก นำมาซึ่งความเจนจัดบนเวทีและความช่ำชองในคลับบาร์ยามขยับสเตตัสมาเป็นเจ้าของธุรกิจ “เรารู้หมดแล้วว่าเลย์เอาต์ของคลับเป็นยังไง เพลงควรเป็นยังไง เอนเตอร์เทนเมนต์ควรเป็นยังไง และแขกที่มาเที่ยวเป็นยังไง แต่ไม่มีที่ไหนเหมือนที่นี่”
แม้เราไม่ได้คร่ำหวอดกับไนต์ไลฟ์มากพอจะยืนยันด้วยประสบการณ์ตัวเองได้ว่า ‘ไม่มีที่ไหนเหมือนที่นี่’ เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง แต่เมื่อได้เห็นการตกแต่งและสัมผัสบรรยากาศที่นี่แล้วเราก็อดคล้อยตามไม่ได้
เพราะแค่ปรายตามองในบาร์ก็เหมือนได้ยินเสียงกรี๊ดว่า ‘กะเทย!’ เสาต้นหนึ่งเต็มไปด้วยหัวสิงสาราสัตว์ที่มีสร้อยห้อยระย้า (ปันปันไล่เรียงชื่อของแต่ละตัวให้เราฟัง เรียกได้ว่าแม้กระทั่งหัวสัตว์ปลอมก็เป็นตัวของตัวเองได้ที่นี่) ไฟนีออนสีช็อกกิงพิงก์ที่ขดเป็นคำว่า Heals และมุมหนึ่งของผนังที่อุทิศให้กับรองเท้าส้นสูงจากบรรดา ‘ตัวแม่’ ในวงการบันเทิงไทยอย่าง ชมพู่ อารยา, จีน กษิดิศ, อาร์ต อารยา, ลูกเกด เมทินี, ซินดี้ บิชอพ และปอย ตรีชฎา
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ ณ ใจกลางบาร์เป็นที่ตั้งของเวที 360 องศาพร้อมไมค์และขาตั้งที่ส่องประกายระยับ หากแหงนหน้ามองเพดานจะเจอแชนเดอเลียร์ขนนกเป็นพุ่มพวงใหญ่ และห่วงกายกรรมที่ถูกซ่อนไว้บนคานยามไม่มีโชว์ อีกทั้งมุมหนึ่งของบาร์ยังมี dancing pole เกรดแข่งขันสำหรับนักเต้นที่อยากวาดลวดลายบนเสาอีกด้วย (We’re not liable for any stupid injuries! ปันปันฝากบอก)
ความสวยงามของสถานที่ก็เรื่องหนึ่ง แต่สถานที่ที่เอื้อให้นักแสดงโชว์ฝีมือได้อย่างเต็มที่ก็เป็นคนละเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่า House of Heals คือส่วนผสมที่ลงตัวของทั้งสองเรื่องนั้น
“เวทีในผับส่วนมากไม่ได้สร้างมาเพื่อแดร็กควีนหรอก มันเป็นสิ่งคำนึงสุดท้ายที่เติมเข้ามาเพราะอยากได้ pink dollar อยู่ดีๆ วันหนึ่ง อะ เรามาทำ gay night กันเถอะ จ้างกะเทยมาโชว์กันเถอะ จะได้เอาเงินจากกลุ่ม LGBTQ+ แต่เวทีที่นี่สร้างเพื่อนักแสดงจริงๆ ทุกอย่างต้องคุณภาพดีที่สุด เวที ไฟ เครื่องเสียง มอนิเตอร์ เราคิดถึงนักแสดงในทุกกระบวนการจริงๆ”
เราไม่แปลกใจที่ปันปันจะให้ความสำคัญกับนักแสดง หนึ่ง เพราะตัวเธอเองก็เป็นแดร็กควีนชั่วโมงบินสูง และสอง เพราะไลน์อัพแดร็กควีนที่นี่มีแต่ตัวท็อป ท็อปชนิดฟังแล้วขนลุก ท็อปชนิดฟังแล้วนึกว่าเป็น Drag Race Thailand All Stars เช่น Miss Gimhuay, Annee Maywong, Kandy Zyanide, Meannie Minaj, Dearis Doll, B Ella และ Angele Anang
ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะอีกเอกลักษณ์ของที่นี่คือการเป็นศูนย์รวมสุดยอดนักร้องเสียงทอง เช่น แต๊ก The Voice, ต้อง เงาเสียงนิว-จิ๋ว, ลูกจัน The Voice และ เพียว KPN ที่หมุนเวียนกันมาโชว์พลังเสียงชนิดที่กลัวฝ้าร้านจะถล่มลงมา
“เราคัดมาแล้วว่านี่คือ top of the top, best of the best เวลากะเทยได้ยินคนเสียงเพราะๆ มันเหมือนเชียร์บอล แบบว่า เริ่ดๆๆๆ ซึ่งมีไม่กี่ที่หรอกที่เวลาเราดูนักร้องแล้วจะกรี๊ดไปด้วยได้ ที่ที่มันตรง (ปรบมือ) จริต (ปรบมือ) กะเทย (ปรบมือ) แบบที่นี่”
โดยแดร็กควีน เพื่อทุกคน
แม้ข้างใน House of Heals จะดูหรูหราและเปี่ยมจริตจิกส้นสูง แต่ปันปันบอกว่าที่นี่ต้อนรับทุกคนแบบไม่มีกรอบจำกัดใดๆ ขอแค่เข้ามาแล้วไม่ต้องเก๊กหล่อ ไม่ต้องห่วงสวย อยากเต้นก็เต้นให้เต็มที่
