การทำซีรีส์สักเรื่องให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และมันคงยิ่งยากเข้าไปใหญ่ในการทำซีรีส์ภาคต่อให้ประสบความสำเร็จเท่ากันหรือมากกว่าเดิม
Hospital Playlist คือซีรีส์ที่ทำได้ทั้งสองอย่าง
หลังซีซั่นแรกได้รับความนิยมและคำชื่นชมอย่างท่วมท้นไปเมื่อปี 2020 กลางปีนี้ชาวโรงพยาบาลยุลเจก็ได้กลับมาโลดแล่นบนหน้าจอกันอีกครั้ง ซึ่งเรื่องราวชีวิตประจำวันอันแสนธรรมดาของพวกเขาก็ยังตราตรึงใจผู้ชมอย่างเราๆ ได้เช่นเคย
“ผมคิดว่าจุดแข็งของซีรีส์ที่มีหลายซีซั่นคือการที่ได้เห็นเวลาที่ผ่านไป หนึ่งปีทำให้เคมีและความสัมพันธ์ของนักแสดงค่อยๆ พัฒนา รวมถึงสตาฟในกองถ่ายของเราเช่นกัน หรือแม้กระทั่งความรู้สึกของผู้ชมที่ผูกพันกับซีรีส์มากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมเชื่อว่าผู้ชมแต่ละคนไม่ได้มองพวกเขาเป็นแค่ตัวละครในซีรีส์ แต่เป็นเหมือนคนรู้จักในชีวิตจริงมากกว่า” จริงอย่างที่ผู้กำกับชินวอนโฮว่าเอาไว้ทุกประการ เวลาหนึ่งปีที่ผ่านไปทำให้เรายิ่งรู้สึกผูกพันกับตัวละครมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพวกเขาแต่ละคน มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ที่เรื่องราวจะพาไป
ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น ในแง่หนึ่งเราอาจเรียกมันว่า ‘การเติบโต’
ในวันที่ประสาทศัลยแพทย์สาวผู้แสนเพอร์เฟกต์อย่างแชซงฮวา (แสดงโดย จอนมีโด) ต้องเผชิญความรู้สึกแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี, ศัลยแพทย์อารมณ์ดีผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับอย่างอีอิกจุน (แสดงโดย โจจองซอก) ต้องดุและปฏิเสธคนไข้ที่รักษามากับมือ, ศัลยแพทย์ทรวงอกผู้กรอบนอกนุ่มในอย่างคิมจุนวาน (แสดงโดย จองคยองโฮ) ต้องเผชิญกับปัญหาหัวใจที่มูฟออนไม่ได้อยู่นานแรมปี, กุมารศัลยแพทย์ผู้มีใจรักในศาสนาและพระผู้เป็นเจ้าอย่างอันจองวอน (แสดงโดย ยูยอนซอก) ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้คนสำคัญในวันที่มรสุมชีวิตพัดผ่าน และแพทย์ด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาสายอินโทรเวิร์ตอย่างยางซอกฮยอง (แสดงโดย คิมแดมยอง) ต้องเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ที่ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมหาศาล
ในทางการแพทย์ การเติบโตของร่างกายมนุษย์นั้นเป็นกลไกทางธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่การเติบโตภายนอกที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเติบโตภายใน ความมั่นคงของจิตใจ และการเป็นที่พึ่งของกันและกันในความสัมพันธ์
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ Hospital Playlist ถ่ายทอดออกมาให้เราเห็นได้อย่างเรียบง่าย หมดจด และกินใจไม่แพ้ซีซั่นแรก
เพราะการเติบโตต้องใช้เวลา
“อาจารย์หมอไม่ได้เป็นอาจารย์หมอมาตั้งแต่เกิดเหรอครับ อาจารย์หมอเคยเป็นแพทย์อินเทิร์นที่งี่เง่าบ้างไหมครับ” ยงซอกมิน แพทย์เฟลโลว์หนุ่มแผนกศัลยกรรมประสาทแกล้งถามอาจารย์หมอแชซงฮวาผู้เก่งไปซะทุกเรื่อง และถึงแม้ว่าซอกมินจะถามกระเซ้าไปอย่างนั้น แต่ซงฮวาก็เลือกที่จะตอบคำถามนั้นแบบตรงไปตรงมา
“ฉันมีอดีตแย่ๆ เยอะเลย” เธอยิ้มเมื่อหวนนึกถึงอดีต
ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนในเดือนมีนาคม แก๊งเพื่อนนักเรียนแพทย์รุ่นปี 1999 ก้าวเข้าสู่บทบาทของแพทย์อินเทิร์นเป็นครั้งแรก และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ความป้ำๆ เป๋อๆ ของเหล่าแพทย์ฝึกหัดในเดือนแรกของปีการศึกษาก็ยังคงมีให้เราเห็นเช่นเคย สมกับที่มีคนกล่าวเอาไว้ว่า ‘ถ้าจะป่วยก็อย่าป่วยในเดือนมีนาคม’
“จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์พวกเขายังเป็นนักศึกษาแพทย์ แต่พอ 1 มีนาคมก็กลายเป็นแพทย์อินเทิร์น ยังไม่ทันจะรู้อะไรก็กลายเป็นแพทย์อินเทิร์นเฉย” โดแจฮักกล่าวกับเพื่อนร่วมงานในเช้าวันที่ 1 มีนาคมนั้นเอง และไม่ทันไรเราก็ได้เห็นภาพสารพัดความวุ่นวายในวอร์ดต่างๆ ของโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นคำสั่ง ‘ริชาร์ดสันเอาต์’ ที่แปลว่าให้เอาเครื่องมือออก (แต่ด้วยความไม่รู้ก็เลยเดินถือเครื่องมือออกนอกห้องผ่าตัดไปเฉยเลย) หรือการสอดท่อใหม่ให้คนไข้แต่ดันลืมเอาท่อเก่าออก (คนไข้เลยมีท่อคาไว้ในรูจมูกทั้งสองข้าง!)
แต่เมื่อเดือนมีนาคมผ่านพ้นไป เหล่าแพทย์รุ่นใหม่ก็เริ่มปรับตัวและรับมือกับอะไรๆ ได้ดีขึ้นทีละนิด
ในทางกลับกัน สำหรับบรรดาอาจารย์หมอที่ผ่านพ้นวิกฤตเดือนมีนาคมมาเกินสิบปี พวกเขาจึงมีประสบการณ์มากพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างสุขุมและเชี่ยวชาญ แต่นั่นก็หมายความว่าความท้าทายใหม่ๆ ในชีวิตของเหล่าอาจารย์หมออาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แบบไม่เลือกวันและเวลา
“นายคงช่วยเด็กไว้ไม่ได้สินะ” อิกจุนถามซอกฮยอง เมื่อสังเกตเห็นเพื่อนนั่งเหม่อลอยอยู่ในสวนส่วนกลางของโรงพยาบาล
สูตินรีแพทย์หนุ่มพยักหน้าก่อนตอบ
“มันแทบไม่เกิดขึ้นเลย กรณีที่ทารกเสียชีวิตในห้องผ่าตัดทันทีที่ออกมา ทั้งที่คุณแม่ก็พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว” ซอกฮยองถอนหายใจก่อนยอมรับออกมาตรงๆ “นี่ก็ถึงเวลาตรวจผู้ป่วยแล้วแต่ฉันไม่อยากไปเลย ฉันไม่รู้เลยว่าไปแล้วจะพูดว่าอะไรดี ไม่รู้จะปลอบยังไง ควรจะปลอบเธอแบบไหน ฉันไม่รู้เลย”