“คอนเซปต์ของเราคือ jungle fantasy wonderland คือด้วยบริเวณโรงแรม (515 Victory) มันเหมือนเป็นป่าแอมะซอน House of Heals เนี่ยเป็นเครื่องบินลำหนึ่งที่มาตกในป่า โดยคนที่อยู่ในเครื่องไม่มีใครตายเลย รอดชีวิตกันหมด แล้วก็ได้เจอกะเทยที่เป็นเหมือนสัตว์ใน jungle ออกมาแสดงให้ดู มีนักร้องเหมือนเป็นนกมาร้องเพลงให้ฟัง คือทุกคนออกมา celebrate ออกมา dance เหมือนในเพลง Free Woman ของ Lady Gaga ที่บอกว่า ‘This is my dance floor, I fought for’
“ที่นี่คือที่ที่ทุกคนในกรุงเทพฯ หรือในเมืองไทย หรือทั่วโลก deserve เพราะเราเบื่อมากพอแล้วกับการที่ไปเที่ยวแล้วไม่ว่าที่ไหนๆ ก็เปิดเพลง Despacito สิบรอบทุกคืน เราอยากให้คนที่มาที่นี่ได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆ เราไม่ใช้เพลย์ลิสต์เดิมๆ นะ เราจะเปิดเพลงตามสไตล์ลูกค้า ลูกค้าไทย จีนี่จ๋า มา O.K.นะคะ มา ลูกค้าเกาหลี BLACKPINK มา เราสังเกตลูกค้าตลอด เพราะลูกค้าคือคนที่เข้ามาในบ้านเรา เขาไม่ใช่ customer เขาเป็น guest เรา treat ทุกคนเป็นแขกในบ้านแบบ equally แล้วถึงแม้การตกแต่งจะดูกะเทย แต่ผู้หญิงก็เข้ามาเยอะมากและชอบมาก ผู้ชายก็มีเข้ามา คือที่สุดแล้วความสนุกมันไม่มีเพศ ไม่มี boundary หรอก”
ที่สำคัญ ในเมื่อที่นี่ได้ชื่อว่า House of Heals ปันปันจึงอยากให้ทุกคนที่มารู้สึกเหมือนบ้าน นั่นคือรู้สึกสบายใจที่จะเต้น และที่ขาดไม่ได้คือรู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยา
“ปันอยากให้ทุกคนมาแล้วรู้สึกว่าไม่ต้องแอ็ก เวลาไปเที่ยวหลายคนอาจรู้สึกว่า อุ๊ย ยืนสวยๆ ห้ามเต้นนะ อีดอก! ไม่ต้อง มาที่นี่ต้องเต้นนะ เต้นกันให้เต็มที่ ผู้หญิงบางคนมาแล้วเต้นลืมสวยไปเลย เต้นแบบไหง่ง่อง เราอยากให้เต็มที่และสนุกที่สุด ดังนั้นมาที่นี่ทุกคนจะได้ฮีล ไม่ว่าจะผ่านการเต้น การมาเจอคนใหม่ๆ การมีบทสนทนาดีๆ หรือการได้ดูนักร้องแล้วรู้สึกขนลุก You feel alive in that moment. You feel that you’re here in this moment and you’re not living somewhere else. และ appreciate this human experience หรือกระทั่งแค่การได้ดื่มค็อกเทลดีๆ ก็ฮีลได้เหมือนกัน”
พูดถึงเครื่องดื่ม วันที่ไปเราได้ชิม Pangina’s Kiss ค็อกเทลสีส้มซึ่งมีเบสเป็นจิน จิบแล้วได้รสสดชื่นจากน้ำผึ้งมะนาว เจือกลิ่นหอมของดอกเก๊กฮวยกับดอกหอมหมื่นลี้ และ Milky Way ค็อกเทลสีขาวใสแต่กลิ่นรสของนมมาเต็มสมชื่อ เพิ่มความซับซ้อนด้วยกลิ่นรสของเสาวรสและเอิร์ลเกรย์
ปันปันเล่าติดตลกว่าเธอเมาค้างไปสองวันตอนที่ลองชิมค็อกเทลสูตรพิเศษที่คิดค้นขึ้นใหม่สำหรับ House of Heals โดยเฉพาะ รวมถึงตอนที่คัดสรรเบียร์ ไวน์ และแชมเปญสำหรับขายในร้านด้วย
“ค็อกเทลของเราทุกตัวทำโดย award-winning mixologist นะคะ ในค็อกเทลไม่มีสารเคมีหรืออะไรที่เป็น artificial เลย ไซรัปก็หมักเอง เมนูเราก็ตั้งใจออกแบบให้เป็นประสบการณ์ เป็นสตอรีว่าถ้าเกิดผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่า เขาจะได้เห็นอะไรบ้าง เช่น Purple Rain, The Hermit, Woodpecker, Summer Love Affair, Pangina’s Kiss, Milky Way
“ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ เราก็เลือกที่ดีที่สุดมาแล้ว ลูกค้าไม่ต้องมาเลือกจาก 20-30 แบบหรอก อย่างเบียร์นี่เลือกจาก 3 แบบที่ดีที่สุดได้เลย จบ! (ปรบมือ) ไม่ลำไยค่ะ”
โดยแดร็กควีน เพื่อวัฒนธรรมแดร็ก
แม้ House of Heals จะเปิดมาได้แค่หลักเดือน แต่เราก็พอจะเห็นภาพว่า เมื่อใดที่สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น และผู้คนกลับมาเดินทางสัญจรข้ามประเทศได้อีกครั้ง ที่แห่งนี้จะเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของผู้หลงใหลในวัฒนธรรมแดร็กจากทั่วโลกอย่างแน่นอน
ระหว่างนี้แม้ประเทศจะยังปิด แต่ House of Heals ก็ต้อนรับแขกหนาแน่นแทบทุกวัน ด้วยในบ้านเราเองวัฒนธรรมแดร็กได้เข้ามาอยู่ในวัฒนธรรมเมนสตรีมมากขึ้น ผู้คนเข้าใจมากขึ้นว่าแดร็กคืออะไร และการจะมาลองสัมผัสแดร็กบาร์สักครั้งก็ติดอันดับใน wish list ของใครหลายคน ซึ่งส่วนหนึ่งต้องให้เครดิตรายการ Drag Race Thailand และอีกส่วนหนึ่งเราอยากยกเครดิตให้ปันปัน ผู้เปิดแดร็กบาร์แห่งนี้เพื่อเป็นเวทีให้แดร็กควีนในไทยได้แสดงความสามารถและหารายได้หล่อเลี้ยงตัวเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ปันปันออกตัวว่าแม้ชื่อ House of Heals จะชวนให้คิดถึงการรวมตัวกันเป็น ‘ตระกูล’ ของแดร็กควีนที่ทุกคนในครอบครัวต้องใช้นามสกุลเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญสำหรับเธอแม้แต่นิด
“ปันไม่เคยต้องการให้ใครมีนามสกุลปัน เพราะปันรู้สึกว่าทุกคนควรจะดังด้วยชื่อของเขาเอง แล้วปัน honor เขามากพอที่เขาไม่จำเป็นต้องมาใช้ชื่อปัน ทุกคนสามารถมี last name ของเขาแล้วยืนบนเวทีด้วยกันได้โดยเท่าเทียมกัน คุณไม่จำเป็นต้องเป็นลูกสาวปัน You’re amazing already! You don’t have to be my daughter to prove it. You don’t need my last name for you to be amazing.”
ปันปันบอกด้วยว่า แม้การแสดงโชว์จะเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมแดร็ก แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดของแดร็ก เพราะความงดงามที่แท้จริงคือเรื่องราวลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแสงสีเสียงต่างหาก
“แดร็กควีนหรือ LGBTQ poeple เนี่ย They have a lot more things in life but they persevere and survive. And that’s a celebration of humanity. แม้ว่าสังคมจะไม่เข้าใจหรือเกลียด But they survive! Isn’t that a testament to life? เพราะไม่ว่าเป็นใคร เจออะไรแบบนี้มา แล้วกลับมาสร้างสิ่งสวยงามได้ That worths celebrating!
“ส่วนตัวปันเองนึกถึงเรื่องหนึ่ง มีแขกคนหนึ่งที่มาเที่ยวประจำเขาเสียไป แต่เพื่อนเขาก็ยังมาเที่ยวอยู่ เราเลยเล่น Bye Bye ของมารายห์ แครี่ ให้ พอถึงท่อน we’ll never say bye เนี่ยร้องไห้กันหมด ปันก็ร้อง เราได้แชร์ประสบการณ์กันว่า Even though someone’s gone, they will never be forgotten and it shows the power of drag that, yes, we try to make everyone happy but sometimes I’m just telling you that I understand you. I understand what you’re going through. And I want to put my art as a tribute to this life, this soul คือ It’s so much more than just la la la. I feel like the power of drag is so much more. Sometimes it can be political. Sometimes it can also be touching and motivational.”
โดยแดร็กควีน เพื่อพิสูจน์ตัวเอง
แม้ทุกอย่างหยุดชะงักเพราะโควิด-19 แต่ปันปันทำงานไม่มีวันหยุดพักเลยตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เราจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าแรงขับเคลื่อนในการทำงานหนักขนาดนี้มีที่มาจากไหนกัน
“ที่ผ่านมามีหลายคนมาขอให้เราทำบาร์ แต่เรารู้สึกว่าไม่ใช่สักที แต่ช่วงโควิดที่ผ่านมา ปันเจอพาร์ตเนอร์ที่รู้สึกว่า ‘ใช่ คนนี้แหละ’ บอกเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกข้างใน รู้สึกเหมือนลาง แล้วทุกอย่างมันลงตัวมากๆ ทั้งสถานที่ เวลา เป้าหมาย และปันก็อายุจะ 32 แล้ว เหมือนจักรวาลบอกว่านี่คือเวลาของเธอแล้ว
“ในขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาปันก็เคยโดนดูถูกว่า เธอก็เป็นแค่คนแต่งหญิงคนหนึ่ง เธอไม่ใช่ business woman หรอก เธอทำบาร์ของตัวเองไม่ได้หรอก แต่เรากลับรู้สึกว่า ไม่ เราจะไม่ยอมให้ใครมากด อย่างหนึ่งที่คิดในหัวตลอดเลยคือ If I can’t do it, who can? If someone’s gonna do it, it has to be me. เราอยากพิสูจน์ตัวเอง แล้วยิ่งพอมาเจอหุ้นส่วนที่เข้าใจเราและทำงานหนักมาก สตาฟที่ทำงานกับเราตอนนี้ก็เป็นคนที่รู้จักกันมานานทั้งนั้น พวกเราทำงานกันเป็นครอบครัวจริงๆ ปันก็ยิ่งรู้สึก inspired ว่าต้องสู้”
หากเปลี่ยนโฟกัสจากแดร็กควีนตรงหน้า เราจะเห็นว่าเบื้องหลังของปันปันคือสตาฟที่กำลังทำงานอย่างแข็งขัน ทั้งชงเครื่องดื่มอย่างตั้งใจ เทแพสชั่นใส่เครื่องดนตรี และเสิร์ฟความสนุกผ่านดนตรีและการแสดง ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมบ้านแห่งนี้อย่างดีที่สุด
“ที่นี่คือบ้าน ปันจะอยู่ที่นี่ทุกวันเพราะเจ้าบ้านต้องอยู่บ้าน เวลาคนเข้ามาเที่ยวเราสามารถเล่าและแนะนำได้หมดเลยว่าอะไรเป็นอะไร เราอยากต้อนรับเขา ซึ่งไม่ได้ซับซ้อนเลย just talking and listening เราอยากให้ทุกคนได้ประสบการณ์ที่อบอุ่น และเราคิดเสมอว่าคนที่มาเขาควรจะ leave here happier when they came here.”
“สมมติถ้าพิสูจน์ตัวเองได้แล้ว ความฝันสูงสุดของคุณคืออะไร” เราหย่อนคำถาม
“คือสิ่งนี้แหละค่ะ” ปันปันตอบอย่างมั่นใจโดยไม่จำเป็นต้องเว้นจังหวะคิด
“บางคนถามว่าทำไมไม่ไปแข่ง Rupaul’s Drag Race สักที แต่ว่าปันแฮปปี้กับจุดนี้แล้ว ปันสร้างบ้านที่ใครมาหาปันก็ได้ มันได้ความอบอุ่น แล้วมันได้ความสุขเวลาคนยิ้ม เวลานักร้องร้องเพราะแล้วเขายิ้มอะ ปันได้ความสุขแบบ Oh my god. I gave happiness to that person. เขาได้ความสุขกลับไปแล้ว That is the greatest gift in life. It’s to give other people happiness because happiness is not easy to come by. But if I create a place for people; anyone, everyone can come and get happiness. (ตบเข่าฉาด) ชีวิตมันต้องมีอะไรมากกว่านั้นอีกเหรอ”
จริงอย่างที่เธอว่า ชีวิตต้องมีอะไรมากกว่านั้นอีกเหรอ?
ขอบคุณรูปภาพบางส่วนจาก House of Heals
House of Heals
ที่อยู่ : โรงแรม 515 Victory ถนนพญาไท รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทางออก 4
เบอร์โทรศัพท์ : 099-336-6262