โจทย์ที่ยากนั้นจะยิ่งทวีความยากขึ้นไปอีก เมื่อมันโผล่เข้ามาให้เราแก้แบบไม่ทันตั้งตัว แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็จะผ่านมันไปได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวอันยากลำบากในอดีตก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าธรรมดาๆ เรื่องหนึ่งซึ่งถูกจดจำไว้ในฐานะร่องรอยของการเติบโตเท่านั้นเอง
แยกย้ายกันไปเติบโต
นักเรียนแพทย์ไม่สามารถเก่งขึ้นได้ในข้ามวันฉันใด ปัญหาในความสัมพันธ์ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ในข้ามคืนฉันนั้น
ในฐานะซีรีส์ที่ถ่ายทอดเรื่องความสัมพันธ์อย่างเข้าอกเข้าใจมาตลอด เราอดแปลกใจไม่ได้เมื่อได้ยินคำแนะนำของซงฮวาต่อคู่รักรุ่นน้องในแผนกที่เริ่มระหองระแหง
“รอก่อนเถอะ เดี๋ยวก็มีโอกาสเอง” แทนที่จะบอกให้ทั้งคู่เปิดอกคุยเพื่อปรับความเข้าใจ ตรงกันข้าม เธอกลับย้อนเล่าประสบการณ์การตามง้อแฟนของตัวเองในอดีต ที่ต้องใช้ทั้งแรงและเวลาอย่างมหาศาล “แต่ว่าพออายุมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มีสิ่งที่รู้ขึ้นมาเองอยู่หนึ่งอย่างคือ ตราบใดที่ไม่ได้คิดว่าจะเลิกกันทั้งสองฝ่าย และถ้าทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ไกลกันมากจริงๆ แค่รอดูไปก่อนก็พอ แล้วจากนั้นมันก็จะมีหนทางขึ้นมาเอง”
ไม่ผิดไปจากที่ซงฮวาว่าไว้ เพราะบางครั้งหากความสัมพันธ์นั้นไม่แข็งแรงมากพอที่จะปะทะกับคลื่นลม มันอาจจำเป็นที่คนสองคนจะต้องแยกย้ายกันไปเติบโตเพื่อให้เราสามารถเข้าใจกันและกันมากพอ และรอวันที่จะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง อย่างที่เราได้เห็นจากความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างอีอิกซุน น้องสาวของอิกจุนกับเพื่อนสนิทของพี่ชายอย่างคิมจุนวาน
เป็นระยะเวลากว่าปีที่ทั้งคู่ไม่ได้รับรู้ความเป็นไปของกันและกัน แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าแค่เอ่ยปากถามอิกจุนคำเดียวก็คงได้คำตอบ แต่บาดแผลในใจกลับรั้งพวกเขาไว้ไม่ให้ถามออกไป
ชีวิตของอิกซุนและจุนวานยังคงดำเนินไปตามปกติ คนหนึ่งค่อยๆ รักษาตัวจากอาการป่วย ขณะที่อีกคนก็ทำหน้าที่รักษาความเจ็บป่วยให้แก่คนไข้ แต่ในเมื่อความรู้สึกของทั้งสองยังคงเหมือนเดิม หรืออาจเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ ท้ายที่สุดแล้วตัวกลางในความสัมพันธ์อย่างอิกจุนจึงได้เวลาออกโรงด้วยการจัดแจงให้สองคนได้มีโอกาสพบกัน (แบบบังเอิญๆ)
“ในแต่ละวันของเรามีเรื่องแปลกๆ เยอะจะตาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดี เรื่องพวกนี้จะกลายเป็นโอกาสให้เอาไปโทรคุยกัน ไปเจอกันได้ด้วย” คำแนะนำของซงฮวาที่มีให้ซอนบินนั้นไม่ได้เฉลยว่าบางครั้ง ‘เรื่องแปลกๆ’ อาจไม่ได้มาในรูปแบบของเหตุบังเอิญ แต่เป็นการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากคนใกล้ตัวของเราเอง
ใน Hospital Playlist ซีซั่นนี้ สิ่งหนึ่งที่หลายคนน่าจะสัมผัสได้คือฉากการรวมตัวของแก๊งเพื่อนหมอรุ่นปี 1999 นั้นไม่ได้มีให้เราเห็นบ่อยเท่ากับในภาคแรก แต่ถึงอย่างนั้นเรากลับได้เห็นแง่มุมที่ลึกซึ้งกว่าเดิมในความสัมพันธ์ของอาจารย์หมอทั้ง 5 ที่ต่อให้ไม่ได้เจอหน้ากันบ่อยๆ แต่ก็ยังรู้จักและเข้าใจกันดี แถมยังสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือกันและกันได้อย่างทันท่วงทีอยู่เสมอ
“ก็จุนวานมันขี้เหงาขั้นหนักเลยน่ะสิ” อิกจุนพูดขึ้นกลางโต๊ะอาหารของเพื่อนๆ ในวันที่จุนวานไม่อยู่
“สุดๆ” สมาชิกร่วมบ้านอย่างจองวอนยืนยันอีกเสียง “ตอนย้ายบ้านเมื่อสองปีก่อนฉันก็บอกว่าจะย้ายไปอยู่คนเดียว…” ยังไม่ทันที่เขาจะจบประโยคอิกจุนก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“น้ำตาคลอเบ้าเลยล่ะสิ”
“พระเจ้าช่วย ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเห็นสายตาใครเศร้าขนาดนั้น หมอนั่นน่ะเป็นคนขี้เหงามากจริงๆ พูดก็พูดเถอะ ฉันไม่ได้เกาะจุนวานกินหรอกนะ จุนวานต่างหากที่เกาะฉันหนึบ” จองวอนอธิบาย
“ก็รู้แหละ จุนวานมันไม่มีทางอยู่คนเดียวได้หรอก หมอนั่นมันกรอบนอกนุ่มในจะตายไป” อิกจุนสรุป แต่ก็ยังไม่วายปล่อยมุกทิ้งท้ายเพื่อเรียกเสียงหัวเราะ
จุดแวะพักระหว่างการเติบโต
ในช่วงวัย 40 ของเหล่าอาจารย์หมอ ชีวิตและหน้าที่การงานของพวกเขาดูจะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่ในบางครั้งที่ปัญหาถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ความจริงที่ปะทะเข้าตรงหน้าจนความมั่นใจที่เคยมีกลับแหลกสลายจนแทบไม่เหลือ พวกเขาจึงต้องเรียนรู้ที่จะหยุดพัก ตั้งหลัก และเอ่ยปากขอความช่วยเหลือคนข้างกายในคราวที่จำเป็น
“ให้ไปส่งไหม” อิกจุนถามซงฮวาในคืนที่ประสาทศัลยแพทย์สาวคนเก่งเพิ่งรู้ถึงอาการป่วยของแม่ตัวเอง มิตรภาพกว่ายี่สิบปีของทั้งคู่ทำให้อิกจุนรู้ได้ในทันทีว่าภายในใจของซงฮวาขณะนี้กำลังโบยตีตัวเองอย่างสาหัสด้วยความคิดที่ประดังประเดเข้ามาในชั่วเวลาสั้นๆ
ซงฮวานิ่งเงียบไปหนึ่งอึดใจก่อนพยักหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไปส่งฉันหน่อยนะ”
แน่นอนว่าชีวิตนี้คือของเราไม่ใช่ใครอื่น แต่หลายครั้งชีวิตกลับไม่อนุญาตให้เราเติบโตขึ้นได้ด้วยตัวคนเดียว หากเรียกร้องการพึ่งพาอาศัยคนรอบข้างอย่างมากมายจนเรานึกเกรงใจ
นอกจากจะขับรถไปส่ง คำขอของซงฮวายังนำมาซึ่งสารพัดความช่วยเหลือจากอิกจุนที่เธอไม่ได้ร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งด่านสกัดเพื่อนร่วมงานอย่างลับๆ ที่หน้าห้องทำงานเพื่อให้ซงฮวาไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องวุ่นวายไปมากกว่านี้ หรือแม้แต่ของขวัญอย่างเตาหินบาร์บีคิวที่ซงฮวาอยากได้ อิกจุนก็ตั้งใจสั่งมาให้ด้วยความหวังที่ว่า อยากให้เธอยิ้มหรือหัวเราะออกบ้างก็ยังดี
ไม่เพียงแต่กับคู่เพื่อนไม่จริงอย่างอิกจุนและซงฮวาเท่านั้น เพราะอย่างที่เราได้เห็นการพึ่งพากันและกันในบั้นปลายชีวิตของคู่เพื่อนรักอย่างจงซูและโรซา ทั้งในยามที่คนหนึ่งเจ็บไข้ได้ป่วย อีกคนก็ตามมาดูแลเฝ้าไข้ และในวันที่คนหนึ่งมีเรื่องเครียดหรือเหนื่อยใจ อีกคนก็คอยชวนออกไปเปิดหูเปิดตา รวมไปถึงการพากันออกไปดูหนังรอบดึกในคืนที่นอนไม่หลับ แล้วกลับมาค้างบ้านอีกฝ่ายแบบสบายๆ
ตัวแปรของการเติบโต
ในบางครั้งตัวเราเองอาจเข้าไปเป็นส่วนสำคัญในการเติบโตของคนอื่น ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม สำหรับกรณีของเหล่าอาจารย์หมอทั้ง 5 นั้นอาจจะชัดเจนอยู่สักหน่อย ในเมื่อหน้าที่หนึ่งของพวกเขาคือการสั่งสอนและถ่ายทอดวิชาความรู้ไปสู่บรรดาหมอรุ่นใหม่
ที่น่าสนใจก็คือ บางครั้งเราอาจไม่ได้ถ่ายทอดในสิ่งเดียวกับที่ตัวเองเคยถูกสั่งสอนมาเสมอไป
“ตอนนั้นเราถูกสอนให้ทนไว้ใช่ไหมล่ะ ทั้งจากพวกรุ่นพี่แล้วก็อาจารย์หมอ เราถูกสอนมาว่าห้ามแสดงความรู้สึกต่อหน้าญาติคนไข้เด็ดขาด แต่ฉันทำไม่ได้ก็เลยร้องไห้โฮอยู่ตรงนั้น แล้วก็โดนอาจารย์หมอด่ายกใหญ่” ซอกฮยองเล่าถึงอดีตของตัวเองเมื่อครั้งยังเป็นแพทย์มือใหม่
มาวันนี้เมื่อแพทย์อินเทิร์นคนหนึ่งเกิดร้องไห้โฮขึ้นมาจนไม่สามารถประกาศเวลาตายของผู้ป่วยได้ เราจึงได้เห็นมุมมองที่ต่างออกไปจากคำสอนของจุนวาน
“จะขอโทษทำไม ไม่ร้องไห้สิแปลก หมอไม่ใช่คนหรือไง จะร้องไห้ก็ไม่เป็นไรหรอก การร้องไห้เป็นความรู้สึกตามธรรมชาติ ฉันไม่อยากให้นายปิดบังหรือต้องกลั้นความรู้สึกนั้นไว้หรอกนะ” เขาเอ่ยน้ำเสียงเรียบก่อนว่าต่อ “แต่ว่านายก็ยังต้องทำตามหน้าที่ ไม่ว่าจะเศร้าแค่ไหนแต่เมื่อถึงเวลาทำหน้าที่ก็ต้องทำ มันเป็นสิ่งที่นายต้องตัดสินใจและเป็นหน้าที่ในฐานะหมอ”
สำหรับคนดูอย่างเรา อาจารย์หมอทั้งห้าอาจนับได้ว่าเป็นหัวหน้าในฝัน ด้วยความเป็นผู้นำที่แสนเข้าอกเข้าใจ เชื่อถือได้ และเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้ดีพร้อมหรือสมบูรณ์แบบ และยังต้องเติบโตต่อไปพร้อมกับโลกใบนี้ที่หมุนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา
เพราะนั่นคือส่วนเสี้ยวแสนสำคัญจาก ‘เรื่องธรรมดาในทุกวันที่แสนพิเศษ’ ของ Hospital Playlist ซึ่งพาให้เราหัวเราะ ร้องไห้ และเรียนรู้ไปพร้อมกับตัวละครมากมายในสองซีซั่นที่ผ่านมา
และในอนาคตไม่ว่าพวกเขาจะได้กลับมาเยี่ยมเยียนเราผ่านทางหน้าจออีกหรือไม่ แต่อย่างน้อยเราก็มั่นใจได้ว่าบรรดาหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนก็คงจะยังเติบโตขึ้นไปทีละนิด และวิ่งวุ่นในโรงพยาบาลยุลเจต่อไปอย่างแน่นอน
ภาพจาก